ติงถงใช้สองมือจับประคองราวระเบียง ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองมานั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เขาถามอย่างเหม่อลอยว่า “ข้าต้องตายแล้วใช่ไหม?”
บัณฑิตชุดขาวหยิบพัดพับออกมา ยืดแขนออก ใช้พัดตีไปทั่วราวระเบียง
ติงถงหันหน้าไปมอง ตรงระเบียงชมทัศนียภาพบนชั้นสองของเรือข้ามฟาก เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชาง เทพธิดาชิงชิงจากสวนน้ำค้างวสันต์ หญิงชราที่หน้าตาอัปลักษณ์จนทำให้คนขวัญผวา เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทั้งหลายที่เวลาปกติไม่เคยถือสาในสถานะผู้ฝึกยุทธของเขา ยินดีร่ำสุราร่วมกับเขา แต่ละคนมีสีหน้าเฉยเมยเย็นชา
ทางชั้นหนึ่งของเรือ บางคนกำลังรอดูเรื่องสนุก และยังมีบางคนที่แอบหัวเราะใส่เขา โดยเฉพาะคนหนึ่งในนั้นยังยกนิ้วโป้งให้เขาด้วย
ติงถงหันหน้ากลับมาด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นก็รู้สึกเฉยชา ก้มหน้าลงมองทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้า
บัณฑิตชุดขาวยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหน้าต่าง จากนั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เขายิ้มกล่าว “รู้หรือไม่ว่า ทำไมทั้งๆ ที่เจ้าคือเศษสวะ อีกทั้งยังเป็นตัวการชั่วร้าย แต่ข้ากลับไม่เคยลงมือกับเจ้า ทว่าผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองคนนั้น ทั้งๆ ที่สามารถวางตัวอยู่นอกเรื่องราว แต่ข้ากลับเลือกจะสังหารเขา?”
ติงถงส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร”
หลังจากเรียกกระบี่ออกมาแล้ว บัณฑิตชุดขาวก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก เขาแหงนหน้ามองไปยังทิศไกล “การกระทำความเลวอย่างง่ายๆ ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดคนหนึ่ง กับการตั้งใจกระทำความเลวอย่างเต็มความสามารถของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าอย่างเจ้า ผลกระทบที่ส่งต่อฟ้าดินแห่งนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน ยิ่งเขตอิทธิพลเล็กเท่าไร ในสายตาของคนอ่อนแอ พวกเจ้าก็ยิ่งเหมือนเทพเทวดาที่ในมือกุมอำนาจตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นมากเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ร่างทองกระดาษเปียกผู้นั้นปากพูดว่าไร้ความแค้นต่อกัน ไม่คิดจะฆ่าคน ทว่าหมัดแรกเขาก็ฆ่าคนต่างถิ่นในสายตาของเขาคนนั้นไปแล้ว ทว่าเรื่องนี้ข้าสามารถยอมรับได้ ดังนั้นจึงยินยอมให้เขาปล่อยหมัดที่สองจากใจจริง ทว่าหมัดที่สามเขากลับรนหาที่ตายแล้ว ส่วนเจ้า เจ้าต้องขอบคุณคนหนุ่มที่เรียกข้าว่าเซียนกระบี่ผู้นั้น ตอนนั้นที่เจ้าจะกระโดดลงมาจากระเบียงเพื่อขอความรู้วิชาหมัดจากข้าแล้วเขาห้ามเจ้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคนที่ตายจะไม่ใช่ผู้เฒ่าที่ช่วยต้านรับหายนะแทนเจ้า แต่เป็นตัวเจ้าเอง ว่ากันตามจริงแล้ว โทษของเจ้าไม่ถึงตาย แล้วนับประสาอะไรกับที่เกาเฉิงยังจงใจเก็บเจ้าไว้เพื่อทำให้ข้าสะอิดสะเอียน ไม่เป็นไร ข้าก็จะคิดซะว่าเจ้าเองก็เป็นเหมือนข้าในปีนั้นที่ถูกคนอื่นร่ายมรรคกถาไว้ในผืนนาหัวใจ เป็นเหตุให้อารมณ์ถูกชักนำ ถึงได้ทำเรื่องที่ ‘ใจหวังเพียงความตาย’ พวกนั้น”
“เหตุผล ไม่ใช่สิ่งที่มีเพียงคนอ่อนแอเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้ร้องทุกข์ระบายความไม่เป็นธรรม ไม่ใช่ถ้อยคำที่จำเป็นต้องลงไปคุกเข่าโขกหัวคำนับถึงจะเปิดปากเอ่ยได้”
สมองของติงถงขาวโพลน ฟังไม่เข้าหัวสักเท่าใด เขาแค่กำลังคิดว่า จะรอให้กระบี่เล่มนั้นตวัดลงมาแล้วตนก็ตายไป หรือตนควรจะมีมาดของวีรบุรุษสักหน่อย กระโดดลงจากเรือ ทำตัวเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดที่ทะยานลมดูสักครั้งดี
บัณฑิตชุดขาวไม่เอ่ยอะไรอีก
คนอย่างพวกเจ้าก็คือพวกจอมยุทธขี่ม้าที่พาตัวไปตายบนภูเขา ระหว่างทางก็ถือโอกาสพุ่งชนคนเดินเท้าที่เกะกะสายตาพวกเจ้าให้ตายไปคนสองคน บนเส้นทางของชีวิตคน ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นดั่งป่าร้างชานเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก ล้วนเป็นสถานที่ที่ดีที่จะสามารถกระทำความเลวได้
ในชนบท ในหมู่บ้าน ในยุทธภพ ในวงการขุนนาง บนภูเขา
คนแบบนี้มีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
บิดามารดา ครูบาอาจารย์เป็นเช่นนี้ ตัวพวกเขาเองก็เป็นเช่นนี้ ลูกหลานของพวกเขาก็จะเป็นเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะขวางอย่างไรก็ขวางไว้ไม่อยู่
ตอนนั้นที่อยู่ในวัดจินตั๋วของแคว้นไหวหวง เหตุใดแม่นางน้อยถึงได้เสียใจและผิดหวัง
เพราะตอนนั้นเฉินผิงอันที่จงใจใช้สถานะบัณฑิตชุดขาว หากไม่พูดถึงตัวตนที่แท้จริงและตบะของเขา พูดถึงแค่การกระทำที่เขาแสดงออกมาบนเส้นทางสายนั้น อันที่จริงก็เหมือนกับพวกคนที่พาตัวเองไปตายบนภูเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สิ่งที่ทำให้นางเสียใจที่สุด หาใช่ความคร่ำครึหัวโบราณของบัณฑิตอ่อนแอผู้นี้ไม่ แต่เป็นประโยค ‘หากข้าถูกตีสลบแล้วมีคนมาขโมยหีบหนังสือของข้าไป เจ้าจะชดใช้ให้หรือ?’ คำพูดและความคิดเช่นนี้คือสิ่งที่ทำให้แม่นางน้อยคนนั้นเสียใจที่สุด ข้ามอบความปรารถนาดีให้แก่โลกและคนอื่น แต่เหตุใดคนผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจ กลับกันยังมอบความชั่วร้ายกลับคืนมาให้แก่นาง ความดีของแม่นางน้อยในวัดจินตั๋วดีตรงที่ ต่อให้นางจะเสียใจมากขนาดนั้น ทว่าก็ยังคงเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าคนที่ทั้งโง่และเลวผู้นั้นจากใจจริง และตอนนี้สิ่งที่เฉินผิงอันสามารถทำได้ก็มีเพียงแค่บอกกับตัวเองว่า ‘การทำดีทำเลว เป็นเรื่องในบ้านของตัวเอง’ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกว่านางดีกว่าตนเยอะมาก และยิ่งสมควรถูกเรียกว่าคนดี
บัณฑิตชุดขาวเงียบงันไม่เอ่ยคำใด ทั้งกำลังรอให้ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาที่จากไปย้อนกลับคืนมา แล้วก็กำลังรับฟังเสียงในหัวใจของตัวเอง
แผนการถามหัวใจของเกาเฉิงไม่ถือว่าสูงส่งนัก
ทว่าแผนการที่โจ่งแจ้งของเขากลับทำให้คนต้องหันมามองเขาเสียใหม่
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับยันไว้ที่หัวใจ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ครั้งนี้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เกี่ยวอะไรกับสำนักพีหมาด้วย? แม้แต่ข้าก็ยังรู้ว่าการพานโกรธสำนักพีหมาเช่นนี้ไม่ใช่นิสัยของข้า ทำไม จะยอมให้แค่พวกมดตัวน้อยใช้ลูกไม้ที่เจ้ามองออกทะลุปรุโปร่งฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่พอเกาเฉิงอยู่เหนือการควบคุมของเจ้าไปเล็กน้อย เจ้าก็รับความอึดอัดใจแค่นี้ไม่ไหวแล้ว? ผู้ฝึกตนที่เป็นอย่างเจ้า การฝึกตนฝึกจิตใจอย่างเจ้า ข้าว่าก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นสักเท่าไร จงเป็นมือกระบี่ของเจ้าไปเสียดีๆ เถอะ เซียนกระบี่นั้นก็อย่าหวังเลย”
จู๋เฉวียนใช้ริ้วคลื่นในใจบอกกับเขาว่าให้ขี่กระบี่ไปพบกันในจุดลึกของทะเลเมฆ หากร่ายวิชาอภินิหารตัดขาดฟ้าดินบนเรือข้ามฟากอีกครั้ง พลังต้นกำเนิดของคนธรรมดาที่อยู่บนเรือคงถูกลดทอนจนสลายหายไปหมด เมื่อลงจากเรือข้ามฟากก็เพียงขี่กระบี่ตรงไปทางทิศใต้สิบลี้
เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน ก้าวออกไปหนึ่งก้าว แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งก็พุ่งดิ่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วมาหยุดลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาพอดี ทั้งคนและกระบี่หายวับไปพร้อมกันในชั่วพริบตา
ท่ามกลางทะเลเมฆ นอกจากจู๋เฉวียนและบรรพจารย์สองท่านของสำนักพีหมาแล้ว ยังมีนักพรตเฒ่าแปลกหน้าอีกหนึ่งคน รูปแบบชุดคลุมเต๋าที่เขาสวมใส่เป็นแบบที่เฉินผิงอันไม่เคยเห็นมาก่อน น่าจะไม่อยู่ในสามสาย แล้วก็ไม่ใช่นักพรตของจวนเทียนซือตำหนักมังกรพยัคฆ์ด้วย ในขณะที่เฉินผิงอันขี่กระบี่มาหยุดลอยตัว นักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่งก็แหวกทะเลเมฆจากทิศไกล ก้าวยาวๆ มาถึง หดย่อขุนเขาสายน้ำ ระยะทางบนทะเลเมฆหลายลี้ แค่สองก้าวก็มาถึง
นักพรตวัยกลางคนพูดเสียงหนัก “จัดวางค่ายกลเรียบร้อยแล้ว ขอแค่เกาเฉิงกล้าใช้วิชาอภินิหารมองผ่านฝ่ามือมาลอบฟังพวกเรา ก็คงต้องเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ กันบ้าง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!