อันที่จริงแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ดีมาก
เป็นคนดื้อรั้น โง่งมอย่างแท้จริง ทว่าบนร่างของนางกลับมีบางอย่างที่ต่อให้ทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อมาได้ ก็เหมือนผู้คุ้มกันหนุ่มที่ปากแห้งแตกจนเลือดซึมที่ยื่นถุงน้ำส่งมาให้จากบนหลังม้าคนนั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่ได้รับเอาไว้ ก็ยังรู้สึกคลายกระหายไปได้
แม่หนูน้อยถูกคนข้างนอกรังแกมาอย่างหนัก แต่ดูเหมือนนางจะรู้สึกว่านั่นก็คือเรื่องของข้างนอก เดินโซซัดโซเซมาถึง ก่อนจะเปิดประตู นางไปหลบตรงสุดปลายทางของระเบียงที่ห่างไปไกลก่อน นั่งยองอยู่ในมุมนั้นนานมาก อาการถึงจะพอบรรเทาได้ จากนั้นก็เดินเข้ามาในห้องนี้ ไม่รู้สึกว่าการที่ข้างกายของตนมี…เซียนกระบี่ที่สนิทสนมกัน แล้วจะต้องเป็นอย่างไร
นางคงรู้สึกว่านี่ก็คือยุทธภพของตนเองกระมัง? คือหนึ่งในเรื่องราวแห่งยุทธภพที่ตนเก็บสะสมเอาไว้เขียนลงบนหนังสือในอนาคต เรื่องบางอย่างจำเป็นต้องเขียน แต่เรื่องน่าอายหรือเรื่องเล็กๆ บางอย่างก็แล้วไปเถิด ไม่ต้องเอาไปเขียน
เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ในมือถือพัดพับโบกเอาลมเย็นๆ เข้าหาตัวเป็นระลอก “เจ็บก็บอกว่าเจ็บสิ ข้าไม่ใช่บัณฑิตที่จะช่วยเขียนเรื่องราวให้เจ้าสักหน่อย จะต้องกลัวอะไร”
แม่นางน้อยหน้าม่อยลงทันใด น้ำหูน้ำตาอาบใบหน้า เพียงแต่ยังไม่ลืมรีบหันหน้าไปกลืนเลือดที่กลบอยู่ในปากตัวเองลงคอแรงๆ
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
แม่นางน้อยยกสองมือขึ้นเช็ดปาดป่ายไปบนใบหน้าอย่างสะเปะสะปะ ก้มหน้าลงไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไม กลัวว่าถ้าเล่าแล้ว วันนี้กว่าจะมีโอกาสออกจากหีบไม้ไผ่ ออกจากห้องไปเดินเล่นคนเดียวในระยะเวลาสั้นๆ ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าไปก่อเรื่องเข้า เพราะฉะนั้นวันหน้าก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
อันที่จริงเดินทางผ่านภูเขาสายน้ำมาร่วมกันมากมายขนาดนี้ นางไม่เคยก่อเรื่องเลยสักครั้ง
เพียงแค่เบิกตากว้างมองไป สำหรับฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลด้านนอกหุบเขาลมเหลืองและทะเลสาบคนใบ้ นางล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และจินตนาการวาดฝัน
แม่นางน้อยชุดดำพยักหน้ารับเบาๆ อย่างเซื่องซึม
เฉินผิงอันหุบพัดเข้าหากัน ยิ้มกล่าว “ไหนลองเล่ามาสิ ตลอดทางมานี้ เจ้าเห็นเรื่องตลกของข้ามามากมาย เจ้าก็ควรจะทำให้ข้าได้หัวเราะสนุกบ้างแล้วกระมัง? นี่เรียกว่าปฏิบัติต่อผู้อื่นเฉกเช่นเดียวกับที่เขาปฏิบัติต่อตน”
แม่นางน้อยฟุบตัวลงบนโต๊ะ เอียงศีรษะแนบติดผิวโต๊ะ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาเช็ดหน้าโต๊ะเบาๆ ไม่มีปมในใจ แล้วก็ไม่มีความโกรธเคือง แค่รู้สึกกลัดกลุ้มๆ เล็กๆ เหมือนเมล็ดข้าวสารเท่านั้น นางเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่อยากพูด อีกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าคือภูตน้ำใหญ่ที่เห็นเรื่องความเป็นความตายมานักต่อนักแล้ว เห็นคนมากมายที่มาตายอยู่ใกล้กับทะเลสาบคนใบ้ ข้าไม่กล้าช่วยพวกเขา บรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองร้ายกาจมาก ข้าออกไปก็ช่วยใครไม่ได้ แถมตัวเองยังต้องตายด้วย ข้าก็ได้แต่แอบเก็บโครงกระดูกเหล่านั้นมา บางส่วนก็ถูกคนที่ร่ำไห้นำกลับไป บางส่วนก็ถูกทิ้งไว้อยู่ท่ามกลางสายลมและผืนทราย น่าสงสารอย่างมาก ข้าไม่ได้กลัวตาย แค่กลัวว่าจะไม่มีใครจดจำข้าได้ ใต้หล้ามีคนอยู่มากมายขนาดนี้ กลับยังไม่มีใครสักคนที่รู้จักข้า”
เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้า ใช้พัดพับเคาะศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ “หากยังไม่เล่า อีกเดี๋ยวต่อให้เจ้าเล่าเอง ข้าก็ไม่ฟังแล้วนะ”
แม่นางน้อยนั่งตัวตรง ร้องหึหนึ่งที ก่อนจะโคลงศีรษะไปซ้ายทีขวาที พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่พูดๆ”
จากนั้นนางก็เห็นว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นเอียงศีรษะ ใช้พัดพับค้ำศีรษะของตัวเองเอาไว้ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หลายครั้งที่คนหลายๆ คน พ่อแม่ไม่สั่งสอน อาจารย์ไม่อบรม ก็ควรจะให้วิถีทางโลกใบนี้ช่วยสอนพวกเขาว่าควรวางตัวเป็นคนอยู่ในสังคมอย่างไร?”
แม่นางน้อยเริ่มยู่ใบหน้าเล็กๆ และขมวดคิ้วบางๆ นั่นอีกครั้ง เขาพูดอะไรน่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย แต่หากตนทำให้เขารู้ว่าตนไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร ถ้าอย่างนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าฟังเข้าใจแล้วกัน? แต่การเสแสร้งนี่ออกจะยากสักหน่อย ก็เหมือนคราวก่อนที่พวกเขาจับผลัดจับผลูเข้าไปในดินแดนสุขาวดีนอกโลกแห่งนั้น แล้วเขาถูกพวกภูตภูเขาสวมชุดลัทธิขงจื๊อทั้งหลายขอให้ร่ายกวีให้ฟังสักหนึ่งบท เขาเองก็จนปัญญาเหมือนกันไม่ใช่หรือ
คนผู้นั้นลุกขึ้นยืน แล้วก็ไม่เห็นว่าเขาทำอะไร แผ่นยันต์ก็หลุดจากหน้าต่างลอยเข้าไปในชายแขนเสื้อของเขา และหน้าต่างก็ยิ่งเปิดออกได้ด้วยตัวเอง
เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง เรือข้ามฟากลอยอยู่เหนือทะเลเมฆแล้ว ลมเย็นๆ ลอยมาปะทะใบหน้า ชายแขนเสื้อกว้างสีขาวหิมะทั้งสองข้างพลิ้วไหวไปตามสายลม นางรู้สึกโมโหเล็กน้อย ตัวสูงแล้วเก่งนักหรือ!
นางลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ แล้วจู่ๆ ก็คิดเรื่องหนึ่งได้ตก ท่องอยู่ในยุทธภพเจอกับเรื่องอันตรายบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่านางมีความรู้กว้างขวางไม่ใช่หรือ?
นางจึงยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งทันที เอาสองมือไพล่หลัง ยืดอกสาวเท้าก้าวเดินอยู่บนพื้นที่น้อยนิดบนเก้าอี้พลางยิ้มกล่าวว่า “หลังจากข้าควักเงินซื้อรายงานข่าวมาแล้ว คนของเรือข้ามฟากที่ขายข่าวให้ข้ากับเพื่อนข้างกายเขาก็หัวเราะกันเสียงดัง ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะอะไรกัน ก็เลยหันหน้าไปยิ้มให้พวกเขา เจ้าเคยบอกไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่าจะอยู่บนภูเขาหรือล่างภูเขา ไม่ว่าตนจะเป็นคนหรือเป็นปีศาจ ก็ล้วนต้องมีมารยาทต่อผู้อื่น จากนั้นเพื่อนของคนบนเรือก็กำลังจะออกจากห้องไปพอดี เขาไม่ทันระวังชนข้าตรงหน้าประตู ข้ายืนได้ไม่มั่นคง รายงานเลยร่วงกระจายเต็มพื้น ข้าบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็ก้มไปเก็บรายงาน คนผู้นั้นเหยียบมือข้า แถมยังใช้ปลายเท้าขยี้หนักๆ ด้วย คงจะไม่ทันระวังกระมัง ข้าเจ็บจนทนไม่ไหวก็เลยขมวดคิ้วแยกเขี้ยว ผลกลับถูกเขาเตะจนตัวลอย แต่คนบนเรือข้ามฟากคนนั้นพูดว่าจะดีจะชั่วก็เป็นผู้โดยสารคนหนึ่ง ชายที่ดุร้ายคนนั้นถึงได้ไม่สนใจข้า ข้าเก็บรายงานมาได้ก็วิ่งกลับมาเลย”
นางยกสองมือกอดอก พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้โกหกเจ้านะ ตอนนั้นข้าทนเจ็บไม่ไหวก็เลยแสยะปากไปเล็กน้อยเท่านั้น!”
นางกลัวว่าเจ้าหมอนั่นจะไม่เชื่อก็เลยชูสองนิ้วออกมาทำท่าประกอบ “มากสุดก็แค่นี้เอง!”
คนผู้นั้นหันหน้ามายิ้มถาม “เจ้าว่าการทำดีกับทุกคนทุกเรื่องทุกเวลา สรุปแล้วถูกหรือไม่ถูก ควรจะแบ่งมันให้กลายเป็นสอง ทำดีกับคนดี ทำเลวกับคนเลวหรือไม่? แต่ลำดับก่อนหลัง แผนการน้อยใหญ่ที่จะกระทำต่อคนเลวก็ต้องเรียบเรียงให้เข้าใจชัดเจนเสียก่อน ทว่าหากการลงโทษเล็กหรือใหญ่ที่ใช้กับพวกเขาไปแล้วเกิดสถานการณ์ที่หน้าหลังไม่ตรงกัน นั่นจะเป็นการละเมิดลำดับก่อนหลังของตัวเองหรือไม่? ดีและเลวปะทะกัน ผลลัพธ์คือความชั่วร้ายที่ค่อยๆ ถูกสั่งสมเอาไว้ ก็จะกลายเป็นภาพบรรยากาศที่ดินสะสมกองกันเป็นภูเขา ลมฝนจึงบังเกิดที่นี่ เพียงแต่ว่าลมฝนที่ว่านี้กลับเป็นฝนร้ายเยียบเย็น แบบนี้จะดีได้อย่างไร?”
แม่นางน้อยยู่ใบหน้าจนยับย่น บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าตนฟังเข้าใจ ข้าก็แค่คร้านจะเปิดปากเท่านั้น กินไม่อิ่มก็เลยไม่มีแรงน่ะ
คนผู้นั้นยิ้มตาหยี ใช้พัดพับเคาะไปที่หัวใจตัวเอง “เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าแค่กำลังถามใจตัวเองเท่านั้น”
แม่นางน้อยชุดดำคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทีเช่นนี้ จึงรู้สึกโทษตัวเองเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับท่าทีเหมือนมีเมฆหมอกล้อมวนทำให้คนมองเห็นไม่ชัดเจนของเขาในเวลานี้ นางกลับชอบเขาที่ลงนาไปปลูกต้นกล้า ใช้หมัดต่อยภูเขามากกว่า
ยังดีที่คนผู้นั้นพลันยิ้มกว้าง กระโดดพลิกตัวข้ามหน้าต่างออกไปยืนอยู่บนระเบียงเรือด้านนอก “ไป พวกเราไปชมทัศนียภาพกัน ไม่ได้มีแค่มลพิษสกปรกเท่านั้น ยังมีภูเขาสายน้ำที่ยิ่งใหญ่งดงามมากกว่า”
เขาฟุบตัวนอนคว่ำบนกรอบหน้าต่าง ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาพลางพูดสัพยอก “ให้ข้าหิ้วเจ้าออกมาไหม”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ถอยไป! ข้าไปเองได้!”
นางกระโดดข้ามหน้าต่างออกไปด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่ารู้สึกเหมือนคนโดนงูกัดที่กลัวเชือกไปสิบปี จึงจับชายแขนเสื้อของคนผู้นั้นไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ ถึงขนาดรู้สึกว่ายืนอยู่ในหีบหนังสือก็ดีมากอยู่แล้ว
นางหันหน้าไปมองหน้าต่างที่เปิดอ้าแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา “พวกเราสองคนจนก็ส่วนจน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกลุ้มเรื่องการกินการอยู่ แต่หากถูกคนขโมยทรัพย์สมบัติจะไม่ยิ่งเป็นการเพิ่มเกล็ดน้ำค้างลงบนหิมะหรอกหรือ? ข้าไม่อยากกินปลาผักดอง เจ้าเองก็อย่าได้คิด”
คนผู้นั้นกลับเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าพวกเขาขโมยของไปแล้ว จะมีชีวิตให้เก็บเอาไว้ใช้ได้หรือไม่”
นางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างแรง “เผด็จการดีมาก!”
ผลกลับถูกคนผู้นั้นใช้พัดพับเคาะศีรษะของนาง “อย่าได้เรียนรู้อะไรที่ไม่ดี”
นางกุมหัว ยกเท้ากระทืบลงบนหลังเท้าของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!