ข้อศอกของเฉินผิงอันเท้าอยู่บนที่เท้าแขนของเก้าอี้ โน้มร่างมาด้านหน้า ท่านั่งดูเกียจคร้าน “หากยังไม่พูด ข้าจะเลือกฆ่าเองมั่วๆ แล้วนะ”
ดังนั้นจึงเริ่มมีคนเปิดโปงรากฐานของผู้ฝึกลมปราณอีกคนหนึ่ง
คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งของสำนักศัตรู
รากฐานไม่ลึกล้ำ ขอบเขตก็ไม่สูง แต่กลับทำเรื่องเลวๆ ไว้ไม่น้อย
เป็นคนที่คนเล่าตั้งใจเลือกสรรมาเป็นพิเศษ
เมื่อเจอกับเส้นแบ่งแยกความเป็นความตาย หากไม่ใช้สมองเสียบ้าง แล้วจะให้รอไปร้องทุกข์ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่วังยมบาลในตำนานหรืออย่างไร?
วังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นยังคงมีแสงไฟสว่างเรืองรอง ยากจะแยกว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน
แต่ทัศนียภาพเหนือทะเลสาบกลับมีพระจันทร์เสี้ยวลอยเหนือกิ่งหลิวแล้ว บรรยายสงบเงียบเป็นสุข
ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยก็พากันดับตะเกียง ไม่ก็ปลดโคมไฟลงแล้วเช่นกัน แต่ละครอบครัวปิดประตูเงียบไม่ออกจากบ้าน ไม่มีใครกล้าเพิ่มแสงสว่างให้ยามค่ำคืนวันนี้เพื่อก่อเรื่องก่อราวโดยไม่จำเป็น
คลื่นมรกตแยกตัวออกจากกัน เซียนกระบี่หนุ่มชุดขาวที่ด้านหลังสะพายกระบี่คนหนึ่งเดินออกมา ข้างกายคือเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่จิตใจสงบลงได้แล้ว
ส่วนในวังมังกรแห่งนั้น เสียงถกเถียงดังอยู่นาน สุดท้ายก็ตายกันไปเกินครึ่ง หาใช่ครึ่งหนึ่งอย่างที่บอกไว้แต่แรกไม่
ทุกคนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ไม่มีใครรู้สึกว่านายท่านเซียนกระบี่ผู้นี้นิสัยชั่วร้าย ตนมีชีวิตรอดมาได้แล้ว ยังจะไม่รู้จักพออีกหรือ?
ในมือของเฉินผิงอันมีขวดกระเบื้องใสแวววาวขวดหนึ่งเพิ่มมา ด้านในมีน้ำไหลสีเขียวมรกตแผ่กระเพื่อมน้อยๆ แก่นโชคชะตาน้ำขวดนี้ไม่เพียงแต่หายากและมีมูลค่ามาก สำหรับตนแล้วยังไม่ต่างจากฝนที่ตกตรงเวลา
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้าแห่งทะเลสาบ เจ้าว่าสรุปแล้วเจ้าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่?”
เจ้าแห่งทะเลสาบที่ไม่มีชุดคลุมอาคมสีม่วงหรูหราตัวนั้นอยู่แล้วยิ้มอ่อน “ข้าไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย วันหน้าข้าที่เป็นเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะต้องปกป้องน้ำดินแถบนี้ให้ดีอย่างแน่นอน หากพูดถึงระยะยาว ก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลส่งเดชเหมือนอ้าปากเปิดแม่น้ำ แต่จะทำตามที่เซียนกระบี่สั่งความไว้ นั่นคือปกป้องอาณาเขตของทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ให้ลมฝนตกต้องตามฤดูกาลเป็นเวลาร้อยปี จะไม่มีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ส่วนหายนะจากมนุษย์นั้นก็จะยังคงทำตามคำสั่งของเซียนกระบี่ จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยมันไป”
“อ้าปากเปิดแม่น้ำ นี่ถือเป็นคำกล่าวที่ดีของบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางน้ำอย่างพวกเจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มแล้วก็เอ่ยอีกว่า “ยังมีเรื่องนั้น อย่าลืมเสียล่ะ”
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “ย่อมต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ เซียนกระบี่วางใจได้เลย หากไม่สำเร็จ วันหน้าเมื่อเซียนกระบี่กลับมาจากการเดินทางท่องเที่ยวแล้วผ่านทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ค่อยใช้กระบี่ฟันฆ่าให้ตายก็แล้วกัน”
เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นจึงทะยานลมจากไปไกล
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ไม่เพียงแต่ไม่มีชุดคลุมมังกร ยังไม่มีบัลลังก์มังกรตัวนั้นด้วยก้มตัวค้างไว้ไม่ยอมยืดเอวขึ้นตรงเป็นนาน รอจนกระทั่งเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นจากไปไกลได้ร้อยกว่าลี้แล้วถึงได้พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด
คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่มีชีวิตรอดมาได้ จะรู้สึกเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้
มหามรรคาไม่แน่นอนก็หนีไม่พ้นอย่างนี้เอง
ก่อนหน้านี้ตอนที่เซียนกระบี่อยู่ในตำหนักใหญ่ของวังมังกร เหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนเขาทำตัวเป็นเทพอภิบาลเมืองคนหนึ่งมีการให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจนเลยเล่า?
แปลกซะจริง
นี่คงจะเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงในตำนานกระมัง
ผู้ฝึกตนหญิงสองคนแหวกน้ำออกมาบนผิวทะเลสาบ เวลานี้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ได้เห็นดวงหน้างามล้ำนั้นอีกครั้งก็รู้สึกเพียงว่ามองแค่แวบเดียวยังรู้สึกแสบตา หายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งเหล่านี้ที่นำพามา!
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบแค่นเสียงเย็นในลำคอ แล้วจึงร่ายเวทหลบน้ำจากไป
เด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวพูดบ่น “เซียนกระบี่ผู้นั้นโลภในทรัพย์สินมากเลย ได้มงกุฎทองตระกูลเซียนของบรรพจารย์ฟ่านไปแล้ว แม้แต่บนศีรษะของอาจารย์อาหญิงเยี่ยนก็ยังไม่ยอมละเว้น! หากเท่านี้ก็ยังว่าไปอย่าง แต่เขายังกล้ามาถามว่ามีเงินร้อนน้อยเงินฝนธัญพืชหรือไม่ ที่ข้าไม่เลื่อมใสเซียนกระบี่ก็ถือว่าคิดถูกแล้วจริงๆ เซียนกระบี่ที่แม้แต่ห่านบินผ่านก็ยังจับมาถอนขนแบบนี้ ไม่มีมาดของเซียนกระบี่เลยแม้แต่น้อย!”
ที่แท้บนศีรษะของเยี่ยนชิงก็ไม่มีมงกุฎทองอยู่แล้ว
นางจับมือของเด็กสาว ทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยสีหน้าเคว้งคว้าง จากนั้นก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใช่แล้ว แม่หนูชุ่ยจะเลื่อมใสคนแบบนี้ไปไย”
เด็กสาวกอดแขนของเยี่ยนชิงไว้แล้วแกว่งเบาๆ ถามอย่างใสซื่อว่า “อาจารย์อาหญิงเยี่ยน ทำไมพวกเราไม่กลับดินแดนเซียนเป่าต้งพร้อมกับคนในสำนักล่ะ โลกภายนอกช่างอันตรายยิ่งนัก”
เยี่ยนชิงพลันหัวเราะ “แม่หนูชุ่ย พวกเราอย่าเพิ่งกลับสำนักกันเลย ไปลองท่องยุทธภพกันดูก่อนดีไหม?”
เด็กสาวคิดตามแล้วก็คลี่ยิ้มสดใส รอยยิ้มนั้นดุจแสงอาทิตย์สว่างจ้าน่ามอง “ตกลง ข้าอยากแอบดื่มเหล้ามาตั้งนานแล้ว!”
ยามที่ผู้ฝึกตนในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นแตกฮือเหมือนนกแตกรัง
เซียนกระบี่ชุดขาวก็ขี่กระบี่กลับเข้าเมือง แต่กลับไม่ได้ตรงไปที่เรือนผี
พอเก็บกระบี่สอดไว้ด้านหลังแล้วก็พลิ้วกายลงในตรอกเล็กที่มืดมิดแห่งหนึ่ง ก้มเอวไปหยิบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งขึ้นมา มือหนึ่งของเขาถือเงิน อีกมือหนึ่งใช้พัดพับเคาะหน้าผากตัวเอง หน้าตาบึ้งตึงคล้ายไม่อาจยอมรับตัวเองได้ ปากพูดพึมพำด้วยว่า “เงินที่สกปรกมือแบบนี้ก็ยังจะเก็บมาอีกหรือ? ตอนอยู่ในวังมังกรใต้ทะเลสาบก็ได้สมบัติมาก้อนใหญ่ขนาดนั้นแล้ว คงไม่ต้องทำถึงขั้นนี้กระมัง ช่างเถิดๆ ก็จริงนะ หากไม่เก็บไปทิ้งไว้ก็เสียเปล่า วางใจเถอะ หลายปีมานี้ยังไม่เคยได้เป็นผู้ฝึกตนดีๆ กับเขาสักที ข้าหาเงิน ข้าฝึกตน ข้าฝึกหมัด ใครที่ทำได้ไม่ดีพอก็ต้องเป็นลูกเป็นหลานของคนอื่น สังหารก่อกำเนิดยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่หากคิดจะงัดข้อกับตัวเองขึ้นมา ข้าเคยแพ้ด้วยหรือ? ก็ได้ เคยแพ้ แถมยังแพ้อนาถมากด้วย แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นข้าที่ร้ายกาจอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
คำพูดประโยคนี้เกรงว่าคงมีแต่เจียงซ่างเจินหรือไม่ก็หยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนที่มาอยู่ที่นี่เท่านั้นถึงจะฟังเข้าใจ
ชายแขนเสื้อกว้างโบกสะบัด เซียนกระบี่ชุดขาวเดินกลับเรือนผีอย่างเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้
บางครั้งที่เดินผ่านเรือนที่เทพทวารบาลหน้าประตูสามารถฟูมฟักแสงแห่งปัญญาได้บ้างแล้ว เทพเหล่านั้นก็จะพากันถอยร่นหลบซ่อนตัวทันที
ดีดปลายเท้ากระโดดข้ามกำแพง พลิ้วกายลงในลานเรือน
หลังจากเฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้นแล้ว ก็พลันหรี่ตาลงทันที
ตู้อวี๋ตกใจสะดุ้งโหยงเหมือนคนเห็นผีกลางวันแสกๆ รีบแบมือออก เผยให้เห็นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารซึ่งไม่รู้ว่าสามารถเอาไปซื้อเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างได้มากแค่ไหน แม้ว่าฟันจะกระทบกันดังกึกๆ แต่ก็ยังคงร้องทุกข์ออกมาอย่างหมดเปลือก “ผู้อาวุโส คนผู้หนึ่งที่ตอนแรกบอกว่าตัวเองชื่อโจวเฝย ภายหลังดันบอกว่าตัวเองชื่อเจียงซ่างเจินบอกว่าเป็นพี่น้องกับผู้อาวุโส แย่งเอาเด็กคนนั้นไปแล้ว ข้าถูกเขาร่ายเวทกักร่างจึงไม่อาจกระดุกกระดิกได้เลย ต่อให้คิดจะสู้สุดชีวิตก็ยังคงทำไม่ได้ เขายังบอกอีกว่าเด็กกำพร้าคนนั้นมีพรสวรรค์ในการฝึกตน เขาจะพากลับไปยังแจกันสมบัติทวีป บอกให้ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วง แค่ท่องเที่ยวอยู่ทางเหนืออย่างสบายใจก็พอ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปลดเจี้ยนเซียนแล้วโบกมือง่ายๆ หนึ่งที ทั้งกระบี่และฝักกระบี่ก็ปักตรึงลงไปกลางระเบียง จากนั้นเขาก็มานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ผูกเอว กระบี่บินสืออู่บินกลับเข้าไปด้านในอย่างเริงร่า เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง เอ่ยเนิบช้าว่า “รู้แล้ว เม็ดเสื้อเกราะจินอูชิ้นนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ ของที่ควรเป็นของเจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจเจ้าคนผู้นั้น ถึงอย่างไรเขาก็มีเงิน เงินมากไปยังร้อนลวกมืออีกด้วย”
ตู้อวี๋อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน อดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็เกร็งหน้ากลั้นยิ้มไม่ไหว ในที่สุดก็นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กได้อย่างสบายใจ พินิจพิเคราะห์เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นอย่างละเอียด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!