กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 513

นักพรตวัยกลางคนขมวดคิ้ว

เขาเคยได้ยินชื่อของเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นมาก่อน เขาคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือ มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ตอนนี้ในอาณาเขตขุนเขาเหนือของต้าหลีก็ได้เริ่มมีลางของความมงคลบางอย่างปรากฏขึ้นแล้ว

จู๋เฉวียนเป็นคนโผงผาง นางกล่าวไปตามตรงว่า “ชุยตงซานผู้นี้ใช้ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพูดเนิบช้า “หากเขาใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีใครที่ใช้ได้แล้ว”

ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าเจ้าอารามยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำอะไรต้องให้มั่นคงสักหน่อย ข้าผู้เป็นนักพรตกล้าพูดแค่ว่า หลังจากทำอย่างสุดความสามารถแล้วก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ บนร่างของแม่นางน้อยคนนี้ แต่หากเกิดความผิดพลาดเสี้ยวหนึ่งท่ามกลางความระมัดระวังรอบคอบอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าอย่างนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมร้ายแรง มีคนมาช่วยกันตรวจสอบเพิ่มก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านเจ้าอารามมีจิตใจกว้างขวาง”

นักพรตเฒ่าเพียงยิ้มรับ

จู๋เฉวียนเห็นว่าพูดคุยกันไปได้พอสมควรแล้ว จู่ๆ นางก็พลันเอ่ยว่า “ท่านเจ้าอาราม พวกท่านกลับไปกันก่อนได้เลย ข้าขออยู่พูดคุยกับเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”

นักพรตวัยกลางคนเก็บค่ายกลทะเลเมฆกลับคืนมา

อย่างอื่นไม่พูดถึง ลำพังเพียงแค่ฝีมือของนักพรตผู้นี้ก็ได้ทำให้เฉินผิงอันตระหนักถึงความลี้ลับและความอำมหิตของเวทคาถาบนภูเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ที่แท้การที่คนผู้หนึ่งร่ายวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือก็อาจเป็นการชักนำเปลวเพลิงมาไหม้ตัวได้

สองอาจารย์และศิษย์จากอารามเสวียนตูเล็ก และบรรพจารย์สองท่านของสำนักพีหมาต่างก็ทะยานลมลงใต้จากไปก่อน

จู๋เฉวียนพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ลูกศิษย์ใหญ่คนนั้นของเจ้าอาราม เป็นคนชอบพูดจาระคายหูคนฟังมาโดยตลอด ข้ารำคาญเขาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว แต่ก็ไม่อาจลงมือกับเขาได้ ทว่าคนผู้นี้เชี่ยวชาญการประลองเวทอย่างมาก ความสามารถที่เป็นสมบัติก้นกรุของอารามเสวียนตูเล็ก ว่ากันว่าเขาเรียนรู้ไปได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปสนใจเขา วันใดที่ขอบเขตสูงขึ้นแล้วค่อยซ้อมเขาให้ปางตายก็พอ”

เฉินผิงอันเก็บพัดพับลงไป ขี่กระบี่บินมาหยุดข้างกายจู๋เฉวียนแล้วยื่นมือออกมา จู๋เฉวียนจึงส่งตัวแม่นางน้อยให้กับเซียนกระบี่หนุ่ม พูดสัพยอกว่า “ผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งอย่างเจ้าก็อุ้มเด็กเป็นด้วยหรือ? ทำไม เรียนรู้มาจากเจียงซ่างเจินงั้นรึ คิดว่าวันหน้าเมื่ออยู่ในยุทธภพ อยู่บนภูเขา จะอาศัยกลยุทธเดินบนคมกระบี่นี้มาหลอกพวกสตรี?”

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ อุ้มแม่นางน้อยไว้ในอ้อมอก มีเสียงกรนน้อยๆ ดังมาให้ได้ยิน เฉินผิงอันหัวเราะ บนใบหน้ามีรอยยิ้ม และในดวงตาก็มีความอาดูรนิดๆ “ตอนที่ข้าอายุยังไม่มาก ต้องอุ้มเด็ก หยอกเด็ก เลี้ยงเด็กอยู่ทุกวัน”

จู๋เฉวียนชำเลืองตามองคนหนุ่ม ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะเป็นเรื่องจริง

จู๋เฉวียนนั่งอยู่บนทะเลเมฆ ดูเหมือนว่ากำลังลังเลว่าจะเปิดปากพูดดีหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่กลับพูดเนิบช้าราวกับเดาความคิดในใจของนางออก “ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าเจ้าสำนักจู๋ถึงจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในชายหาดโครงกระดูก เพียงแต่เจ้าคร้านจะคิดคร้านจะทำก็เท่านั้น”

จู๋เฉวียนพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว ข้าเชื่อเจ้า”

จากนั้นจู๋เฉวียนก็ยิ้มกล่าวว่า “แต่บทสนทนาที่บ้างก็จริงบ้างก็เท็จระหว่างเจ้ากับเกาเฉิง แม้แต่ข้าที่คุ้นเคยกับเจ้าก็ยังเกิดความเคลือบแคลง แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ไม่สนิทกับเจ้า กับลูกศิษย์ใหญ่ของเขาที่ฝึกแต่พละกำลังแต่ไม่ฝึกฝนจิตใจผู้นั้น”

เฉินผิงอันเอ่ย “คำพูดช่วงแรกเริ่มสุดล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ข้าได้เตรียมใจสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว นั่นคือแม่นางน้อยตายอยู่บนเรือ ข้าปกป้องนางไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้แต่แก้แค้น ง่ายดายเท่านี้เอง ส่วนช่วงหลังนั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ก็แค่หยั่งเชิงกันไปมา ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามมองให้เห็นเส้นทางในหัวใจของฝ่ายตรงข้ามให้มากขึ้นอีกหน่อย เกาเฉิงเองก็เป็นกังวลเหมือนกัน เขามองดูข้ามาตลอดทาง ผลกลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาเห็นล้วนเป็นสิ่งที่ข้าจงใจทำให้เขาดู เขากลัวว่าแพ้มาสองครั้งแล้วจะยังต้องแพ้อีก แม้แต่ความคิดที่จะแย่งชิงเสี่ยวเฟิงตูเล่มนั้นไปก็ยังไม่เหลืออยู่แล้ว จะว่าไปแล้ว อันที่จริงนี่ก็เป็นแค่การแข่งขันชะคักเย่อเล็กๆ บนหัวใจเท่านั้น”

เฉินผิงอันเอามือข้างหนึ่งออกมา ใช้นิ้วดีดลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวเบาๆ กระบี่บินชูอีค่อยๆ บินออกมาด้านนอก แล้วหยุดลอยนิ่งอยู่บนไหล่ของเฉินผิงอัน หาได้ยากที่มันจะเชื่องและอ่อนโยนถึงเพียงนี้ เฉินผิงอันกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “คำพูดบางอย่างของเกาเฉิงก็ย่อมต้องเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่นที่บอกว่ารู้สึกว่าข้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเขา คงเป็นเพราะคิดว่าพวกเราต่างก็อาศัยการเดิมพันครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องค่อยๆ เหยียดกระดูกสันหลังที่เกือบจะถูกทับให้งอถูกทับให้แตกขึ้นมาทีละนิด จากนั้นยิ่งเดินก็ยิ่งขึ้นสู่จุดสูง ก็เหมือนที่เจ้าเคารพนับถือเกาเฉิง แต่หากจะฆ่าเขากลับไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ต่อให้เกาเฉิงสูญเสียแค่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ เจ้าสำนักจู๋ก็ยังรู้สึกว่าติดค้างน้ำใจที่ใหญ่เทียมฟ้ากับข้าเฉินผิงอัน ส่วนข้าเองก็ใช่ว่าจะมองไม่เห็นความแข็งแกร่งในด้านต่างๆ ของเขาเพียงเพราะเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตัวเอง”

จู๋เฉวียนอืมรับหนึ่งที “ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ แยกแยะแต่ละเรื่องออกจากกัน จากนั้นควรทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น เรื่องลับหลายอย่างของสำนัก ข้าไม่อาจนำมาบอกแก่คนนอกอย่างเจ้าได้ แต่สรุปก็คือผีอย่างเกาเฉิงผู้นี้ ไม่ธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นว่าหากวันใดข้าจู๋เฉวียนสามารถสังหารเกาเฉิงได้อย่างสิ้นซาก ย่ำนครจิงกวานจนแหลกเละ ข้าเองก็จะต้องเอาสุราดีๆ กาหนึ่งมาดื่มคารวะเกาเฉิงที่อดีตคือพลทหารราบ แล้วค่อยคารวะเจ้านครจิงกวานคนปัจจุบัน สุดท้ายคารวะเขาเกาเฉิงที่ช่วยขัดเกลาจิตแห่งการฝึกตนให้แก่สำนักพีหมาของพวกเรา”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่รู้ว่าทำไม วิถีทางโลกใบนี้มักจะมีคนที่รู้สึกว่าการแยกเขี้ยวกางเล็บใส่คนเลวทุกคนคือเรื่องที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง แล้วก็ยังมีคนมากมายขนาดนั้นที่เวลาควรถามใจตัวเองกลับไปพิจารณาปัญหา และเวลาที่ควรพิจารณาปัญหากลับถามใจตัวเอง”

จู๋เฉวียนคิดแล้วก็ตบบ่าเฉินผิงอันหนักๆ “เอาเหล้ามา ต้องสองกา ต้องมากกว่าเกาเฉิงถึงจะได้! ดื่มเหล้าแล้ว ข้าจะพูดถ้อยคำจากใจจริงที่มหัศจรรย์จนเกินบรรยายกับเจ้าสองสามประโยค!”

เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสองกา ล้วนยกให้จู๋เฉวียนทั้งหมด ก่อนเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เวลาดื่มเหล้า จำไว้ว่าต้องสลายกลิ่นเหล้าให้หมด ไม่อย่างนั้นนางอาจตื่นขึ้นมา ถึงเวลานั้นหากเห็นข้าก็คงต้องเกลี้ยกล่อมกันอีกนานกว่านางจะยอมไปที่ชายหาดโครงกระดูก แม่นางน้อยคนนี้อยากดื่มเหล้าของข้ามานานแล้ว เรื่องของกุยหลิงเกานั่น เจ้าสำนักจู๋บอกกับนางตรงๆ เลยก็ได้ อันที่จริงแม่นางน้อยใจกล้ามาก ไม่มีความคิดชั่วร้ายซ่อนอยู่แม้แต่น้อย”

จู๋เฉวียนกระดกเหล้าหนึ่งกาดื่มรวดเดียวหมด เหล้าในกาไม่เหลือสักหยด

เพียงแต่ว่านางแหงนหน้าดื่มเหล้า ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย ไม่มีความพิถีพิถันเลยแม้แต่น้อย สุราที่หกเสียไปอย่างน้อยก็ต้องมีสองส่วน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!