ทางทิศเหนือของแคว้นไหวหวงคือแคว้นเป่าเซียง เป็นแคว้นที่พระพุทธศาสนารุ่งเรือง วัดวาตั้งเรียงรายมากมายดุจก้อนเมฆ
ตอนผ่านด่านเข้ามา เอกสารผ่านด่านของเฉินผิงอันยังคงได้รับการประทับตราอยู่เหมือนเดิม เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเขาก็มักจะหยิบมาเปิดดู เอกสารผ่านทางที่อยู่ในมือฉบับนี้เป็นของใหม่ เว่ยป้อเป็นคนทำให้ ส่วนฉบับก่อนหน้านั้นได้ถูกประทับตราไว้จนแน่นขนัด ตอนนี้จึงเก็บเอาไว้ที่เรือนไม้ไผ่
เฉินผิงอันยังคงสวมงอบสะพายกระบี่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า เดินขึ้นเขาลงห้วย เข้าไปในป่าเขาลึกเสี่ยงอันตรายอยู่เพียงลำพัง บางครั้งถึงจะขี่กระบี่ทะยานลม เวลาพบเจอเมืองในโลกมนุษย์ก็จะเดินเท้าเข้าไปแวะเวียน ตอนนี้ยังอยู่ห่างจากสวนน้ำค้างวสันต์ของซ่งหลานเฉียวโอสถทองบนเรือข้ามฟากอีกค่อนข้างไกล
ยามอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ส่วนใหญ่แล้วคนหลังค่อมมักจะเจอคนหลังค่อม คนขาเป๋ก็มักจะเจอกับคนขาเป๋
ผู้ฝึกตนที่เหยียบย่างลงบนเส้นทางของความเป็นอมตะก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ มักจะเจอผู้ฝึกตนจำนวนมากกว่าเดิม แน่นอนว่ายังรวมถึงสัตว์ประหลาดที่อยู่ตามภูเขาหนองบึง หรือพวกภูตผีที่หลบตัวซ่อนแฝงอยู่
แต่นอกจากจะลงมือในเมืองอวี้ฮู่แคว้นไหวหวงครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งอื่นๆ เฉินผิงอันทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ หลุบสายตามองต่ำมายังโลกมนุษย์จากบนภูเขา ในที่สุดก็พอจะมีสภาพจิตใจของผู้ฝึกตนบ้างแล้ว
เพียงแต่ว่าเขายังคงฝึกหมัดไม่หยุด หลังออกมาจากหุบเขาผีร้าย เฉินผิงอันก็เริ่มตั้งใจฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว คิดว่ารอให้ฝึกครบสองล้านหมัดเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะเจอกับคนสี่คนที่คิดจะกำจัดปีศาจปราบมาร เดิมทีเฉินผิงอันก็คิดว่าหลังจากสังหารกลุ่มภูตผีเพียงลำพังแล้ว จะรอให้พวกภิกษุกลับมาแล้วอยู่ต่อในวัดจินตั๋วอีกสักสองสามวัน สอบถามเกี่ยวกับเนื้อหาภาษาสันสกฤตบนคัมภีร์กระดาษดำอักษรทองแผ่นนั้น แน่นอนว่าต้องแยกภาษาสันสกฤตเหล่านั้นออกมาแล้วถามจากภิกษุหลายๆ ครั้ง จำนวนตัวอักษรมีไม่มาก รวมแล้วแค่สองร้อยหกสิบคำ ดึงเอาตัวอักษรที่เหมือนกันเหล่านั้นออก คิดดูแล้วเวลานำมาถามก็น่าจะไม่ยาก ทรัพย์สินทำให้คนเกิดความหวั่นไหว เมื่อความหวั่นไหวบังเกิดจิตมารก็บังเกิด จิตใจคนดั่งผีร้าย ผีหวาดกลัวคน อาจารย์และศิษย์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธในวัดจินตั๋วคู่นั้นก็เป็นเช่นนี้
เดินทางผ่านเมืองทางทิศใต้ของแคว้นเป่าเซียงมาสองแห่ง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าที่นี่มีภิกษุเดินเท้าเปล่า ใบหน้าแห้งตอบ ถือบาตรบำเพ็ญทุกรกิริยา ออกบิณฑบาตไปทั่วทุกแห่งอยู่มากมาย
หากเฉินผิงอันพบเจอพวกเขาระหว่างทางก็จะวางมือข้างหนึ่งตั้งไว้เบื้องหน้า ผงกศีรษะเป็นการคารวะทักทายเบาๆ
แคว้นเป่าเซียงนอกจากจะมีภิกษุเยอะมีวัดมากและควันธูปมากแล้ว ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพก็มากมายดุจขนวัวเช่นกัน วันนี้เฉินผิงอันที่เดินอยู่ท่ามกลางทะเลทรายเหลืองอร่ามได้เจอกับผู้คุ้มกันขบวนหนึ่งที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ทางเหนือ นอกจากรถม้าที่บรรจุข้าวของไว้จนเต็มคันรถแล้ว ยังมีเสียงกระดิ่งผูกคออูฐที่ส่งเสียงดังกรุ้งกริ้ง เหล่าผู้คุ้มกันแต่ละคนร่างกายแข็งแกร่งมีพละกำลัง ต่อให้เป็นสตรีก็มีผิวพรรณดำคล้ำ ทว่ากลับเผยให้เห็นความองอาจผึ่งผาย อันที่จริงสตรีที่เป็นเช่นนี้ก็น่ามองไปอีกแบบ
คนหนุ่มขี่ม้าคนหนึ่งมองเห็นบัณฑิตชุดขาวที่เดินอยู่เบื้องหน้า ไม่เพียงแต่ชุดคลุมสีขาวหิมะของเขาเท่านั้นที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายสีทอง บนศีรษะก็มีทรายติดอยู่ไม่น้อย อีกฝ่ายกำลังเดินหน้าต้านลมไปอย่างยากลำบาก ฝีเท้าซวนเซ ถูกขบวนรถทิ้งระยะห่างอย่างต่อเนื่อง เขาจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ค้อมเอวเอื้อมไปปลดถุงน้ำที่ผูกไว้ฝั่งหนึ่งของอานม้าออกมา ยิ้มถามว่า “หุบเขาลมเหลืองแห่งนี้มีระยะทางอีกร้อยกว่าลี้ อาจารย์น้อยพกน้ำมาพอหรือไม่? หากไม่พอก็เอาไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองผู้คุ้มกันหนุ่มที่ริมฝีปากแห้งแตกจนมีเลือดซึมออกมา แล้วชี้ไปยังน้ำเต้าข้างเอว ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ในกามีน้ำ ในหีบไม้ไผ่ก็ยังมีถุงน้ำอยู่”
คนหนุ่มจึงเก็บถุงน้ำไปแขวนไว้ดังเดิม แล้วยิ้มกล่าวอีกว่า “ยามค่ำคืนหุบเขาลมเหลืองแห่งนี้จะหนาวเย็นอย่างมาก อีกทั้งวิถีทางโลกทุกวันนี้ก็แปลกประหลาด ยิ่งไม่สงบร่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีพวกสิ่งสกปรกบุกเข้ามาในหมู่ชาวบ้าน ดังนั้นช่วงนี้วัดใหญ่แต่ละแห่งจึงมีภิกษุจำนวนมากเดินเข้าออก อาจารย์น้อยพยายามเดินตามพวกเราให้ทันแล้วกัน ทางที่ดีที่สุดคือไปพักเท้าค้างแรมที่ริมทะเลสาบคนใบ้ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยกัน คนมากปราณหยางก็โชติช่วง แล้วยังมีคนคอยช่วยดูแลกันและกันได้ เดิมทีสถานที่แห่งนี้ก็มีพวกภูตผีออกอาละวาดยามค่ำคืนอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่ขู่ให้เกรงกลัวอย่างแน่นอน ดังนั้นอาจารย์น้อยอย่าได้เดินรั้งท้ายขบวนอยู่ตัวคนเดียวเด็ดขาด แต่ก็ไม่ต้องกลัวมากเกินไปนัก ที่หุบเขาลมเหลืองมักจะมีภิกษุสมณศักดิ์สูงมีคุณธรรมยิ่งใหญ่มาสร้างกระท่อมสวดพระคัมภีร์อยู่ หากมีสิ่งสกปรกเข้าออกจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้าเข้าใกล้มาทำร้ายผู้คน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอบคุณจอมยุทธน้อยที่เอ่ยเตือน ข้าจะต้องไปให้ถึงทะเลสาบก่อนฟ้ามืดแน่นอน”
แคว้นเป่าเซียงไม่ได้อยู่ในอันดับของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นอิ๋นผิง แคว้นไหวหวงเป็นหนึ่งในนั้น เป็นเหตุให้ชาวบ้านและพวกชาวยุทธในยุทธภพเคยชินกับพวกภูตผีปีศาจตัวประหลาดกันมานานมากแล้ว ทางแถบทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป ภูตผีอยู่อาศัยปะปนกับคนมานานหลายปีจนนับเวลาได้ไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นในเรื่องของการรับมือกับผีหรือปีศาจสิ่งชั่วร้าย ตลอดทั้งบนและราชสำนักแคว้นเป่าเซียงจึงต่างก็มีวิธีการรับมือเป็นของตนเอง เพียงแต่ว่าเมื่อ ‘นักเล่านิทาน’ แคว้นเมิ่งเหลียงท่านนั้นคลายค่ายกลใหญ่บ่อสายฟ้าออกไป ปราณวิญญาณที่อยู่ด้านนอกก็กรอกเทเข้าสู่หลายสิบแคว้น ภาพบรรยากาศประหลาดเช่นนี้ ผู้ฝึกตนที่อยู่อาศัยบนเส้นชายแดนรับสัมผัสได้เร็วที่สุด พวกภูตผีที่มีวิธีการในการฝึกตนก็ย่อมไม่ช้าไปกว่ากัน พวกเขาจึงเบียดเสียดยัดเยียดกันเข้ามา พ่อค้าแสวงหากำไร ภูตผีเองก็อาศัยสัญชาตญาณของตนไล่ตามปราณวิญญาณไปเช่นกัน ดังนั้นถึงได้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดเกิดที่เมืองปู้เหยา เมืองอวี้ฮู่สองแห่งของแคว้นไหวหวง ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจากแคว้นเป่าเซียงนี้ที่กรูกันเข้าไปทางทิศใต้
นี่ถึงได้มีคำกล่าวของผู้คุ้มกันหนุ่มที่บอกว่าวิถีทางโลกยิ่งไม่สงบร่มเย็น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!