เพียงไม่นานคนทั้งสี่ก็เดินมาทันบัณฑิตชุดขาว ตอนที่เดินสวนไหล่กัน ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าถือกระบอกธูปใบใหญ่ใบหนึ่งไว้ในมือ เขาชำเลืองตามองคนผู้นี้ แต่ไม่นานก็ดึงสายตากลับ เด็กหนุ่มที่มองดูเหมือนนิสัยซื่อๆ ส่งยิ้มมาให้ บัณฑิตก็ส่งยิ้มกลับไปให้เขา เด็กหนุ่มจึงยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม ต่อให้หันหน้ากลับไปแล้วก็ยังไม่ได้หุบรอยยิ้มลงในทันที
สตรีที่อายุมากกว่าขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่เอ่ยอะไร น้องสาวของนางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกนางคว้าจับชายแขนเสื้อเอาไว้ บอกเป็นนัยแก่น้องสาวว่าอย่าสร้างเรื่อง เด็กสาวจึงยอมหยุด ทว่าเด็กสาวที่สองแก้มแดงก่ำเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ยังอดใจไม่ไหวหันหน้ากลับมา ยิ้มถามว่า “บัณฑิตอย่างเจ้าก็จะไปจุดธูปไหว้พระที่วัดจินตั๋วด้วยหรือ? เจ้าไม่รู้หรือไรว่าชาวบ้านของเมืองอวี้ฮู่ต่างก็ไม่ไปที่นั่นกันแล้ว เจ้ากลับดีนัก คิดจะไปชิงธูปประธานหรืออย่างไร?”
บัณฑิตปาดเหงื่อบนหน้าผาก หอบหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองอวี้ฮู่ มีสหายที่รู้จักกับภิกษุที่วัดจินตั๋ว บอกว่าหากไปที่นั่นสามารถไปพักค้างแรมอ่านตำราได้ ทั้งเงียบสงบ แล้วก็ไม่ต้องจ่ายเงิน”
เด็กสาวกำลังจะพูด แต่กลับถูกพี่สาวของนางหยิกแขน เจ็บจนใบหน้าของนางยับยู่ หันหน้ามาพูดเบาๆ “ท่านพี่ ตอนนี้กลางวันแสกๆ ใกล้ๆ นี้คงไม่มีพวกผีในวัดมาสืบข่าวที่นี่หรอก หากบัณฑิตคนนี้ไปที่วัดจินตั๋วจริงๆ ถึงเวลานั้นพวกเราตีกับพวกผีขึ้นมา สรุปว่าเราจะช่วยเขาหรือไม่ช่วยเล่า? แบบนั้นจะยิ่งไม่ลำบากใจกว่าเดิมหรอกหรือ? หากไม่ช่วย ต่อให้สังหารภูตผีปีศาจและได้เงินมาแล้ว มโนธรรมในใจของข้าก็คงไม่อาจสงบลงได้ ข้าจะบอกเขาสักคำ ไม่ให้เขาพาตัวไปตายเปล่าๆ อ่านหนังสือที่ไหนดันไม่อ่าน จะไปอ่านในรังของพวกผีเสียได้ คนผู้นี้ก็จริงๆ เลย ด้วยโชคที่ย่ำแย่เช่นนี้ของเขา แค่มองก็รู้แล้วว่าคงไม่มีชะตาดีๆ ที่จะสอบติดกระดานทองคำได้หรอก”
พี่สาวของนางถอนหายใจเบาๆ ใช้นิ้วดีดหน้าผากเด็กสาวแรงๆ “พยายามพูดให้น้อย ขวางบัณฑิตไว้ได้แล้ว เจ้าก็ห้ามเอาแต่ใจอีก การเดินทางไปเยือนวัดจินตั๋วหลังจากนี้ต้องเชื่อฟังข้าทุกเรื่อง!”
เด็กสาวปิติยินดี ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง มาเดินเคียงไหล่กับบัณฑิต ยิ่งทิ้งระยะห่างจากสามคนที่อยู่เบื้องหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ประโยคแรกของเด็กสาวนั้นเข้าใจพูดอย่างมาก “บัณฑิตท่านนี้ เจ้าแต่งงานหรือยัง คิดว่าพี่สาวของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร?”
บัณฑิตต่างถิ่นยิ้มกล่าว “แม่นางอย่าล้อข้าเล่นเลย”
เด็กสาวพลันคลี่ยิ้ม “หยอกเจ้าเท่านั้นแหละ”
จากนั้นเด็กสาวก็ตีหน้าเคร่ง “หลังจากนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว ตอนนี้วัดจินตั๋วแห่งนั้นอันตรายอย่างมาก มีผีร้ายกลุ่มหนึ่งปรากฎตัวแล้วขับไล่ภิกษุในวัดไปท่ามกลางแสงสายัณห์ ขนาดเจ้าอาวาสที่พอจะมีวิชาคาถาติดตัวอยู่บ้างก็ยังตายคาที่ แถมยังมีพวกภิกษุและคนมีจิตศรัทธาอีกส่วนหนึ่งที่หนีไม่ทันต้องตายไป พวกมันยึดครองวัด กินคนจริงๆ นะ เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าไปเลย ตอนนี้ในวัดไม่มีพระหัวโล้นแม้แต่คนเดียว ไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปสืบข่าวที่เมืองดูได้ ถ้าข้าโกหกเจ้า เจ้าก็แค่ไปกลับเสียเที่ยวเท่านั้น แต่หากข้าไม่ได้โกหกเจ้า เจ้าจะไม่ต้องมาตายอย่างอยุติธรรมอยู่ต่างบ้านต่างเมืองหรอกหรือ? ยังจะสอบติดตำแหน่งดีๆ สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลได้อย่างไร?”
บัณฑิตคนนั้นถาม “แล้วทำไมพวกเจ้าถึงจะไปจุดธูปไหว้พระที่นั่นล่ะ?”
เด็กสาวกระทืบเท้า “นี่เจ้ามองไม่ออกหรือว่าพวกเราเป็นคนมีความสามารถที่มาเพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร?!”
บัณฑิตอึ้งตะลึงไป ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “บนโลกนี้มีภูตผีปีศาจเสียที่ไหน แม่นางอย่าได้หลอกข้าเลย”
สตรีและชายฉกรรจ์ที่เดินอยู่ด้านหน้าหันมามองหน้ากัน ต่างก็ส่ายหัว
เด็กหนุ่มก็ยิ่งกระตุกมุมปาก
มีเพียงเด็กสาวสองแก้มแดงปลั่งน่ารักน่าเอ็นดูที่ร้อนใจขึ้นมาแล้ว “พี่สาวข้าบอกว่าบัณฑิตอย่างพวกเจ้าล้วนดื้อดึง ยากที่จะกลับใจมากที่สุด หากเจ้ายังไม่รู้จักหนักเบาแบบนี้ต่อไป ข้าคงต้องต่อยเจ้าให้สลบ จากนั้นก็โยนเจ้าไว้ในศาลา แต่ทำแบบนั้นก็มีอันตราย หากถึงยามค่ำคืนแล้วมีพวกภูตผีตัวสองตัวหนีรอดออกมาได้ ถ้าพวกมันได้กลิ่นคนเข้า เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี บัณฑิตที่อ่านตำรามากจนสมองทึ่มทื่อรีบไปได้แล้ว!”
บัณฑิตพูดอย่างโง่งม “ตอนนี้ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ในกระเป๋าก็ไม่มีเงิน ไม่อาจเดินไปกลับเมืองอีกจริงๆ อีกเดี๋ยวข้าจะรอดูอยู่ข้างนอกวัดจินตั๋วก็แล้วกัน หากไม่มีผู้มีจิตศรัทธาและภิกษุอยู่เลยสักคนเดียว ข้าค่อยหันหัวกลับทันที”
เด็กสาวทอดถอนใจ “พี่สาวข้าบอกแล้วว่า ผีเหล่านั้นมีตบะสูงส่งลึกล้ำ สามารถร่ายใช้วิชาอภินิหาร แผ่ปราณดุร้ายปิดบังไปทั่วแผ่นฟ้า เมฆทะมึนบดบังดวงอาทิตย์ ถึงเวลานั้นเจ้ายังจะหนีอย่างไร?”
เด็กสาวตะโกนไปข้างหน้า “ท่านพี่ ให้ข้าพาเจ้าทึ่มผู้นี้กลับไปที่เมืองก่อนเถอะ อย่างมากข้าก็แค่ต้องวิ่งให้เร็วสักหน่อย รับรองว่าจะไปถึงวัดจินตั๋วก่อนฟ้ามืดได้แน่นอน”
พี่สาวของนางพูดอย่างเดือดดาล “พวกเราเลือกเวลากันมาก่อนตั้งแต่แรกแล้ว นี่ก็เพราะกังวลว่าผีในวัดจะสามารถปรากฏตัวตอนกลางวัน และยังพยายามหายันต์มาเพิ่มให้มากขึ้น หากผีร้ายพวกนั้นสามารถบังคับเมฆให้ปกคลุมวัด ไม่มีเจ้า พวกเราจะทำอย่างไร เจ้าคิดจะช่วยเก็บศพให้พวกเราสามคนหลังจบเรื่องอย่างนั้นหรือ? มรสุมที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เจ้าลืมไปแล้วหรือไร?!”
เด็กสาวอัดอั้นไม่สบายใจ ร้องอ้อรับหนึ่งที ไหล่ลู่คอตก พูดกับบัณฑิตว่า “บัณฑิต ไปเสียเถอะ พวกเราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย ข้าคงไม่ถึงขั้นที่ต้องเอาเจ้ามาหาความบันเทิงให้ตัวเอง จงใจหลอกว่าที่วัดจินตั๋วมีผีเข้าออกหรอก”
ทว่าบัณฑิตกลับทำให้นางโมโหจนน้ำตาคลอ เขายังดึงดันบอกว่าจะต้องไปดูที่หน้าประตูวัดจินตั๋วกับตาตัวเองให้ได้
นางเตรียมจะยื่นมือปล่อยหมัดใส่เขา ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย แต่นางก็ไม่อาจทนเห็นเขาพาตัวไปตายคาตาตัวเองได้
คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนอนหนังสือผู้นั้นจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว “แม่นางอย่าได้ลงไม้ลงมือกับคนอื่นสิ วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ หากถูกเจ้าตีสลบแล้วทิ้งไว้ในศาลา ถึงเวลานั้นหากมีคนมาขโมยหีบไม้ไผ่ของข้าไป เจ้าจะชดใช้เงินให้ข้าหรือไร?”
เด็กสาวหันตัวกลับ วิ่งเร็วๆ จนตามไปทันพี่สาว ยกมือเช็ดใบหน้าอย่างแรง
นางรู้สึกว่าเหตุใดใต้หล้านี้ถึงมีคนที่ใจดำขนาดนี้ได้
นางใกล้จะเสียใจตายอยู่แล้ว
แต่นางก็อดไม่ไหวหันกลับไปมองอีกครั้ง เจ้าหมอนั่นยังตามมาจริงๆ
ในขณะที่นางลังเลว่าควรจะต่อยเขาอีกครั้งดีไหม เจ้าตัวดีนั่น เวลาที่ควรฉลาดไม่ฉลาด เวลาที่ควรโง่กลับไม่โง่ เขาดันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับมาเบื้องหน้า
เด็กสาวกำลังจะด่าเขา แต่กลับถูกพี่สาวคว้าแขวนเอาไว้ “หยุดทำตัวเหลวไหลได้แล้ว!”
เด็กสาวก้มหน้าลง
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ
ดูท่าคงทำให้คนดีคนหนึ่งต้องผิดหวังแล้ว
เขายังคงเดินตามมาด้านหลังช้าๆ สองฝ่ายทิ้งระยะห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ
เด็กสาวกำลังจะหันหน้ากลับไป แต่กลับถูกพี่สาวของนางตวาดดุ “จะต้องทำร้ายให้พวกเราตายหมด เจ้าถึงจะพอใจใช่ไหม? เจ้าไม่กลัวหรือว่า แท้จริงแล้วคนผู้นั้นคือผีชางของกลุ่มผีร้ายนั่น?”
ในที่สุดเด็กสาวก็ไม่หันกลับไปอีก
นางก้มหน้าเดินเตะก้อนหินเล็กๆ ไปตลอดทาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!