กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 508

เหอลู่สีหน้าเขียวคล้ำ

ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งที่มีหญิงชราฟ่านเหวยหรานเป็นผู้นำ รวมไปถึงผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายที่พึ่งพาพวกเขาต่างก็มีสีหน้าซับซ้อน

ตามหลักแล้วนี่คือเรื่องสนุกที่ยากจะได้เห็น อีกทั้งยังเป็นเรื่องครึกครื้นที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่กลัวก็แต่ว่าดูเรื่องสนุกเสร็จแล้ว ตัวเองจะต้องกลายเป็นที่ขบขันของคนอื่นไปด้วย

ส่วนผู้ฝึกลมปราณทางฝั่งของเย่หานแห่งนครหวงเยว่กลับมองดูเหมือนจะโกรธแค้นแทนเหอลู่ ทว่ากลับไม่มีใครกล้าออกเสียง ไม่มีสักคนเดียว

ในใจของผู้ฝึกตนทั้งสองกลุ่มเคียดแค้นทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างถึงที่สุด ค่ายกลใหญ่แห่งวังมังกรกับผายลมสุนัขอะไรถึงได้เหมือนก้อนเต้าหู้ถูกมีดหั่น เหมือนดินโคลนถูกกระบี่ฟันอย่างนี้?!

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขายืนอยู่ที่เดิม หลุบตาลงต่ำ เอาแต่มองพื้นอย่างเดียว

นี่เป็นท่าทีที่ค่อนข้างจะน่าขบคิดแล้ว คนมีเงินหากถูกใครมาทุบกำแพงดินเหลืองของบ้านตัวเองแตกยังต้องตวาดด่าสักสองสามคำ แต่นี่ค่ายกลใหญ่วังมังกรที่เป็นบ้านตนถูกคนผ่าทำลายบุกเข้ามาอย่างนี้ สิ่งที่สูญเสียไปคือเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ ทว่าเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม? ไหนบอกว่าทะเลสาบชางอวิ๋นคือมือวางอันดับหนึ่งของแคว้นอิ๋นผิงอย่างไรเล่า? ภายในหนึ่งแคว้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขุนเขาที่อยู่บนภูเขา หรือแม่ทัพอัครเสนาบดีที่อยู่ด้านล่างภูเขาก็ล้วนเคารพนับถือทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างถึงที่สุด ต่อให้เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะสวมชุดคลุมมังกรของจักรพรรดิอย่างเกินสถานะตัวเองก็ยังไม่เคยมีใครกล้าคิดเล็กคิดน้อยกับเขา

กลับกลายเป็นว่ายิ่งเป็นคนขอบเขตต่ำก็ยิ่งใจร้อนวู่วาม ใช่ว่าจะไม่มีใครอยากยืดอกเดินออกมาตวาดสั่งสอนเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่กลางวงล้อมสักคำสองคำ เดิมทีผู้ฝึกตนตัวเล็กตัวน้อยยังอยากจะเป็นผู้นำช่วยออกหน้า เพราะหวังว่าจะได้ผูกสัมพันธ์ควันธูปกับเซียนซือน้อยเหอโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง เพียงแต่ว่าไม่รอให้พวกเขาส่งเสียงก็ถูกพวกผู้ฝึกตนนิสัยสุขุมหนักแน่น ผู้อาวุโสในสำนัก หรือไม่ก็สหายบนเส้นทางการฝึกตนที่อยู่ข้างกายพากันใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในใจบอกเตือน ที่ต้องทำแบบนี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เพราะกลัวว่าหากหวังดีออกเสียงเตือนผู้อื่น จะต้องถูกพวกคนบุ่มบ่ามข้างกายพาให้ซวยไปด้วย วิชากระบี่ของเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง ในเมื่อแม้แต่ทัณฑ์สวรรค์ยังต้านรับไว้ได้ ถ้าอย่างนั้นแค่แสงกระบี่ของเขาเปล่งวาบง่ายๆ สักครั้ง ไม่ทันระวังฆ่าผิดไปทีละหลายคน ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

มุมปากของฟ่านเหวยหรานไม่เหลือรอยยิ้มเย็นชาอีกต่อไป สีหน้ามองดูแล้วค่อนข้างทึ่มทื่อด้วยซ้ำ

เย่หานเจ้าแห่งนครหวงเยว่หันหน้ามามองเซียนกระบี่ชุดขาวที่ฟันกระบี่ครั้งเดียวก็ทำลายค่ายกลใหญ่ได้ติดกันถึงสองค่ายกล แล้วถามว่า “เซียนกระบี่จะต้องดึงดันไม่ยอมเลิกรา ต้องให้ปลาตายตาข่ายขาดถึงจะยอมหยุดมืออย่างนั้นหรือ?”

เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นเพียงแค่โยนฝักกระบี่ในมือไปบนพื้นง่ายๆ ฝักกระบี่ก็เสียบลงไปใต้ดิน เขาหยิบเอาพัดพับที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา ทั้งไม่มองเย่หาน แล้วก็ไม่มองเหอลู่ เพียงใช้พัดพับตบฝ่ามือของตัวเองเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดมองไปเรื่อย เริ่มจากผู้เฒ่าผมขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทางฝั่งขวามือ ไล่มองไปจากตำแหน่งที่นั่งด้านบนขยับมาถึงที่นั่งด้านล่างที่ติดกับประตูตำหนักใหญ่ของวังมังกร “ได้ยินมาว่ามีเซียนซือจากยอดเขาเมิ่งเหลียงท่านหนึ่งที่ความคิดอัศจรรย์อย่างยิ่ง ถึงขนาดจ้างให้ปรมาจารย์ในยุทธภพคนหนึ่งไปนั่งกินขี้ในถังอาจม ใครกัน ลุกขึ้นมาให้ข้าชื่นชมหน่อยสิ หากคร้านจะลุกขึ้นยืน แค่ยกมือก็ได้”

ทางฝั่งของดินแดนเซียนเป่าต้ง ชายหญิงสะพายกระบี่อายุน้อยคู่หนึ่งหันมองหน้ากันเอง

เซียนกระบี่ท่านนี้ไม่ใช่ว่าคือบุรุษชุดเขียวสวมงอบที่นั่งกินโจ๊กอยู่ในร้านข้างทางนอกเมืองสุยเจี้ยยามเช้าตรู่ของวันนั้นหรอกหรือ? เปลี่ยนชุดใหม่ สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไป แต่ใบหน้านี้กลับไม่ผิดแน่!

สตรีผู้นั้นได้แต่ยิ้มขื่น ศิษย์น้องของตนช่างปากอีกาจริงๆ ตอนอยู่หน้าประตูเมือง ผู้เฒ่าที่มีลิงนั่งอยู่บนไหล่ก็คือตัวการร้ายที่แย่งชิงสมบัติหนักของตระกูลเซียนชิ้นนั้นไป ตอนนี้จอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนี้ก็ยิ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ฝีมือล้ำโลกคนหนึ่ง!

สุดท้ายสายตาของเฉินผิงอันไปหยุดอยู่บนร่างของผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลาง

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของตำหนักมากที่สุดทำคอย่น

ถามคำถามไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะคำตอบได้ถูกเปิดโปงออกมาแล้ว การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายของพวกเพื่อนร่วมงานทั้งหลายในศาลเทพอภิบาลเมือง เรียกได้ว่าไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย

ตอนนี้ก็เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ควันดำจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่เดิมทีมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นได้ถูกพายุลมกรดพัดทอนให้สลายหายไปจนเหลือขนาดเท่าแค่เม็ดพุทรา เขาใช้นิ้วข้างหนึ่งบิดหมุนเบาๆ พายุลมกรดเป็นเส้นๆ ก็รัดพันควันดำกลุ่มนั้นเอาไว้ ประหนึ่งเครื่องโม่ที่กำลังบดขยี้มัน เฉินผิงอันยิ้มถาม “ผู้ฝึกตนอิสระที่ข้าลืมถามชื่อคนนี้บอกว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของยอดเขาเมิ่งเหลียงพวกเจ้า จึงจะเป็นผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอาจไม่ได้มีสมองและความกล้านั้นเสมอไป ดังนั้นสรุปว่าเป็นเจ้านครใหญ่เย่ หรือเซียนซือน้อยเหอกันแน่?”

ผู้ฝึกลมปราณสี่คนของยอดเขาเมิ่งเหลียงโมโหจนกัดฟันกรอด แต่ท่านั่งก็ยังคงมั่นคงดุจหินผา

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ข้าแค่อยากรู้เรื่องหนึ่ง เย่หานแห่งนครหวงเยว่ที่วางแผนก่อนลงมือก็ดี เหอลู่ที่มีสติปัญญาโดดเด่นเหนือผู้ใดก็ช่าง ตอนที่มอบหมายให้พวกเจ้าทำเรื่องนี้ เขาได้ให้เงินพวกเจ้าหรือไม่? หากไม่ นครหวงเยว่ก็ไม่ค่อยจะมีคุณธรรมเท่าไรแล้ว”

เหอลู่ลุกขึ้นยืนช้าๆ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ใครทำคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ แล้วก็ไม่ต้องพูดว่า ‘เหอลู่มาก่อน’ อะไรอีกแล้ว บุญคุณความแค้นทั้งหมดของเมืองสุยเจี้ย ขอให้ยุติลงที่ข้าเหอลู่ หากข้าเหอลู่ตายไป แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะเซียนกระบี่มีวิชาสูงส่งกว่า ข้าเหอลู่ไร้ความแค้นไร้ความเสียใจ เซียนกระบี่รู้สึกว่าอย่างไร?”

เย่หานยิ้มบางๆ

หากไม่เดิมพันเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงของทะเลสาบชางอวิ๋นวันนี้ก็จะเหมือนทรายหนึ่งถาดที่กระจัดกระจาย จิตใจผู้คนแตกแยก กองกำลังบนกระดาษสามฝ่ายที่น่าจะเทียบเท่าได้กับเซียนคนหนึ่งก็จะหายไปกลายเป็นพวกหัวมังกุท้ายมังกรแทน

ฟ่านเหวยหรานรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย นางเหลือบตาขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่บรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้งท่านนี้มองเด็กหนุ่มจากนครหวงเยว่สูงขึ้น

ก่อนหน้านี้รู้สึกเพียงว่าเหอลู่คือตัวอ่อนของผู้ฝึกตนที่ไม่เป็นรองแม่หนูเยี่ยนของตัวเอง สมองเฉียบไว วางตัวเข้าสังคมได้ดี คิดไม่ถึงว่ายามที่ต้องเผชิญหน้ากับเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายจะยังนิ่งสงบได้ถึงขนาดนี้ นับว่าหาได้ยากทีเดียว

จิตใจมีปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ภายนอกกลับเหมือนธรรมดา ต้องเป็นผู้ที่พัฒนาได้ไกลอย่างแน่นอน

ประโยคนี้คงจะกล่าวถึงเด็กหนุ่มคนนี้กระมัง

ผู้ฝึกตนที่มีทั้งพรสวรรค์และสภาพจิตใจที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ขอแค่ไม่ตายไปก่อนวัยอันควร มหามรรคาก็มารออยู่ตรงหน้าแล้ว! เย่หานช่างโชคดีนัก ถึงได้มีคนผู้นี้มาเป็นแขนขาให้

หญิงชราคิดอยู่ในใจ

หรือว่าหากงานเลี้ยงฉลองในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นครั้งนี้ผ่านพ้นด่านที่ยากลำบากไปได้ ตนก็ควรตอบตกลงให้แม่หนูเยี่ยนกลายเป็นคู่สร้างคู่สมกับเขา? ถึงอย่างไรเหอลู่ก็เป็นคนต่างแซ่ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถสืบทอดดูแลนครหวงเยว่ของเย่หานได้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังอาศัยแม่หนูเยี่ยนให้นำพาเขาเข้ามาอยู่ในดินแดนเซียนเป่าต้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทั้งสามารถทำให้เย่หานโมโหแทบตาย แล้วก็ทั้งสามารถทำให้สำนักของตนพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น หากกุมารทองกุมารีหยกที่ไม่ว่าใครก็อิจฉาคู่นี้ได้กลายเป็นคู่รักเทพเซียน ถึงเวลานั้นภูเขาของหลายสิบแคว้นก็ต้องมีเกินครึ่งที่อาจจะกลายเป็นเขตอิทธิพลของดินแดนเซียนเป่าต้ง เชื่อว่าด้วยสายตาและความกล้าหาญของเด็กหนุ่มผู้นี้ คงจะคิดบัญชีเล่มนี้ได้อย่างชัดเจน

“เย่หาน ขอแค่คนผู้นี้พูดจาไม่เหมาะสมสักหน่อยก็อาจจะชักนำให้ฝูงชนเดือดดาล พวกเราอย่าได้พลาดโอกาสที่เหอลู่ช่วงชิงมาอย่างยากลำบากนี้ไปเด็ดขาด”

ดังนั้นฟ่านเหวยหรานจึงรีบใช้เสียงในใจบอกกับเย่หาน “วันนี้เจ้าและข้าสองฝ่ายโยนความขัดแย้งเก่าก่อนทิ้งไป ร่วมมือกันอย่างจริงใจ! อย่าได้ปกปิดอำพรางฝีมือกันอีกเลย สถานการณ์คับขัน ไม่มีเวลาให้พวกเราแต่ละฝ่ายใช้อุบายอีกแล้ว”

เย่หานตอบรับอย่างเด็ดเดี่ยวทันควัน

“ข้ายังนึกว่าเจ้าจะเอ่ยประโยคที่ว่า อภัยคนได้ก็จงให้อภัย แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแผนการมากมายในเมืองสุยเจี้ย ผู้บงการตัวจริงก็คือเจ้าเหอลู่แล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อเซียนซือน้อยเหอมีความรับผิดชอบเช่นนี้ ข้าก็นับถือในความเป็นชายชาตรีของเจ้า เอาล่ะ ขอให้ยุติที่เจ้าเหอลู่ หากเอากระบี่ไปไม่ได้ วันนี้ข้าที่อยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นจะเอาแค่หัวของเจ้าคนเดียวเท่านั้น”

เหอลู่อึ้งตะลึง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!