บัณฑิตชุดขาวขมวดคิ้วน้อยๆ ยกมือตบหน้าผาก พูดอย่างระอาใจว่า “ด้วยความสามารถน้อยนิดแค่นี้ของพวกเจ้ายังกล้ามากำจัดปีศาจปราบมารที่วัดจินตั๋วอีกหรือ แถมข้ายังช่วยเจ้าสังหารผีร้ายไปตั้งแปดเก้าในสิบส่วนแล้วนะ”
เขายิ้มบางๆ ดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งที
การโคจรของควันดำที่ก่อนหน้านี้ไม่มีพันธนาการบางอย่างคอยสยบกำราบไว้พลันหยุดชะงัก พลิ้วกายลงพื้นกลายร่างเป็นผีร้ายสูงจั้งกว่าตัวหนึ่ง บวกกับที่มีแสงอาทิตย์จ้าสาดส่องลงมา ในที่สุดก็ถูกคนทั้งสี่ที่ตกอยู่ในอันตรายรายล้อมพุ่งเข้าสังหาร
เด็กสาวก้มตัวลง เช็ดเลือดสดตรงมุมปากและจมูก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ท่านพี่ ครั้งนี้ข้าไม่ได้เป็นตัวถ่วงใช่ไหม?!”
หญิงสาวที่รอดตายมาได้ดวงตาแดงก่ำ เดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายนาง ประคองน้องสาวที่ยืนได้ไม่มั่นคงเอาไว้แล้วถลึงตาใส่นาง “ทำตัวอวดเก่งเป็นวีรสตรีอะไรกัน พูดให้น้อยหน่อย รักษาบาดแผลให้ดี”
เด็กหนุ่มมองกระจกโบราณที่ผิวกระจกปริแตกไม่เหลือสภาพดี จากนั้นก็มองอาจารย์ที่ยืนหอบเป็นวัวอยู่ข้างกาย ฝ่ายหลังอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แต่พอเห็นแววตาดุร้ายของเด็กหนุ่ม เขาที่ลังเลอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าเบาๆ
ชายฉกรรจ์กวาดตามองรอบด้านพลางพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่นางซีหนิง แม่หนูเฉวียน ตอนนี้ดูแล้วฟ้าดินแจ่มกระจ่าง แค่มองก็รู้ว่าภูตผีปีศาจถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว ไม่สู้วันนี้พวกเราพักรักษาตัวในวัดหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่เมืองดีไหม?”
สตรีขมวดคิ้ว “แม้จะบอกว่าวัดจินตั๋วไม่มีปราณชั่วร้ายอยู่แล้วก็จริง แต่ถึงอย่างไรพวกผีร้ายก็มายึดครองที่นี่อยู่นาน หากมีพวกปลาที่หลุดรอดแหไปได้ ข้ากับน้องสาวใช้ยันต์ไปหมดแล้ว ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ต่อสู้อีก รีบกลับไปที่เมืองจะดีกว่า”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “พี่หญิงซีหนิง หากพวกเรากลับไปเร็ว เจ้าเมืองต้องเข้าใจผิดคิดว่าการกำจัดปีศาจปราบมารของพวกเราง่ายดายมาก หากเจอกับพวกคนที่หน้าไม่อายหน่อย เงินห้าพันตำลึงยังพูดง่าย เพราะมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร พวกเราน่าจะเอากลับมาได้ แต่เจ้าเมืองจะใจจำไม่ยอมจ่ายเงินสามหมื่นตำลึงหรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว พวกเราน่ะ วันนี้ไม่เพียงแต่จากไปไม่ได้ กลับกันยังต้องรื้อกำแพงวัดบางส่วนด้วย ตอนที่กลับไปถึงจะได้รับเงินรางวัลมาเต็มจำนวน อีกทั้งต้องจงใจบอกกับเจ้าเมืองด้วยว่าผีร้ายของที่แห่งนี้ยังหนีรอดไปได้ตนสองตน พอพวกเราได้เงินมาแล้ว ต้องขอเพิ่มอีกห้าพันตำลึง ถึงจะสามารถทำภาระกิจกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบ”
เด็กสาวกลอกตามองบน แล้วนางก็ต้องรีบอุดปาก หันหน้าไปกระอักเลือดอีกรอบ ค่อนข้างน่าอายแหะ
หญิงสาวใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ายิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ พรุ่งนี้ค่อยกลับเข้าเมือง พวกเราพักอยู่ในวัดก่อนสักคืนหนึ่ง พวกเราสองพี่น้องก็จะได้พักรักษาตัวพอดี”
และเวลานี้เองบัณฑิตชุดขาวที่มีสีหน้าตื่นตกใจคนหนึ่งก็วิ่งมาจากด้านข้างของตำหนักหน้า “เหตุใดบนพื้นของตำหนักหน้าถึงได้มีกระดูกขาวมากมายขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่เห็นภิกษุเลยแม้แต่คนเดียว…หรือว่ามีภูตผีอาละวาดจริงๆ …”
เด็กสาวรู้สึกรำคาญเขามาก แต่พอเห็นว่าเขายังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้อยู่ก็รู้สึกสบายใจขึ้น
หลังจากนั้นสองอาจารย์และศิษย์ก็ไปเก็บยันต์ส่วนที่เหลือ รวมถึงเอาพวกข้าวสารเสกเก่าแก่เหล่านั้นกลับมาบรรจุใส่ถุงอีกครั้ง วันหน้ายังสามารถเอาไปใช้ได้อีก
ส่วนสตรีก็เลือกหาห้องที่ค่อนข้างเงียบสงบซึ่งเวลาปกติทางวัดมีไว้ให้ผู้มีจิตศรัทธาที่มีเงินมาพักอาศัยคัดคัมภีร์มาห้องหนึ่ง เด็กสาวนั่งขัดสมาธิอยู่กลางระเบียง เริ่มเข้าฌานทำสมาธิ
ส่วนพี่สาวนางก็สำรวจตรวจตราสถานที่ต่างๆ ต่ออีกครั้ง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น
บัณฑิตขี้ขลาดคนนั้นยืนกรานว่าจะตามพวกนางมาด้วย เขาปลดหีบไม้ไผ่ลง แล้วนั่งอยู่บนขั้นบันไดทำตัวเป็นเทพทวารบาล
ท่ามกลางแสงสนธยา หญิงสาวก็ย้อนกลับมา กวาดเอาสิ่งของจำพวกคัมภีร์ที่ยังสมบูรณ์แบบซึ่งมองดูแล้วน่าจะมีราคาบรรจุลงในห่อผ้าใบใหญ่ สะพายขึ้นหลังเอากลับมาด้วย
เด็กสาวลืมตาขึ้น ยิ้มกล่าวกับแผ่นหลังของบัณฑิตคนนั้น “อีกเดี๋ยวก็จะมืดแล้ว ไม่นานก็จะมีผีร้ายมาปรากฏตัว เจ้ายังไม่หนีไปอีกหรือ?”
บัณฑิตชุดขาวคนนั้นหันหน้ามายิ้มบางๆ ให้นาง “ในตำราบอกไว้ว่า คนกลัวผี ผียิ่งกลัวใจคน แต่ข้ารู้สึกว่าแม่นางเจ้าเป็นคนดี ดังนั้นอยู่ข้างกายเจ้าไม่ไปไหนน่าจะดีกว่า”
เด็กสาวพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก สุดท้ายชูหมัดขึ้น “สรุปว่าเจ้าชมข้าหรือด่าข้ากันแน่? หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลแบบนี้อีก ระวังข้าจะต่อยเจ้าเอานะ?!”
บัณฑิตคนนั้นชูมือทั้งสองข้างขึ้น “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ”
เด็กสาวหัวเราะหึหนึ่งที พลันรู้สึกนึกสนุก “ข้าไม่ใช่วิญญูชนอะไรทั้งนั้น ข้าเป็นสตรี มา ให้ข้าป้อนหมัดเจ้าหนึ่งที หากต่อยให้เจ้าฉลาดขึ้นได้อีกหน่อย ไม่แน่ว่าเจ้าอาจสอบติดมีชื่ออยู่บนกระดานทองคำก็ได้นะ!”
คนผู้นั้นสมกับเป็นหนอนหนังสือที่อ่านตำราจนทึ่มทื่อจริงๆ เขาถึงได้หัวเราะเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าแม่นางทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมา มีจิตใจกว้างขวางเมตตา ไม่ได้แย่ไปกว่าวิญญูชนเลย”
สีหน้าของหญิงสาวเริ่มไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อคุณชายคือบัณฑิตคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าวิญญูชน ก็ควรจะรู้หลักมารยาทที่ชายหญิงไม่ใกล้ชิด เหตุใดยังทำหน้าหนาดึงดันจะอยู่ที่นี่ มันเหมาะสมแล้วหรือ?”
เด็กสาวรู้สึกว่าบัณฑิตเปลี่ยนมาเป็นฉลาดขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว ได้ยินเพียงเขาเอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่วิญญูชนเสียหน่อย เป็นเพียงบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง หากในวัดจินตั๋วมีผีอยู่จริงๆ ข้าก็คงไม่วิ่งออกไปตายหรอก อยู่ที่นี่นั่นแหละดีแล้ว”
หญิงสาวตวาดเสียงกร้าว “ไสหัวไป!”
เด็กสาวกำลังจะพูด แต่กลับถูกพี่สาวของนางถลึงตาใส่จึงตกใจอึ้งไป
บัณฑิตจึงได้แต่สะพายหีบไม้ไผ่เดินออกไปจากเรือนอย่างกล้าๆ กลัวๆ
คาดว่าคงจะไปนั่งหันหน้าเข้าผนังทบทวนตัวเองอยู่ข้างนอกกระมัง?
เด็กสาวพูดเสียงเบา “ท่านพี่ ทำไมต้องดุขนาดนี้ด้วย เขาก็แค่หนอนหนังสือคนหนึ่งเท่านั้น”
หญิงสาวขมวดคิ้ว “ตอนนี้เจ้าต้องรักษาบาดแผล ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ได้ คนผู้นี้ปรากฎตัวอยู่บนเส้นทางมุ่งหน้ามาวัดก็แปลกประหลาดมากพอแล้ว เข้ามาในวัดจินตั๋วพร้อมกับพวกเราก็ยิ่งผิดปกติ หากไม่เป็นเพราะเขาเดินนำหน้าพวกเรามาก่อน อย่าว่าแต่ไล่คนเลย ให้ลงมือกับเขาข้าก็จะไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย”
นางพูดเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนต่อไปเถอะ”
เด็กสาวพยักหน้ารับ เพียงแต่ว่ายังคงชำเลืองตามองไปทางประตูเรือน
พี่สาวของนางโมโหจนกลายเป็นขำ “ไม่มีผีอะไรแล้ว แค่คนเป็นๆ อย่างพวกเราห้าคน เขาก็แค่ต้องนอนอกสั่นขวัญผวาอยู่ข้างนอกคืนเดียว เจ้าไม่เป็นห่วงพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง? ไม่เป็นห่วงพวกเขาที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่เรามา แต่ดันไปห่วงเขาที่เป็นคนนอกน่ะหรือ ทำไม เห็นว่าเขาเป็นบัณฑิตก็เลยหวั่นไหว? ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรล่ะว่า ใต้หล้านี้ก็มีบัณฑิตนี่แหละที่พึ่งพาไม่ได้มากที่สุด…”
เด็กสาวพูดวิงวอน “ก็ได้ๆ ข้าจะฝึกตนเดี๋ยวนี้ ตั้งใจฝึกตนเดี๋ยวนี้เลย!”
ม่านราตรีหนาหนัก
เด็กสาวนั่งอยู่ตรงระเบียงสงบใจทำสมาธิ จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ภายใน
ส่วนหญิงสาวก็นั่งพักผ่อนอยู่ตรงขั้นบันได แต่ไม่กล้าหลับสนิทไปจริงๆ
เพราะถึงอย่างไรก็อยู่ที่วัดจินตั๋ว
ทันใดนั้นก็มีลูกดอกหลายลูกพุ่งแหวกอากาศเข้ามาทางประตูเรือน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!