ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำมองไปยังช่องโพรงบนผนังด้านหลังของศาลด้วยสายตาเลื่อนลอย โคลงศีรษะเบาๆ จากนั้นก็หน้าม่อย พูดเสียงสั่น “เซียนซือฆ่าตู้อวี๋จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “น่าจะเรียกว่าตายไปครึ่งตัวมากกว่า จิตวิญญาณของเขาถูกข้าพันธนาการเอาไว้แล้ว ตำหนักขวานผีเป็นสำนักที่ใหญ่ขนาดนั้น พ่อแม่ของเจ้าคนแซ่ตู้ผู้นี้ยังเป็นคู่บำเพ็ญตนใหญ่อย่างที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเรียกอีก ข้าหรือจะกล้าไม่เคารพคนผู้นี้ ก็แค่สั่งสอนเขาเล็กน้อยเท่านั้น”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยืนได้ไม่มั่นคงจึงล้มจ้ำเบ้าลงไป ชุดกระโปรงปักลวดลายสีสันงดงามคล้ายกับดอกโบตั๋นที่ผลิบานสะพรั่งอยู่บนพื้นดิน
คนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ปากเคลือบน้ำผึ้ง แต่จิตใจกลับมีงูและแมงป่องคลานยั้วเยี้ย! ก็แค่มองดูแล้วอายุยังน้อย แต่ความจริงต้องเป็นเจ้าเฒ่าวิปริตที่ฝึกตนอยู่บนภูเขามานานหลายปีอย่างแน่นอน ช่างเป็นเทพเซียนที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่จิตใจอำมหิตเสียจริง!
ชุดบนร่างของเฉินผิงอันสะเทือนหนึ่งครั้ง ฝุ่นผงที่ติดเปื้อนมาก็สลายหายไปด้วยตัวเอง ชุดเขียวเปลี่ยนมาเป็นสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด เฉินผิงอันเดินตรงผ่านแท่นบูชาเทพที่ปริแตกจนเกิดช่องโหว่นั้นไป ตอนที่เดินผ่านกองไฟและเด็กหนุ่มที่แกล้งตายผู้นั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “รีบเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาซะ แล้วก็แกล้งตายต่อไป”
เด็กหนุ่มชาวบ้านคนนั้นรีบทำตามทันที
เฉินผิงอันเดินไปนั่งบนธรณีประตูของศาล มองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำและสาวใช้สองคนของนาง ก่อนจะปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มน้ำที่หนักอึ้งของลำธารลึกกลางภูเขาหนึ่งอึก
แจกันสมบัติทวีปมีเทพอภิบาลเมืองคนหนึ่งชื่อว่าเสินเวิน ใบถงทวีปมีเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอ อุตรกุรุทวีปก็มีคนอย่างฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นและเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ย
เฉินผิงอันใช้วิชาลับอย่างหนึ่งมาเก็บดวงวิญญาณของตู้อวี๋ไว้จริง หาใช่แกล้งพูดจงใจขู่ให้ฮูหยินเทพวารีผู้นั้นหวาดกลัวไม่
นี่ไม่ใช่วิชาตระกูลเซียนขั้นพื้นฐานบนภูเขาอะไร แต่เป็นการค้าอย่างที่สองที่ตอนนั้นเฉินผิงอันทำกับหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ระดับขั้นของมันสูงยิ่ง แล้วก็เผาผลาญปราณวิญญาณอย่างมาก เวลานี้การสะสมปราณวิญญาณในจวนน้ำของเฉินผิงอัน หลักๆ แล้วอยู่ที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เป็นธาตุน้ำ หรือก็คือตราประทับอักษรน้ำที่ลอยตัวอยู่ในจวนน้ำ แก่นโชคชะตาน้ำน้อยนิดที่มันสั่งสมและหล่อหลอมอยู่ทุกคืนวัน เวลานี้ถูกดึงมาใช้จนแทบหมดสิ้น ช่วงนี้เฉินผิงอันไม่ค่อยกล้าใช้วิธีมองภายในไปตรวจสอบจวนน้ำมากนัก เพราะเขาทนเห็นสายตาตำหนิต่อว่าของเด็กๆ ชุดเขียวพวกนั้นไม่ได้
เฉินผิงอันหยิบเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่เป็นสีหิมะเกลี้ยงแวววาวเม็ดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ รวมไปถึงยาเม็ดสีชาดที่พื้นผิวภายนอกสลักตัวขระไว้จนเต็ม นี่ก็คือเรื่องที่ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีคิดจะทำก่อนหน้านั้น เขาคิดจะลอบโจมตีเฉินผิงอัน ยาเม็ดนี้หล่อหลอมมาจากโอสถในของปีศาจตนหนึ่ง ประสิทธิผลคล้ายคลึงกับการโจมตีถึงแก่ชีวิตของนักฆ่ากลุ่มหนึ่งที่มาล้อมสังหารเหมาเสี่ยวตงในเมืองหลวงต้าสุยปีนั้น เพียงแต่ว่านั่นคือโอสถทองของแท้แน่นอน แต่เม็ดที่อยู่บนมือเฉินผิงอันตอนนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นโอสถในของปีศาจขอบเขตชมมหาสมุทรตนหนึ่ง ส่วนเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารนั้น คิดดูแล้วตู้อวี๋คงไม่ถึงขั้นจะให้พวกเขาวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย จึงคิดจะอาศัยเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างชิ้นนี้มาต้านทานแรงโจมตีจากการระเบิดของโอสถใน
แผนการถือเป็นแผนการที่ดี
ตอนนั้นที่เฉินผิงอันได้ยินเรื่องเก่าแก่ในอดีตของเมืองสุยเจี้ย สภาพจิตใจของเขาก็ไม่ค่อยนิ่งสักเท่าไรจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาแบ่งสมาธิไปจับตามองความเคลื่อนไหวของตู้อวี๋ รวมถึงสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กๆ น้อยๆ ของสาวใช้ทั้งสองอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันเหม่อลอยถึงได้เผยช่องโหว่ให้ตู้อวี๋สบโอกาส
น่าเสียดายก็แต่ริ้วลมปราณที่กระเพื่อมขึ้นมาเล็กน้อยของตู้อวี๋ก่อนหน้านี้เป็นเหตุให้เศษหินที่อยู่ในร่องแตกของกำแพงปลิวกระจายขึ้นมาเล็กน้อย ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอาจจะสังเกตอะไรไม่เห็น แต่เมื่อมาอยู่กับเฉินผิงอันที่ปณิธานหมัดไหลเวียนวนได้อย่างเป็นธรรมชาติจนราวกับมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องอยู่นั้นกลับไม่ต่างอะไรจากเสียงฟ้าคำรณ เพราะถึงอย่างไรการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงอย่างแท้จริง ความรุนแรงดุจสายฟ้าระเบิด หลายๆ ครั้งเฉินผิงอันต้องอาศัยการเดา การเดิมพันเอาด้วยซ้ำ ถึงจะได้ไม่ต้อง…ถูกหมัดกระแทกใส่แบบจังๆ คิดจะหลบนั้นหลบไม่พ้นอยู่แล้ว ต่อให้ชุยเฉิงจะจงใจกดปณิธานหมัดไว้ที่ขอบเขตเดินทางไกลก็ตาม และครานั้นเมื่อประมือกับจูเหลี่ยน คนบ้าวรยุทธอย่างเขาก็ถูกชุยเฉิงบีบให้ต้องซ้อมเฉินผิงอันจนร่อแร่ใกล้ตายอยู่ทุกวัน การออกหมัดนั้นไม่เรียกว่ามีการกะเกณฑ์อย่างพิถีพิถันเลยจริงๆ
จะว่าไปแล้วยังคงเป็นเพราะตบะของตู้อวี๋ไม่สูงมากพอ
นี่ก็เหมือนตอนที่เฉินผิงอันอยู่ในหุบเขาผีร้ายแล้วถูกเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานจับตามอง หนี เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ
หากตู้อวี๋ไม่มีใจที่หวังว่าตัวเองจะบังเอิญโชคดี พอฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วเลือกจะหนีไปโดยตรง เฉินผิงอันย่อมขัดขวาง แต่จะไม่มีทางลงมือสังหารเขาแล้วกักวิญญาณไว้ในกรงขังอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันเก็บโอสถพิทักษ์ชีวิตที่เป็นสมบัติก้นกรุของตู้อวี๋ชิ้นนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ มือกำเม็ดเสื้อเกราะสีขาวหิมะเม็ดนั้นเอาไว้แล้วบิดหมุนมันเบาๆ พลางมองไปทางฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ “ข้าเคยบอกไว้ว่า อะไรที่เจ้ารู้ ล้วนต้องเล่าให้ข้าฟังทั้งหมด ฮูหยินเองก็เคยบอกว่าจะไม่รนหาที่ตายอีก”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น สีหน้าเศร้ารันทด ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกสลด “ใต้เท้าเซียนซือ บ่าวไม่ได้ปิดบังท่านจริงๆ นะ ใต้เท้าเซียนซือจะต้องใส่ร้ายบ่าวให้ตายถึงจะพอใจใช่ไหม?”
นางฟุบตัวนอนลงกับพื้น ซีกแก้มหนุนอยู่บนแขนสองข้าง ร่างโยกคลอนขึ้นลง ไหล่ทั้งสองสั่นสะท้านเบาๆ น่าสงสารอย่างถึงที่สุด พูดเสียงสะอึกสะอื้น “บ่าวไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้กันแน่ ถึงต้องมาถูกเซียนซือใส่ความเช่นนี้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเงียบเสียงลงทันที
นาทีถัดมา เฉินผิงอันก็มานั่งยองอยู่ด้านข้างเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้ ฝ่ามือกดลงบนศีรษะของนางแล้วเพิ่มน้ำหนักลงไปแรงๆ จุดจบของนางจึงเหมือนกับตู้อวี๋ก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน นั่นคือสลบเหมือดคาที่ ศีรษะเกินครึ่งฝังลึกลงไปในดิน
สาวใช้ทั้งสองหวาดผวาสุดขีด อยากจะหนีไปให้ไกล คนหนึ่งในนั้นถูกพายุลมกรดที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันกระแทกเข้าที่แผ่นหลัง เรือนกายบอบบางลอยหวือไปฝังอยู่กับผนัง แล้วก็หมดสติไปเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!