ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ตู้อวี๋เพิ่มกิ่งไม้แห้งใส่ในกองไฟอยู่หลายครั้ง
จากนั้นตู้อวี๋ก็สังเกตเห็นว่าหลังจากที่ผู้อาวุโสลืมตาขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่เลว บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มน้อยๆ
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมอง
ทะเลเมฆหนาหนักที่แทบจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาบริเวณของทะเลสาบชางอวิ๋นได้สลายหายไปหมดแล้ว
ดวงจันทร์กลมโตลอยกลางนภา
เฉินผิงอันถามตู้อวี๋ “ตู้อวี๋ เจ้าว่าขนบธรรมเนียมที่สะสมมานานเป็นพันปีของทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใช่หรือไม่?”
ตู้อวี๋ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เว้นเสียแต่ว่าจะเปลี่ยนใหม่หมดตั้งแต่บนจรดล่าง เปลี่ยนตั้งแต่เจ้าแห่งทะเลสาบ มาจนถึงเทพวารีสามลำคลองสองคูน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่เป็นคนแรกซึ่งต้องเปลี่ยนใหม่ นั่นต่างหากถึงจะมีโอกาส เพียงแต่ว่าหากคิดจะสร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็คงต้องให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างผู้อาวุโสออกหน้าลงมือเองเท่านั้น แล้วก็ยังต้องเสียเวลาคอยจับตามองการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็หลายสิบปี ไม่อย่างนั้นหากจะให้ข้าบอก เปลี่ยนคนใหม่ก็ไม่สู้ไม่เปลี่ยนจะดีกว่า เพราะอันที่จริงอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นยังพอจะถือว่าเป็นผู้ปกครองที่ไม่ค่อยสูบน้ำแห้งเพื่อจับปลา (เปรียบเปรยถึงคนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า ไม่มองการณ์ไกล) เท่าใดนัก อุทกภัยและภัยแล้งที่เขาจงใจสร้างขึ้นก็แค่เพื่อเพิ่มสาวใช้หน้าตางดงามพรสวรรค์ดีเยี่ยมให้กับวังมังกรเท่านั้น ทุกครั้งชาวบ้านตายกันไปหลายร้อยคน แต่หากไปเจอเข้ากับเทพภูเขาเทพวารีที่สมองไม่เฉียบไว แม้แต่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก็ยังปล่อยและเก็บไม่ได้ดังใจปรารถนา ปล่อยคาถาออกมาทีเดียวคนก็ตายกันไปหลายพัน หรือหากไปเจอกับพวกที่นิสัยเกรี้ยวกราดเจ้าอารมณ์สักหน่อย ถึงขั้นเอาภูเขาสายน้ำมาต่อสู้กัน หรือไม่ก็ผูกปมแค้นกับเพื่อนร่วมงาน นั่นแหละที่จะทำให้ชาวบ้านในอาณาเขตอยู่ไม่สุข คนอดอยากหิวโหยเดินขบวนพันลี้อย่างแท้จริง ข้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ เคยเห็นเทพภูเขาสายน้ำ เทพอภิบาลเมืองของแต่ละสถานที่ และเทพแห่งผืนดินมากมายที่สนใจแต่เรื่องใหญ่ปล่อยปละเรื่องเล็ก พวกเขาไม่สนพวกชาวบ้านทั้งหลายหรอก เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ก่อสำนักตั้งพรรค ขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวง เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่พอจะมีความหวัง คนพวกนี้ต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่พวกเขาอยากจะซื้อใจอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองตู้อวี๋
ตู้อวี๋พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ผู้อาวุโส ข้าพูดไปตามความจริง ไม่ใช่ข้าที่ทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้นสักหน่อย พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักคำ เรื่องสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าตู้อวี๋ทำไว้ในยุทธภพล้วนเทียบกับความคิดชั่วร้ายที่เค้นออกมาจากซอกเล็บของพวกเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีนี่ไม่ได้เลย ข้ารู้ว่าผู้อาวุโสไม่ชอบนิสัยอำมหิตไร้ปราณีของคนตระกูลเซียนอย่างพวกเรา แต่ข้าตู้อวี๋ที่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสก็ได้แค่เอาความจริงในใจออกมาพูด ไม่กล้าปิดบังแม้แต่ครึ่งคำ”
เฉินผิงอันหัวเราะ
ตู้อวี๋ไม่คิดได้คืบแล้วจะเอาศอก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าตาของเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาท่านนี้จริงๆ แล้วจากนั้นก็จะได้เป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์ที่แอบอ้างบารมีของอีกฝ่ายได้
อย่างมากอีกฝ่ายก็แค่ไม่สะบัดชายแขนเสื้อฆ่าตนให้ตายเท่านั้น
สายตาน้อยนิดแค่นี้ ตู้อวี๋ยังพอจะมีอยู่บ้าง
นี่กระมังถึงจะเป็นคนบนยอดเขาที่แท้จริง คือความไร้น้ำใจบนมหามรรคาอย่างแท้จริง
อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่ตู้อวี๋แหงนหน้ามองดวงจันทร์ เขารู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใด ท่องเที่ยวอยู่ในหลายภพมาตั้งหลายครั้งและหลายปีขนาดนี้ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกคิดถึงพ่อแม่
แต่ตอนนี้พอผู้อาวุโสลืมตาขึ้น เขาก็ต้องทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง รับมือกับคำถามที่มองดูเหมือนง่ายๆ ของผู้อาวุโสอย่างระมัดระวัง
ถือเสียว่าเป็นการขัดเกลาสภาพจิตใจอย่างหนึ่งแล้วกัน ในอดีตท่านพ่อท่านแม่มักจะชอบพูดว่าการฝึกฝนจิตใจของผู้ฝึกตนไม่ได้สำคัญขนาดนั้น คำสั่งสอนจากสำนักก็ดี คำบ่นที่ผู้ถ่ายทอดมรรคามีต่อลูกศิษย์ก็ช่าง ล้วนเป็นเพียงแค่คำพูดสวยหรูเท่านั้น เงินเทพเซียน สมบัติติดกาย และวิชาตระกูลเซียนที่เป็นรากฐานของมหามรรคา สามอย่างนี้ต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด เพียงแต่ว่าเรื่องของการฝึกฝนจิตใจนั้นก็ยังต้องทำอยู่บ้าง
ตู้อวี๋ปลุกความกล้าเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส ผลศึกบนทะเลสาบชางอวิ๋นเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหมือนอย่างที่เจ้าบอก แค่ทำให้พวกเขาถอยร่นไปเท่านั้น ก็เป็นการหาเงินอย่างปรองดองนี่นะ”
ตู้อวี๋รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด
แต่ตนก็ไม่เหลือความกล้าให้ซักไซ้เอาความอีกแล้ว
ความกล้าหาญที่เหลือในอีกครึ่งชีวิตของข้าผู้อาวุโสใกล้จะถูกนำมาใช้จนหมดสิ้นในคืนนี้แล้ว
แล้วยังต้องให้ข้าตู้อวี๋ทำตัวกล้าหาญขนาดไหนอีกถึงจะเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษชายชาตรี?
จากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มมีสมาธิอยู่กับการฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ส่วนตู้อวี๋ก็เริ่มใช้คาถาลับเฉพาะของตำหนักขวานผีมาเข้าฌานทำสมาธิอย่างช้าๆ
ยามฟ้าสาง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวพลางพูดกับตู้อวี๋ที่รีบลุกขึ้นยืนตามว่า “เจ้าลองไปหาดูว่าในศาลของเทพวารีเจ้าคูน้ำแห่งนี้มีวัตถุที่มีค่าอะไรหรือไม่”
ตู้อวี๋พยักหน้ารับ แล้วก็เตรียมจะไปหาวัตถุอาคมหรือไม่ก็เงินร้อนน้อยมาให้ผู้อาวุโส
แต่ผู้อาวุโสกลับพูดขึ้นกะทันหันว่า “คำว่ามีค่าของข้า ก็คือหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
ตู้อวี๋อึ้งตะลึง คิดว่าตัวเองฟังผิดไปจึงถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสจะพูดว่าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยกระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ด้วยความสามารถในการได้ยินเช่นนี้ของเจ้า สามารถท่องอยู่ในยุทธภพมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”
ตู้อวี๋พลันกระจ่างแจ้ง แล้วจึงเริ่มทำการกวาดค้น มีผู้อาวุโสอยู่ข้างกายตน อย่าว่าแต่ศาลแม่ย่าลำคลองที่ไร้เจ้าของเลย ต่อให้เป็นวังมังกรใต้ทะเลสาบแห่งนั้น เขาก็สามารถขุดดินลงไปค้นสามฉื่อได้
เฉินผิงอันหลับตาเดินนิ่งต่อไป
จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงวัน ตู้อวี๋ถึงได้แบกห่อผ้าสองใบใหญ่กลับมาพร้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ
เฉินผิงอันเอ่ย “ถุงที่มีค่าเป็นของข้า อีกใบหนึ่งเป็นของเจ้า”
ตู้อวี๋หน้าม่อย “ผู้อาวุโส ข้าทำอะไรไม่ถูกหรือ?”
เฉินผิงอันยังคงเดินนิ่งไม่หยุด พลางเอ่ยเนิบช้าว่า “การฝึกตนก็มีกฎของการฝึกตน ท่องอยู่ในยุทธภพก็มีกฎของการท่องยุทธภพ ทำการค้าก็มีกฎของการทำการค้า เข้าใจหรือไม่?”
อันที่จริงตู้อวี๋ไม่เข้าใจ แต่ก็แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ ไม่ว่าจะอย่างไร รับเอาถุงอีกใบหนึ่งไปอย่างอกสั่นขวัญผวาก็แล้วกัน
แต่ตู้อวี๋คิดดูแล้วก็เปิดถุงสองใบออก นำของมีค่าสองสามชิ้นที่อยู่ในถุงของตนใส่เข้าไปในถุงของผู้อาวุโส
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ขัดขวาง
เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด ทะยานตัวขึ้นไปบนหลังคาของสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งที่สูงที่สุด ทอดสายตามองไปทางเมืองสุยเจี้ย
จากนั้นเฉินผิงอันก็ฝึกท่าเดินนิ่งไปบนหลังคาเรือนแต่ละหลัง
ตู้อวี๋ให้รู้สึกอัดอั้นนัก เหตุใดไม่ว่ามองอย่างไรนั่นก็เหมือนท่าหมัดของคนในยุทธภพ ไม่คล้ายวิชาคาถาของตระกูลเซียนอะไรเลยเล่า?
แต่จากนั้นตู้อวี๋ก็พลันรู้สึกเลื่อมใส
การกระทำของผู้อาวุโสตรงหน้าคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นจริงๆ ย้อนกลับคืนสู่ธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว
ท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ ตู้อวี๋ก็ก่อกองไฟขึ้นมาอีกครั้ง เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เอาล่ะ ไปท่องยุทธภพของเจ้าต่อเถอะ อยู่ในศาลมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทุกคนที่จับตามองอยู่ก็พอจะมั่นใจได้แล้ว”
ตู้อวี๋รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
อุบายเล็กๆ น้อยๆ นี้ของตนมิอาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบแหลมของผู้อาวุโสไปได้จริงๆ ด้วย
หากทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันทันทีตั้งแต่ที่ท่าเรือ ตู้อวี๋ก็กลัวว่าตนจะไม่อาจมีชีวิตรอดเดินออกไปจากเมืองสุยเจี้ยได้
ตู้อวี๋ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็คิดว่าควรจะหยุดเมื่อพอสมควร จึงแบกถุงผ้าป่านใบนั้นเตรียมเดินมุ่งหน้าไปทางเมืองสุยเจี้ย
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ต่ออีกเดี๋ยว”
ตู้อวี๋ทำตามคำสั่ง วางถุงผ้าป่านลงแล้วนั่งขัดสมาธิบนพื้น ถามเสียงเบา “ผู้อาวุโส อันที่จริงข้ายังมียันต์ลับที่สืบทอดมาจากศาลบรรพจารย์ของสำนักอีกวิชาหนึ่ง ไม่เป็นรองยันต์รอยหิมะกับยันต์แบกศิลาสักเท่าไร”
เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือ “ก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย เจ้าทำเรื่องที่ขาดคุณธรรมเช่นนั้นก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ในเมื่อไม่มีอันตรายถึงชีวิต จะเอากฎของสำนักมาทำเหมือนการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับตัวเอง คงไม่ค่อยดีเท่าไร บนเส้นทางการฝึกตน ก่อนจะเป็นเซียนต้องรู้จักเป็นคนให้ได้เสียก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!