ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น “จะดีจะชั่วเจ้ากับข้าก็เคยเป็นพันธมิตรกันมาครั้งหนึ่ง แม้จะบอกว่าข้าปิดบังชื่อแซ่อยู่ในแคว้นเมิ่งเหลียง แรกเริ่มนั้นมีแผนการอยู่จริง แต่เมื่อผ่านประสบการณ์สัมผัสกับโลกีย์วิสัยกลับมีประโยชน์ต่อจิตเต๋าของข้าอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงสามารถกดข่มเจ้าได้ในทุกๆ เรื่อง ได้กำไรมากกว่าเจ้าเสมอ เจ้าคิดว่าเป็นเพียงแค่แผนการเล่นงานอย่างหนึ่งเท่านั้นหรือ? ไม่ใช่เลย แต่เป็นเพราะข้าคว้าจับโอกาสที่จะผสานมรรคาก่อกำเนิดก่อนเจ้ามาได้แล้ว หากเจียงซ่างเจินเป็นสหายของคนผู้นั้นจริง มีหรือจะจงใจทิ้งภัยร้ายเอาไว้เบื้องหลัง เว้นเสียแต่ว่าจะมองการณ์ไกลไปยิ่งกว่าข้าและเจ้า คิดคำนวณได้นานแล้วว่าจะต้องมีวันนี้ เจ้าไม่กลัว? แต่ข้ากลัว เพราะนี่คือแผนการอย่างโจ่งแจ้ง ข้ายินดีพาตัวเองลงไห ทำลายเรื่องดีๆ ของเจ้าก็คือการลงมือเพื่อขยับขยายอาณาเขตไปในหลายสิบแคว้นสำหรับการก่อตั้งสำนักของข้าในอนาคต สำหรับเจ้าเซี่ยเจินแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นแผนในมุมมืด ทุกสิ่งที่ลงแรงไปกลายเป็นความว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าถึงขั้นเดาออกเลยว่า กระบี่บินส่งข่าวที่ถูกข้าดักไว้เล่มนี้ เป็นเจียงซ่างเจินที่จงใจทิ้งไว้ให้ข้า”
เซี่ยเจินเก็บพลังอำนาจขุมนั้นมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำลายงานใหญ่ของข้า ยังจะทำให้จิตใจของข้าวุ่นวายอีก โจรเฒ่าอย่างเจ้าช่างดีดลูกคิดรางแก้วมาได้ดีจริงๆ”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เซี่ยเจิน จริงๆ เท็จๆ ดีๆ เลวๆ ไม่ว่าความตั้งใจแรกของข้าจะเป็นอะไร จริงใจหรือลวงหลอก ตามคำสัญญาที่มีก่อนหน้า ข้าจะไม่จงใจขัดขวางการดูดดึงปราณวิญญาณจากฟ้าดินของเจ้า เพียงแต่ว่าข้าแค่เดินนำไปก่อนหนึ่งก้าว ไม่ใช่สิ น่าจะเป็นสองก้าวแล้ว ดังนั้นในอนาคตยามที่ข้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ข้าค่อยให้ทางเลือกเจ้าอีกครั้ง จะหนีไปจากที่นี่ ทำตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่งต่อไป หรือจะเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักข้า เจ้าและข้าไม่จำเป็นต้องช่วงชิงกันบนมหามรรคาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นในพื้นที่เล็กๆ เช่นนี้อีก? หากสามารถมีหยกดิบสองคนในหนึ่งสำนัก มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน สนิทสนมแนบแน่น เจ้าและข้าต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระที่ใครเห็นก็รังเกียจ นี่จะไม่กลายเป็นเรื่องเล่างดงามที่ผู้คนทั้งอุตรกุรุทวีปเล่าขานกันไปเป็นพันปีหรอกหรือ?”
เซี่ยเจินเงียบงันไม่เอ่ยตอบโต้ เพียงแค่เงยหน้าจ้องนิ่งไปยังผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อที่ยืนอยู่บนยอดเขา
สุดท้ายเซี่ยเจินถึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดจาวางโตอย่างนี้ตั้งแต่ต้น เพราะคิดจะซื้อใจข้าให้ไปเป็นผู้ถวายงานของสำนักเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงไป ต่อให้เจ้าเป็นเซียนดินพสุธาในสายตาของคนบนโลก แต่ละคนก็ยังได้แต่ทำตัวลอยไปตามกระแส หลังจากที่ได้สมบัติมีบุญบารมีชิ้นนั้นมาครอบครอง ตอนนี้สภาพจิตใจของข้าจึงเริ่มเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์แบบ ถึงได้มีความใจกว้างและวิสัยทัศน์เช่นนี้ คาดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลังจากเจียงซ่างเจินทำร้ายให้เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว ถึงได้ไม่มีความคิดที่จะตีหมาตกน้ำซ้ำเติม ไม่อย่างนั้นในเมื่อข้าดักกระบี่บินไว้ได้แล้ว จะยังยอมทนดูเจ้ามายึดครองภูเขาจี้หวนไม่ยอมไปไหนคาตาของตัวเองหรอกหรือ? ใช้บาดแผลแลกบาดแผล ก็ต้องตัดรากถอนโถนให้จงได้ มีผู้ฝึกตนอิสระคนใดบ้างที่จะไม่ทำ?”
เซี่ยเจินใช้สองมือกดไว้บนร่างงูเขียวมีเขางอกที่กำลังอยู่ในสภาวะหลับลึกตัวนั้น แล้วกระตุกมุมปาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า กระบี่บินที่ข้าส่งไป ไม่ได้มีแค่เพียงเล่มเดียว? เล่มที่เจ้าได้ไปครอง เป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาเท่านั้น? เป็นข้าที่จงใจปล่อยให้เจ้าดักไปได้? เจ้าไม่ลองคำนวณดูเสียหน่อยเล่า นับตั้งแต่ที่เจียงซ่างเจินออกจากเมืองสุยเจี้ยเดินทางกลับลงใต้ กับวันที่ข้าปรากฏตัวในภูเขาจี้หวน เป็นเพราะข้าเซี่ยเจินคำนวณไว้เรียบร้อยแล้วว่าเขากับเซียนกระบี่ทางทิศเหนือมีหวังที่จะปรากฎตัวพร้อมกันหรือไม่?”
ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “พูดถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าอยากเดิมพันก็ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าเซี่ยเจินก็เดิมพันจนคลั่งไปแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
เซี่ยเจินแสยะยิ้มดุดัน “ใช่ ตอนนี้ข้าเดิมพันจนคลั่งไปแล้ว หากเจ้ายังมาทำตัวยืนพูดไม่ปวดเอวอยู่ตรงนี้ ก็อย่ามาโทษที่ข้ายอมทุ่มสุดชีวิตให้ตัวเองบาดเจ็บอีกครั้ง แต่ก็ต้องทำให้เจ้าหลอมเม็ดกระบี่เม็ดนั้นช้าขึ้นให้จงได้!”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ช่างเถิด ถือเสียว่าสำนักของข้าในอนาคตขาดผู้ถวายงานขอบเขตหยกดิบไปคนหนึ่งแล้วกัน”
เซี่ยเจินโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ตวาดกร้าว “เจ้าสุนัขแก่ไสหัวไปเสียที เห็นหน้าเจ้าแล้วรำคาญตา!”
ผู้เฒ่าเพียงยิ้มรับ ก่อนที่ร่างจะหายวับไป
เซี่ยเจินยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักของศาลาเหมือนสัตว์ที่ติดกับ เขาเดินวนเป็นวงกลม จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง ยอดเขาน้อยใหญ่สิบกว่าแห่งซึ่งรวมถึงภูเขาจี้หวนเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนถูกมีดตัดเข้าที่ฐานภูเขา พากันลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วจึงถูกเซี่ยเจินบังคับค่ายกลย้ายภูเขา ทำให้ยอดเขาชี้ลงดินห้อยกลับหัว แล้วจึงพากันร่วงกระแทกพื้น ทุกครั้งที่กระแทกลงในบริเวณสายน้ำภูเขาใกล้เคียงจะต้องมีฝุ่นคลุ้งกระจายมืดฟ้ามัวดิน พลานุภาพที่ยอดเขาทุกลูกกระแทกลงบนพื้นล้วนมีพลังพิฆาตอันน่าตะลึงที่อยู่ระหว่างขอบเขตโอสถทองกับขอบเขตก่อกำเนิด น่าเสียดายก็แต่ยันต์ค่ายกลประเภทนี้เป็นสิ่งไร้ชีวิต หากเสียเวลาอยู่กับมันนานเกินไปจะขยับเคลื่อนไปไหนไม่ได้ เซียนกระบี่หนุ่มที่สมควรโดนแทงเป็นพันเป็นหมื่นครั้งคนนั้นถูกเจ้าตะพาบเฒ่าแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่เดินเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาจี้หวน ค่ายกลย้ายภูเขาที่พลังอำนาจมหาศาลเพราะต้องทุ่มเงินไปก้อนใหญ่จึงกลายมาเป็นเรื่องตลกและของประดับตกแต่งอย่างหนึ่งเท่านั้น เวลานี้จึงถูกเซี่ยเจินเอามาระบายไฟโทสะที่อัดแน่นอยู่ในอก
ในรัศมีพันลี้โดยรอบต่างก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวอันน่าตะลึงเป็นระลอกราวกับวัวดินกำลังพลิกตัว
ทำให้พวกเย่หานสามคนที่มองดูอยู่หัวใจหดรัดเกร็ง
สุดท้ายเซี่ยเจินก็เตรียมจะกระชากเอารากภูเขาของภูเขาจี้หวนลูกนี้ขึ้นมาแล้วบังคับให้ไปกระแทกอยู่กลางอากาศสูงเหนือทะเลเมฆด้วย
เพียงแต่ว่าเซี่ยเจินขมวดคิ้ว
บนเส้นทางของสันเขามีคนเดินลงมาสองคน หรือจะพูดให้ถูกคือสามคน
ชายหญิงคู่หนึ่งที่ลักษณะคล้ายคู่บำเพ็ญเพียรเดินเคียงไหล่กันมาพลางพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานไปด้วย ในอ้อมอกของสตรียังอุ้มห่อผ้าที่ห่อเด็กทารกเอาไว้ สีหน้าของนางอ่อนโยนยิ่ง
ตรงเอวของสตรีห้อยกระบี่ยาวสีขาวหิมะที่ยาวมากเล่มหนึ่ง
เซี่ยเจินรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ส่วนบุรุษคนนั้นก็ยิ่งทำให้เซี่ยเจินเสียววาบไปทั้งแผ่นหลัง
บุรุษคนนั้นบ่นว่า “เอะอะอะไรกันนี่ เสียงดังหนวกหูลูกของข้ากับพี่หญิงลี่แล้ว เดี๋ยวก็ต้องทำหน้าผีหลอกให้นางอารมณ์ดีอีก นางถึงจะหยุดร้องไห้”
คราวนี้เซี่ยเจินสิ้นหวังจริงๆ แล้ว
สตรีที่ถูกบุรุษผู้นั้นเรียกอย่างสนิทสนมว่าพี่หญิงลี่
หากเป็นท่านผู้นั้นที่ตนเดาไว้จริง วันนี้ต่อให้ทุ่มสุดชีวิตก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดไปได้
เซียนกระบี่หญิงภาคกลางของอุตรกุรุทวีปมีนามว่าลี่ไฉ่
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมีนามว่าเกล็ดหิมะ
กระบี่ประจำกายมีนามว่าซวงเจียว
คือหนึ่งในเซียนกระบี่ที่ยังไม่เคยเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัว และตอนนี้ยังคงอยู่ที่อุตรกุรุทวีป
เพื่อแสดงถึงความเคารพ ดังนั้นเซียนกระบี่จึงกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่
ฟังดูเหมือนฝืนใจอย่างมาก
แต่พลังสังหารของนางนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอน
เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทุกคนของอุตรกุรุทวีปล้วนไม่มีใครที่ไร้ฝีมือ ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ยกตัวอย่างเช่นท่านผู้นั้นของสำนักฉงหลิน ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังไม่อยากจะไปท้าทาย เอาชนะมาได้ก็ยังรังเกียจว่าน่าอับอาย แต่หากมีเซียนกระบี่คนใหม่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ก็แทบจะต้องประลองกระบี่สู้ตายกับเซียนกระบี่อีกหลายคน หากตายไป แน่นอนว่าเป็นเพราะโชคไม่ดี ความสามารถไม่สูงยังกล้าทำตัวอวดเก่ง แบกรับบรรดาศักดิ์ของเซียนกระบี่เอาไว้ไม่อยู่ ตายไปก็ไม่นับเป็นอะไรได้ แต่หากสามารถรอดตายมาได้ก็จะมีคุณสมบัติที่จะหยัดยืนอยู่บนแผ่นดินของอุตรกุรุทวีป
เซี่ยเจินกัดฟัน หันหน้าไปคารวะยังทางภูเขาแล้วเอ่ยว่า “คารวะเซียนกระบี่ใหญ่ลี่ คารวะผู้อาวุโสเจียง”
เจียงซ่างเจินผู้นั้นยิ้มตาหยี “โอ้ เวลานี้รู้จักเรียกข้าว่าผู้อาวุโสแล้วรึ”
สตรีผู้นั้นขมวดคิ้ว “หากไม่เป็นเพราะเห็นว่าเจ้ายังพอจะรู้กาลเทศะ รู้จักส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าวข้า เวลานี้เจ้าคงตายไปแล้ว ผู้ฝึกตนอิสระอย่างเจ้านี่ไม่รู้จักมารยาทเลยหรือไร เปลี่ยนลำดับทักทายเสียใหม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!