กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 510

เซียนซือแปดท่านของจวนชิงชิ่งที่มารวมตัวกันอยู่ข้างกายสตรีสวมหมวกม่านเห็นว่าแสงกระบี่สองเส้นนั้นหายไปแล้ว ต่างก็ถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่พอคิดถึงคำของจิ้นเยว่ที่บอกว่าจะไปเยือนสำนัก แต่ละคนก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน โดยเฉพาะหญิงสาวสวมหมวกม่านที่ยิ่งอารมณ์หนักอึ้ง แต่พอคนทั้งเก้ามองไปยังบัณฑิตชุดขาวที่เวลานี้กำลังปาดเหงื่อบนหน้าผากแรงๆ แล้ว ในใจก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะคนผู้นี้ช่วยออกหน้ามาดึงดูดความสนใจไปจากคุณชายจิ้นเยว่แห่งตำหนักจินอูผู้นั้น พวกเขาเก้าคนก็คงต้องเจอปัญหามากกว่านี้ ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะหนีหายะไปไม่พ้น ต้องเปิดฉากต่อสู้กันหนึ่งครั้ง ถึงแม้กองกำลังของจวนชิงชิ่งจะเป็นรองตำหนักจินอูอยู่หนึ่งระดับ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าเห็นผู้ฝึกกระบี่สองคนแล้วต้องลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ

ไม่ว่าจะอย่างไร การลงภูเขาออกจากสำนักมาจับปีศาจครั้งนี้ ก็ต้องเรียกว่าโชคไม่ดีซวยตลอดปีอย่างแท้จริง

ในอนาคตหากสำนักคิดจะขัดขวางไม่ให้จิ้นเยว่ขึ้นเขาไปประชันกระบี่ ด้วยรากฐานของจวนชิงชิ่ง แน่นอนว่าไม่ยาก แต่นับจากนี้ไปจวนชิงชิ่งก็จะต้องไม่ถูกกับตำหนักจินอูแล้ว ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เลย

สตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้ากุมหมัดยิ้มกล่าว “คุณชายเฉินท่านนี้ ข้าชื่อว่าเหมาชิวลู่ มาจากจวนชิงชิ่งแห่งแคว้นเถาจือทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นเป่าเซียง ขอบคุณคุณชายเฉินที่ช่วยพูดจาผดุงคุณธรรม”

คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “ไม่ได้พูดจาผดุงคุณธรรมอะไร ก็แค่อยากจะขอซื้อภูตน้ำของทะเลสาบคนใบ้ตนนั้นจากพวกเซียนซือ”

แม่นางน้อยชุดดำที่ยังคงยกสองแขนกอดอก ยามนี้ได้ยินก็ตะโกนอย่างไม่พอใจ “ภูตน้ำใหญ่!”

เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ตอนที่เจอกับเซียนกระบี่ของตำหนักจินอู ทำไมเจ้าไม่เรียกตัวเองว่าภูตน้ำใหญ่เล่า?!”

แม่นางน้อยกลอกตา “เมื่อครู่นี้ข้าเจ็บคอ เลยพูดไม่ได้ หากเจ้าแน่จริงก็บอกให้เซียนกระบี่ผายลมสุนัขของตำหนักจินอูนั่นกลับมาสิ ดูสิว่าข้าจะพูด…”

ไม่รอให้แม่นางน้อยชุดดำเอ่ยจบ

เห็นเพียงว่าขอบม่านฟ้าที่ห่างไปไกลปรากฏเส้นแสงสีทองที่ยาวประมาณพันจั้งกว่าเส้นหนึ่งสาดยิงพุ่งตรงมายังจุดลึกบางจุดในหุบเขาลมเหลือง

เฉินผิงอันหรี่ตาลง ชำเลืองตามองแวบเดียวก็ถอนสายตากลับ

โอ้ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองเสียด้วย

ดูท่าบรรพจารย์อาน้อยที่ผู้ฝึกตนชายหญิงของตำหนักจินอูคู่นั้นเรียกขานจะลงมือด้วยตัวเองแล้ว?

หลังจากนั้นฟ้าดินก็กลับคืนมากระจ่างใส แสงกระบี่เส้นนั้นค่อยๆ สลายหายไป

แม่นางน้อยรีบยกมือกุมหัว ตะโกนเสียงดัง “ภูตน้ำน้อย ข้าเป็นแค่ภูตน้ำน้อยที่ตัวเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเท่านั้น…”

สตรีสวมหมวกม่านยิ้มเจื่อนเอ่ยกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มาจากสำนักเดียวกันกับนาง “หากคนผู้นี้ลงมือ ปล่อยกระบี่ใส่พวกเรา นั่นก็คงเป็นปัญหาใหญ่แล้ว”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “นิสัยของเซียนกระบี่ผู้นี้เย็นชา หยิ่งทระนงนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ทำอะไรไม่เหมือนกับจิ้นเยว่ที่ชอบโอ้อวดบารมี สมกับเป็นคนบนภูเขาอย่างมาก ในสายตาของเขาไม่เคยเห็นเรื่องราวทางโลก ทุกครั้งที่ลงจากภูเขามาเงียบๆ ก็เพียงแค่เพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร ใช้พวกปีศาจมาชำระล้างกระบี่เท่านั้น ครั้งนี้เกรงว่าคงมาเพื่อเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้แก่พวกจิ้นเยว่ เพราะถึงอย่างไรบรรพจารย์หวงเฟิงของที่แห่งนี้ก็คือโอสถทองตัวจริงเสียจริง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาการหลบหนี หากไม่ระวังก็อาจต้องเจอภัยพิบัติพาตัวไปตาย ข้าว่ากระบี่นี้ที่ปล่อยออกมา คาดว่าภายในสิบปีนี้บรรพจารย์หวงเฟิงคงไม่กล้าโผล่หน้าออกมากินภิกษุโดยเฉพาะอีก”

สตรีสวมหมวกม่านที่เรียกตัวเองว่าเหมาชิวลู่มองไปทางบัณฑิตชุดขาว ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า “หนึ่งเพราะจวนราชครูต่ายเงินซื้อปีศาจตัวนี้ด้วยราคาที่สูงมาก สองเพราะตอนนี้ไปมีเรื่องกับจิ้นเยว่แห่งตำหนักจินอูแล้ว หากคุณชายเฉินรับเผือกร้อนลูกนี้ไป ย่อมไม่เหมาะสม แม้จะบอกว่าจวนชิงชิ่งของพวกเราไม่แข็งแกร่งเท่าตำหนักจินอู แต่ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเพราะภูตน้ำทะเลสาบคนใบ้แห่งนี้ จะดีจะชั่วเราก็เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล จึงไม่ต้องเกรงกลัวตำหนักจินอูมากเกินไปนัก”

เฉินผิงอันเก็บพัดพับมาเหน็บไว้ที่เอว ยิ้มบางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ตลอดทางที่ข้าเดินทางท่องเที่ยวขึ้นเหนือมานี้ หาเงินอย่างยากลำบากก็เพื่อเอามาใช้จ่าย เหมาเซียนซือเปิดราคามาได้เต็มที่เลย อีกอย่างข้าก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่หยุดอยู่กับที่เหมือนจอกแหนใบหนึ่ง ตำหนักจินอูคิดจะระบายไฟโทสะใส่ก็ต้องหาข้าให้เจอก่อนถึงจะได้ ดังนั้นขอแค่เหมาเซียนซือยินดีขาย ข้าก็เต็มใจซื้อ”

แม่นางน้อยชุดดำพูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่ยอมขายให้เจ้าหรอก บัณฑิตมีแต่พวกคนเลว ไม่สู้ให้ข้าไปจวนชิงชิ่งของพี่สาวคนนั้น ไปเป็นเพื่อนบ้านของเทพวารีองค์หนึ่งยังดีเสียกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะยังหลอกกินหลอกดื่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินได้”

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “ไม่กลัวแสงกระบี่ของเซียนกระบี่ตำหนักจินอูหรือ? หากเซียนกระบี่ใหญ่จิ้นผู้นั้นรู้ร่องรอยของเจ้า แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่การเป็นโจรพันวัน ไหนเลยจะมีหลักการที่ต้องป้องกันโจรพันวัน ทุกวันใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน ภูตน้ำใหญ่อย่างเจ้าจะรับได้ไหวหรือ?”

แม่นางน้อยขมวดคิ้ว เริ่มใช้ความคิดอย่างหนัก หากอยากรู้ว่านางตั้งใจใช้ความคิดมากเพียงใดก็ดูแค่คิ้วที่ขมวดมุ่นของนางก็รู้แล้ว

เฉินผิงอันหันไปมองเซียนซือจากจวนชิงชิ่งกลุ่มนั้นแล้วยิ้มกล่าว “เปิดราคามาเถอะ”

สตรีหันไปมองยังผู้อาวุโสในสำนักท่านนั้น ฝ่ายหลังพยักหน้าให้เบาๆ

เหมาชิวลู่ยังคงถามเสียงเบาว่า “คุณชายเฉินไม่กลัวว่าตำหนักจินอูจะมาหาเรื่องไม่เลิกราจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าแค่หลบคนของตำหนักจินอูพวกเขาก็พอ”

เหมาชิวลู่พูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “แต่ทางจวนราชครูให้ราคาเป็นเงินหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชเพื่อซื้อภูตปลาน้อยตัวนี้ อันที่จริงก็ขายไม่ได้ราคาสูงขนาดนี้หรอก เพียงแต่ว่าเกี่ยวพันกับตำแหน่งแม่ย่าลำคลอง ก็เลย…”

แม่นางน้อยพูดอย่างเดือดดาล “ว่าไงนะ? แค่เหรียญเดียว? ไม่ใช่หนึ่งร้อยเหรียญรึ?! ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว! เจ้าบัณฑิตที่สวมชุดขาว เร็ว จ่ายเงินฝนธัญพืชให้แม่นางน้อยหมัดอ่อนนุ่มผู้นี้ไปหนึ่งร้อยเหรียญเลย หากเจ้ากะพริบตาสักครั้งก็ไม่ถือว่าเป็นวีรบุรุษชายชาตรี!”

เฉินผิงอันคร้านจะสนใจภูตน้ำน้อยที่น้ำเข้าสมองตนนี้ เขายื่นเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งส่งไป

ใบหน้าของเหมาชิวลู่ผู้นั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง กล่าวอย่างจนใจว่า “คุณชายเฉินซื้อจริงๆ หรือนี่?”

และเวลานี้เอง

ภิกษุเฒ่าใบหน้าและเรือนกายผอมซูบท่านหนึ่งก็พลิ้วกายมายืนอยู่บนเนิน ด้านหลังคือภิกษุสีหน้าเฉยชาอีกหลายสิบท่าน อายุแตกต่างกันไป มีทั้งเด็กและแก่

ด้านหน้าทุกคนห้อยลูกประคำเอาไว้ ทำมาจากวัสดุธรรมดาทั่วไป ทว่าแต่ละเส้นล้วนมีแสงสีทองไหลเวียนวน เมื่ออยู่ในม่านราตรีก็สะดุดตาอย่างถึงที่สุด

หลังจากยืนได้มั่นคงแล้ว ภิกษุเฒ่าก็พูดเสียงทุ้มหนัก “เซียนกระบี่ตำหนักจินอูจากไปไกลแล้ว ทว่าบรรพจารย์หวงเฟิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส นิสัยดุร้ายป่าเถื่อนกำเริบ ถึงขนาดไม่ยอมรักษาตัวอยู่ในรากภูเขาแต่โดยดี กลับกลายเป็นแว้งมาจับคนกิน อาจารย์ลุงของอาตมาได้คุมเชิงอยู่กับเขาห่างออกไปหลายสิบลี้แล้ว แต่คงกักตัวเขาไว้ไม่ได้นานนัก พวกเจ้ารีบตามอาตมาออกไปจากอาณาเขตของหุบเขาลมเหลืองแห่งนี้ รีบลุกขึ้นออกเดินทางเสีย ห้ามอืดอาดล่าช้าเด็ดขาด”

เฉินผิงอันโยนเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นให้สตรีสวมหมวกม่านเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ทำการค้าเสร็จ พวกเราก็หนีกันได้แล้ว”

เหมาชิวลู่กัดฟันรับเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมา เมื่อกำไว้ในมือก็รู้ว่าเป็นเงินฝนธัญพืชจริงแท้แน่นอนเหรียญหนึ่ง

ภูตน้ำน้อยรีบตะโกนว่า “ยังมีกระพรวนเส้นนั้นอีก อย่าลืมล่ะ! เจ้าก็ต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งซื้อกลับมาด้วย!”

เฉินผิงอันยังคงไม่สนใจนาง

แม่นางน้อยพองแก้มป่อง บัณฑิตคนนี้ทำอะไรไม่รวดเร็วฉับไวเสียเลย

สตรีสวมหมวกม่านปลดกระพรวนเส้นที่อยู่บนข้อมือลงมามอบให้กับบัณฑิตชุดขาวที่นางยังคงมองไม่ออกว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณคนนั้น

ผู้อาวุโสของสำนักนางโบกมือหนึ่งครั้ง ค่ายกลยันต์แปดทิศที่กินอาณาบริเวณไปทั่วผิวน้ำทะเลสาบก็พลันหุบเข้าหากัน กักตัวแม่นางน้อยที่ร่างชักกระตุกเกร็งยามอยู่ในตาข่ายยักษ์ของยันต์สีเงินมาไว้บนฝั่ง เซียนซือคนอื่นๆ ของสำนักชิงชิ่งก็พากันควบคุมเอาเข็มทิศกลับไป

เหมาชิวลู่ยิ้มกล่าว “พวกเราถอนค่ายกลยันต์ออกแล้ว แต่คุณชายเฉินก็ต้องดูให้ดีล่ะ อย่าให้นางหนีลงทะเลสาบไปได้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!