ตลอดทางที่รอนแรมกันมานี้ได้ผ่านแคว้นเถาจือ แต่กลับไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนจวนชิงชิ่ง แม่นางน้อยชุดดำรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่พอได้อ้อมผ่านตำหนักจินอูที่เล่าลือกันว่ามักจะมีแสงกระบี่พุ่งสวบๆๆ เป็นประจำ แม่นางน้อยก็กลับมาอารมณ์ดีได้อีกครั้ง
อารมณ์ของแม่นางน้อยไม่ต่างจากก้อนเมฆบนท้องฟ้า
วันนี้ขณะอยู่ที่ท่าเรือขนาดเล็กของตระกูลเซียนที่ทุกหนแห่งล้วนมีแต่เรื่องแปลกใหม่ ในที่สุดก็จะได้โดยสารเรือข้ามฟากทะยานเมฆหมอกเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว! ตลอดทางที่เดินกันมา เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
แม่นางน้อยชุดดำยืนอยู่ในหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ เบิกตากลมโต อีกนิดเดียวก็จะทำให้ตาตัวเองเจ็บได้แล้ว น่าเสียดายก็แต่สองฝ่ายตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อไปถึงสถานที่ที่มีผู้ฝึกตนรวมกลุ่มกันมากมาย นางจำเป็นต้องยืนอยู่ในหีบไม้ไผ่แล้วทำตัวเป็นคนใบ้น้อยอย่างว่าง่าย อันที่จริงในหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ไม่ได้มีสิ่งของอะไร ก็แค่กระบี่ผุๆ ที่ไม่เคยเห็นเขาชักออกจากฝักเล่มหนึ่ง นางจึงแอบเตะมันอยู่สองสามที เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่นางคิดจะย่อตัวลงไปดึงออกจากฝัก คนผู้นั้นก็จะต้องเปิดปากบอกนางว่าอย่าทำแบบนั้นดีกว่า อีกทั้งยังข่มขู่นางด้วยว่า กระบี่เล่มนี้อดทนกับเจ้ามานานมากแล้ว หากยังได้คืบแล้วจะเอาศอก เขาจะไม่สนใจอีก
นี่ทำให้นางอัดอั้นอยู่นาน เวลานี้จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ยังเขกมะเหงกลงบนท้ายทอยของเจ้าหมอนั่น จากนั้นก็ใช้มือสองข้างจับหีบไม้ไผ่ แสร้งทำเป็นงีบหลับ อีกทั้งยังเป็นการหลับแบบกรนเสียงดังครอกๆ ด้วย ตอนแรกบัณฑิตยังไม่สนใจ เขากำลังต่อรองราคากับเถ้าแก่ในร้านแห่งหนึ่งเพื่อซื้อสมุดคัดลอกลายหนึ่งชุด ภายหลังแม่นางน้อยรู้สึกว่าสนุก จึงม้วนชายแขนเสื้อแล้วเขกรัวๆ ดังก๊อกๆๆ บัณฑิตชุดขาวเดินออกจากร้านมาแล้ว เขาจ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญเพื่อซื้อแผ่นคัดลอกลายที่ทั้งชุดมีสามสิบสองแผ่น แล้วก็ไม่ได้หันหลังกลับมามอง เพียงถามว่า “ยังไม่เลิก?”
แขนข้างหนึ่งของแม่นางน้อยชุดดำค้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ตบไหล่บัณฑิตด้วยท่าทางนุ่มนวล “เอาล่ะ คราวนี้ก็ไม่มีฝุ่นแล้ว ยิ่งดูเหมือนบัณฑิตมากกว่าเดิมแล้ว เจ้าคนแซ่เฉิน ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะเป็นตอไม้ทื่อที่ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เอาเสียเลย ไปขวางเรือหอเรือนอยู่บนแม่น้ำใหญ่ บนเรือมีสตรีชนชั้นสูงดีๆ ตั้งเท่าไรที่มองเจ้าด้วยสายตาเหมือนจะกินคน ทำไมเจ้าไม่ขึ้นเรือไปดื่มชาสักถ้วยเล่า? พวกนางไม่ได้จะกินคนจริงๆ เสียหน่อย”
เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนหัวข้อ “เจ้าตีข้าสิบหกที ข้าจดไว้ในสมุดบัญชีแล้ว หนึ่งทีหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
แม่นางน้อยยกสองมือกอดอก เขย่งปลายเท้ายืนอยู่ในหีบหนังสือ หลุดหัวเราะพรืด “เงินเล็กๆ น้อยๆ เหมือนฝนปรอยๆ!”
เฉินผิงอันพานางขึ้นเรือข้ามฟากลำนั้นไปด้วยกัน
สะพายภูตน้อยไว้แบบนี้ค่อนข้างจะดึงดูดสายตาผู้คน
ทว่าสายตาที่มองมาส่วนใหญ่ล้วนมีแต่แววดูถูกเหยียดหยาม ออกมาอยู่ข้างนอก ผู้ฝึกตนที่สามารถขี่ราชันแห่งขุนเขาเป็นภาหนะขึ้นเขาลงห้วย ขี่เจียวหลงลงน้ำข้ามมหาสมุทร นั่นต่างหากจึงจะเป็นผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่ เป็นเทพเซียนที่แท้จริง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีมาก
ช่วงเวลาฝนธัญพืชมักจะมีฝนตกตอนกลางคืน กลางวันฟ้าโปร่ง สายฝนให้กำเนิดร้อยธัญพืช หมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนใสสะอาดแจ่มกระจ่าง อันที่จริงจึงเหมาะแก่การเดินเท้าชื่นชมภูเขาสายน้ำอย่างยิ่ง
เพียงแต่เฉินผิงอันยังคงหวังว่าจะสามารถไปทันช่วงท้ายของงานชุมนุมที่สวนน้ำค้างวสันต์ ตนที่เป็นร้านผ้าห่อบุญจะเอาแต่อยู่ว่างๆ เที่ยวเล่นไปวันๆ ก็คงไม่ค่อยดี
แม่นางน้อยชุดดำยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “ขึ้นเรือหอเรือนไปดื่มชาก็ดีจะตายไป ตอนนั้นข้าที่อยู่บนฝั่งเห็นชัดเลยล่ะว่ามีสตรีอายุน้อยแต่งกายงดงามหรูหราสองคน หน้าตาก็ไม่เลวเลยจริงๆ นี่คือเรื่องดีที่จะมีสาวงามมาเคียงกายเชียวนะ”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “หากเจ้าเป็นบุรุษ ข้าคาดว่าอยู่ที่ทะเลสาบคนใบ้นานวันเข้า ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเห็นสาวงามแล้วเกิดความปรารถนาจนสร้างภัยพิบัติให้กับพื้นที่นั้นแน่ๆ หากข้าเจอกับเจ้าในเวลานั้น แล้วจวนชิงชิ่งจะจับตัวเจ้าไปเป็นแม่ย่าลำคลอง หรือไม่ตำหนักจินอูจะลักพาตัวเจ้าไปเป็นสาวใช้ ข้าก็ไม่มีทางลงมือ มีแต่จะปรบมือร้องสนับสนุนอยู่ด้านข้าง”
แม่นางน้อยชุดดำโมโหจึงต่อยไหล่เจ้าคนปากเปราะผู้นี้ “พูดจาเหลวไหล ข้าคือภูตน้ำใหญ่ แต่กลับไม่เคยทำร้ายใคร! ขนาดจะข่มขู่คนข้ายังไม่อยากทำเลย!”
เฉินผิงอันไม่เห็นเป็นสำคัญ “เงินเกล็ดหิมะอีกเหรียญหนึ่งแล้ว”
แม่หนูน้อยกำลังจะปล่อยหมัดต่อยเข้าที่ท้ายทอยของคนผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเอ่ยว่า “หากตีหัว ครั้งละหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย”
แม่นางน้อยลองคิดคำนวณทรัพย์สมบัติของตัวเอง หากไม่นับรวมเงินฝนธัญพืชที่ใช้ไถ่ตัวเองแล้ว อันที่จริงก็เหลือสมบัติอีกไม่มากแล้ว
มิน่าเล่าพวกคนในยุทธภพที่เดินทางผ่านทะเลสาบคนใบ้ถึงได้ชอบบ่นว่าเงินทองก็คือความกล้าหาญของวีรบุรุษ
นางขมวดคิ้ว คิดแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้าคนแซ่เฉิน เจ้าให้ข้ายืมเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญสิ? ตอนนี้ข้าเงินขาดมือ ตีเจ้าได้แค่ไม่กี่ทีเอง”
เฉินผิงอันไม่สนใจนาง เพียงแค่ถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมือง ข้าถึงได้ซื้อผักดองมาหนึ่งไห?”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างสงสัย “ข้าจะไปรู้ความคิดเจ้าได้ยังไง หรือว่าระหว่างที่เดินทางมานี้กินผักดองหมดแล้ว? ข้าก็กินไม่มากนี่นา เจ้าขี้เหนียว ทุกครั้งพอข้าคีบผักดองขึ้นมาทีไร เจ้าก็ต้องเหล่มองข้าทุกที”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ปลาผักดองอร่อยนักล่ะ”
แม่นางน้อยรู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากจริงๆ เพราะนางเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายได้ทันที นางน้ำตาคลอเจียนจะหยด นั่งยองลงในหีบไม้ไผ่ แอบเช็ดน้ำตาเงียบๆ นางทั้งฉลาดเฉลียว ทั้งชีวิตรันทดยิ่งนัก
เพียงแต่ว่าพอไปถึงห้องที่อยู่ชั้นล่างของเรือ เจ้าหมอนั่นวางหีบไม้ไผ่ลงแล้ว นางก็กระโดดออกมา เอาสองมือไพล่หลัง จุ๊ปากพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “คนยากจน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!