กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 515

เฉินผิงอันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันดีในการทำการค้า จึงเก็บเงินเทพเซียนทั้งหมด เดินอ้อมออกจากโต๊ะคิดเงินไปปลดป้ายปิดร้านออก แล้วไปนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กหน้าประตูร้านต่ออีกครั้ง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากอาบแดดเป็นรับลมเย็นเท่านั้น

การประมือกับหลิ่วจื้อชิง แน่นอนว่าเป็นการประมือแบบแบ่งแพ้ชนะหาใช่แบ่งเป็นตาย นี่ก็เพื่อลองประเมินดูว่ากระบี่บินของคอขวดโอสถทองคนหนึ่งจะเร็วได้สักแค่ไหน

การประลองกันทั้งสามครั้ง หลิ่วจื้อชิงเปลี่ยนจากออกแรงห้าส่วนเป็นเจ็ดส่วน แล้วสุดท้ายก็เก้าส่วน

เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว

เพียงแต่ว่าตอนนี้โทสะของบรรพจารย์อาน้อยแห่งตำหนักจินอูลุกโชนถึงเพียงนั้น จะโทษเขาก็ไม่ได้

เพราะถึงอย่างไรตลอดชีวิตที่ผ่านมาของหลิ่วจื้อชิง เขาก็คงไม่เคยกินดินมากขนาดนี้มาก่อน

แน่นอนว่าเฉินผิงอันที่ประมือกับหลิ่วจื้อชิงสามครั้ง แม้แต่ละครั้งเขาจะมีการกดขอบเขตเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาได้เปรียบไปสักเท่าไร

ส่วนการประลองครั้งที่สี่แน่นอนว่าไม่มี

ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้แต่ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย

ส่วนข้อที่ว่าหลังจากผ่านการประมือกันไปแล้วสามครั้ง เหตุใดเฉินผิงอันถึงยังอยู่ต่อในสวนน้ำค้างวสันต์ นอกจากจะเพื่อเป็นร้านผ้าห่อบุญหาเงินมาเพิ่มเติมและเพิ่มที่ว่างให้แก่วัตถุจื่อชื่อแล้ว เป็นเพราะเขากำลังรอคอยจดหมายตอบกลับ

ก่อนหน้านี้เขาได้ส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งออกจากเรือนกระบี่ของสวนน้ำค้างวสันต์ไปยังภูเขามู่อีของสำนักพีหมา จดหมายลับนี้ ต่อให้กระบี่บินจะถูกดักเอาไว้ เนื้อความในจดหมายก็เป็นเพียงเรื่องทั่วไปที่ไหว้วานให้เด็กหนุ่มผังหลันซีของสำนักพีหมาช่วยส่งต่อไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนเท่านั้น

ดังนั้นทางเขตการปกครองหลงเฉวียนจะส่งจดหมายกลับมายังชายหาดโครงกระดูกแล้วค่อยส่งต่อมาที่สวนน้ำค้างวสันต์เมื่อไหร่ ก็ต้องดูแค่ที่ว่าบรรพจารย์ถานท่านนั้นจะปรากฏตัวตอนไหน

บรรพจารย์ก่อกำเนิดที่ดูแลเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและลูกศิษย์นักการหลายพันคนของสวนน้ำค้างวสันต์ท่านนี้ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมาปรากฏตัวต่อหน้าเฉินผิงอัน แต่ขอแค่มีจดหมายตอบกลับมาจากภูเขามู่อีสำนักพีหมา ต่อให้ตบะของนางจะหนักแน่นแค่ไหน กิจธุระจะมากมายรัดตัวเท่าไรก็ไม่มีทางนั่งได้ติด จะต้องเดินทางมาเยือนที่ร้านหรือไม่ก็ที่จวนจิงเจ๋อรอบหนึ่งอย่างแน่นอน

ท่ามกลางม่านตรี แสงไฟบนถนนเหล่าไหวสว่างเรืองรอง

ร้านผีฝูก็มีรายได้เข้าร้านอีกเล็กน้อย

เฉินผิงอันเตรียมจะไปปิดประตู และหลังจากนี้ก็แค่ต้องเรียกเรือยันต์ลำเล็กที่ยืมมาชั่วคราวออกมา ก็สามารถทะยานลมกลับไปยังเรือนจิงเจ๋อที่ทะเลไผ่ได้แล้ว

เฉินผิงอันเพิ่งจะหยิบม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กขึ้นมาก็ต้องวางลงอีกครั้ง มองไปทางในร้าน สตรีอายุน้อยเรือนกายสูงเพรียวผู้หนึ่งปรากฎกายขึ้นจากความว่างเปล่า นางยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มบางๆ

เฉินผิงอันก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป กุมหมัดคารวะพร้อมยิ้มเอ่ย “คารวะฮูหยินถาน”

เจ้าสวนน้ำค้างวสันต์ท่านนี้แซ่ถาน มีชื่อตัวเดียวคืออักษรคำว่าหลิง เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ที่นอกจากนางแล้ว ทุกคนล้วนมีชื่อสามพยางค์ ยกตัวอย่างเช่นซ่งหลานเฉียวโอสถทองก็เป็นคนรุ่นที่ใช้อักษรหลาน

ถานหลิงไม่ได้รั้งรออยู่นานนัก เพียงแค่พูดคุยทักทายตามมารยาทและมอบกล่องไม้บรรจุกระบี่ของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาให้กับเฉินผิงอัน นางก็ยิ้มแล้วขอตัวลากลับไป

การค้าของสวนน้ำค้างวสันต์ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าอีกแล้ว

สวนน้ำค้างวสันต์ยกร้านเล็กร้านหนึ่งบนถนนเหล่าไหวให้ รวมไปถึงภายหลังยังมอบยันต์เรือบินที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้อีกหนึ่งลำ นับว่ากะแรงไฟได้กำลังดี

เฉินผิงอันปิดประตูร้าน โดยสารเรือยันต์จากจุดที่เงียบสงัดลับตาคนมุ่งหน้าไปยังจวนทะเลไผ่ เข้ามาในห้องแล้วก็เปิดกล่องกระบี่ออก ด้านในมีกระบี่บินสองเล่ม ถานหลิงแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ก็ได้รับจดหมายกระบี่บินจากสำนักพีหมาหนึ่งฉบับเช่นกัน บอกว่านี่คือของตอบแทนที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขามู่อีมอบให้กับคุณชายเฉิน กระบี่บินส่งข่าวสองเล่มที่อยู่ในกล่องกระบี่สามารถเดินทางไปกลับได้หนึ่งแสนลี้ ต่อให้เป็นก่อกำเนิดก็ยากจะดักเอาไว้ได้

สำหรับวัตถุอย่างกล่องใส่กระบี่นี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน ตัวเขาเองก็มี กล่องใบที่ได้มาจากทะเลสาบซูเจี่ยน กระบี่บินเดินทางได้ไม่ไกลนัก ระดับขั้นอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับใบนี้ได้ติด

นั่งอยู่ในห้อง เปิดจดหมายหนึ่งฉบับออก เพียงมองเห็นลายมือ เฉินผิงอันก็ยิ้มอย่างชอบใจ

ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาคนนั้นของตนเขียนบ่นอยู่ในจดหมายหลายพันคำ บอกกับอาจารย์ของนางอย่างจริงจังว่าชีวิตการเรียนในโรงเรียนของนาง ลมฝนมิอาจขัดขวาง ตั้งใจตรากตรำอ่านตำรา ไม่มีปล่อยปละละเลย จนพวกอาจารย์ผู้เฒ่าซาบซึ้งใจจนแทบน้ำตาไหลอาบหน้า…

ส่วนเรื่องบางอย่างที่เป็นความลับก็น่าจะเป็นชุยตงซานที่รับหน้าที่เป็นผู้เขียนแทนด้วยตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของโจวหมี่ลี่ที่บนจดหมายเขียนอย่างคลุมเครือไว้หนึ่งประโยคว่า ‘ศิษย์เข้าใจกระจ่างแล้ว มีเรื่องก็หมดเรื่องแล้ว’

เฉินผิงอันอ่านทวนซ้ำอยู่หลายรอบ

อืม ตัวอักษรของเผยเฉียนเขียนได้เป็นระเบียบมากขึ้นแล้ว น่าจะตั้งใจคัดตัวอักษรไม่มีแอบอู้จริงๆ

ส่วนประโยคที่บอกว่า ‘อาจารย์ วิชากระบี่มารคลั่งของข้าฝึกได้อย่างชำนาญแล้ว อาจารย์ไม่กลับบ้านมาดูสักหน่อย เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากเลยนะ’ ‘ข้าหาเงินให้กับร้านได้เท่าภูเขาลูกย่อมแล้ว อาจารย์ท่านรีบกลับบ้านมาดูเร็วเข้า หากวันใดพวกเงินมีขาเดินหนีไปได้เอง ข้าคงขวางไว้ไม่อยู่’ ‘อาจารย์ ถึงแม้ว่าขุนพลใต้บังคับบัญชาของข้าจะรบตายไปหลายสิบคน แต่ข้าก็รับผู้พิทักษ์ซ้ายขวามาอีกสองคน ทุกครัวเรือนในตรอกฉีหลงแถบนี้ ต่อให้มีของหล่นก็ไม่มีใครกล้าเก็บ’ ‘อาจารย์ท่านวางใจได้เต็มร้อยเต็มหมื่นเลย ฟักแคระอยู่ที่ร้านว่านอนสอนง่ายอย่างมาก ก็แค่กินจุไปหน่อยเท่านั้น เรื่องหาเงินก็ไม่เก่งกาจ ข้าเลยต้องควักเงินเก็บส่วนตัวมาช่วยออกค่าอาหารการกินของนาง ตอนนี้ข้าฝึกวิชากระบี่ วิชาดาบและวิชาหมัดล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว ต่อให้มีคนคิดรังแกข้า ข้าก็ไม่อยากถือสาพวกเขา แต่ฟักแคระข้าจะต้องปกป้องดูแลนางให้ดี เพราะนางก็คือคนอ่อนแอที่อาจารย์เคยพูดถึง ส่วนข้านั้นไม่ใช่แล้วล่ะ…’

เฉินผิงอันยิ้มเก็บจดหมายจากทางบ้านฉบับนี้ลงไป เขาพับกระดาษทบเข้าด้วยกันเบาๆ แล้วเอาใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่นช้าๆ

ตอนนี้เฉินผิงอันถอดชุดคลุมอาคมสองชิ้นอย่างจินหลี่และเกล็ดหิมะออกไปนานแล้ว สวมเพียงชุดเขียวและห้อยกาเหล้าเท่านั้น

เขาลุกขึ้นเดินมาบนระเบียง ทอดสายตามองไกลไปเหนือกำแพงเรือน ทะเลไผ่หนาแน่นรกครึ้ม มรกตสดปลั่งราวจะเค้นน้ำคือสีสันแห่งโลกมนุษย์

……

หลังจากที่ชุยตงซานเร่งเดินทางมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน

เขาก็กินข้าวมื้อเย็นที่ร้านในตรอกฉีหลงไปหนึ่งมื้อ ตำแหน่งประธานของโต๊ะอาหารถูกปล่อยว่างไว้ตลอดเวลา ชุยตงซานอยากจะไปนั่ง แต่ทะเลาะกับเผยเฉียนอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แต่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเผยเฉียน โจวหมี่ลี่ภูตน้ำน้อยนั่งอยู่ข้างกายเผยเฉียน ส่วนสือโหรวทุกครั้งที่นั่งจะต้องนั่งบนม้านั่งยาวที่หันหลังให้กับประตูใหญ่เสมอ อีกทั้งนางเองก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร เวลาปกติก็แค่จะมานั่งคุยเป็นเพื่อนเผยเฉียนเท่านั้น แต่วันนี้นางไม่กล้าไม่มา

อาหารมื้อนี้สือโหรวมาร่วมวงแค่ให้ครบจำนวนคน จึงขยับตะเกียบพอเป็นพิธีอยู่สองสามครั้งเท่านั้น ส่วนอีกสามคนที่เหลือต้องเรียกว่าสวาปามมูมมาม ลมหอบเมฆม้วนตลบ โดยเฉพาะโจวหมี่ลี่ที่จ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน

หลังจากนั้นชุยตงซานก็ออกไปจากตรอกฉีหลง บอกว่าจะไปขอเหล้าดื่มที่ภูเขาลั่วพั่วเสียหน่อย

เผยเฉียนเองก็ไม่ได้สนใจเขา นางฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของตัวเองอยู่ในลานบ้าน โจวหมี่ลี่ที่อยู่ด้านข้างคอยปรบมือให้กำลังใจเสียงดัง

ชุยตงซานไม่ได้ตรงไปที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว แต่มาปรากฏตัวที่ตีนเขา ตอนนี้ที่ตรงนั้นมีเรือนที่เข้าท่าเข้าทีอยู่หลังหนึ่ง ด้านในลานเรือน เว่ยป้อ จูเหลี่ยนและชายฉกรรจ์หลังค่อมที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูกำลังเล่นหมากล้อมกัน เว่ยป้อประลองกับจูเหลี่ยน ส่วนเจิ้งต้าเฟิงนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้าง คอยให้คำชี้แนะ

ชุยตงซานนั่งอยู่บนหัวกำแพง มองดูอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวด่าว่า “คนเล่นหมากล้อมฝีมือห่วยๆ สามคนมารวมตัวกัน เห็นแล้วเสียสายตาข้าจริงๆ!”

ชุยตงซานพลิ้วกายลงไป เพียงแต่ว่าพอก้นเขาสัมผัสพื้น จูเหลี่ยนและเว่ยป้อต่างก็พากันเอาเม็ดหมากที่คีบไว้ในมือใส่กลับลงโถ ชุยตงซานยื่นสองมือออกมา “ไม่เอาสิ เด็กๆ เล่นหมากล้อมกันก็มีท่วงทำนองไปอีกแบบ”

เจิ้งต้าเฟิงเริ่มไล่คน

เว่ยป้อจึงตรงกลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋นทันที

ส่วนจูเหลี่ยนและชุยตงซานเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน

ชายแขนเสื้อสองข้างของชุยตงซานเหมือนปีกของแม่ไก่ที่กระพือพึ่บพั่บ ก้าวขึ้นบันไดได้สองสามขั้นก็กระโดดบินขึ้นสูงหนึ่งที

ชุยตงซานถามชวนคุย “เจียงซ่างเจินผู้นั้นมาเยือนภูเขาลั่วพั่วแล้วหรือ?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าหมายถึงพี่น้องโจวเฝยสินะ เคยมาแล้ว บอกว่าต้องการใช้สถานะของก่อกำเนิดมาเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วเรา”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!