อ่านสรุป บทที่ 515.3 อาจารย์เป็นผ้าห่อบุญ ลูกศิษย์ปั้นคนกระเบื้อง จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 515.3 อาจารย์เป็นผ้าห่อบุญ ลูกศิษย์ปั้นคนกระเบื้อง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันดีในการทำการค้า จึงเก็บเงินเทพเซียนทั้งหมด เดินอ้อมออกจากโต๊ะคิดเงินไปปลดป้ายปิดร้านออก แล้วไปนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กหน้าประตูร้านต่ออีกครั้ง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากอาบแดดเป็นรับลมเย็นเท่านั้น
การประมือกับหลิ่วจื้อชิง แน่นอนว่าเป็นการประมือแบบแบ่งแพ้ชนะหาใช่แบ่งเป็นตาย นี่ก็เพื่อลองประเมินดูว่ากระบี่บินของคอขวดโอสถทองคนหนึ่งจะเร็วได้สักแค่ไหน
การประลองกันทั้งสามครั้ง หลิ่วจื้อชิงเปลี่ยนจากออกแรงห้าส่วนเป็นเจ็ดส่วน แล้วสุดท้ายก็เก้าส่วน
เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว
เพียงแต่ว่าตอนนี้โทสะของบรรพจารย์อาน้อยแห่งตำหนักจินอูลุกโชนถึงเพียงนั้น จะโทษเขาก็ไม่ได้
เพราะถึงอย่างไรตลอดชีวิตที่ผ่านมาของหลิ่วจื้อชิง เขาก็คงไม่เคยกินดินมากขนาดนี้มาก่อน
แน่นอนว่าเฉินผิงอันที่ประมือกับหลิ่วจื้อชิงสามครั้ง แม้แต่ละครั้งเขาจะมีการกดขอบเขตเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาได้เปรียบไปสักเท่าไร
ส่วนการประลองครั้งที่สี่แน่นอนว่าไม่มี
ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้แต่ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย
ส่วนข้อที่ว่าหลังจากผ่านการประมือกันไปแล้วสามครั้ง เหตุใดเฉินผิงอันถึงยังอยู่ต่อในสวนน้ำค้างวสันต์ นอกจากจะเพื่อเป็นร้านผ้าห่อบุญหาเงินมาเพิ่มเติมและเพิ่มที่ว่างให้แก่วัตถุจื่อชื่อแล้ว เป็นเพราะเขากำลังรอคอยจดหมายตอบกลับ
ก่อนหน้านี้เขาได้ส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งออกจากเรือนกระบี่ของสวนน้ำค้างวสันต์ไปยังภูเขามู่อีของสำนักพีหมา จดหมายลับนี้ ต่อให้กระบี่บินจะถูกดักเอาไว้ เนื้อความในจดหมายก็เป็นเพียงเรื่องทั่วไปที่ไหว้วานให้เด็กหนุ่มผังหลันซีของสำนักพีหมาช่วยส่งต่อไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนเท่านั้น
ดังนั้นทางเขตการปกครองหลงเฉวียนจะส่งจดหมายกลับมายังชายหาดโครงกระดูกแล้วค่อยส่งต่อมาที่สวนน้ำค้างวสันต์เมื่อไหร่ ก็ต้องดูแค่ที่ว่าบรรพจารย์ถานท่านนั้นจะปรากฏตัวตอนไหน
บรรพจารย์ก่อกำเนิดที่ดูแลเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและลูกศิษย์นักการหลายพันคนของสวนน้ำค้างวสันต์ท่านนี้ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมาปรากฏตัวต่อหน้าเฉินผิงอัน แต่ขอแค่มีจดหมายตอบกลับมาจากภูเขามู่อีสำนักพีหมา ต่อให้ตบะของนางจะหนักแน่นแค่ไหน กิจธุระจะมากมายรัดตัวเท่าไรก็ไม่มีทางนั่งได้ติด จะต้องเดินทางมาเยือนที่ร้านหรือไม่ก็ที่จวนจิงเจ๋อรอบหนึ่งอย่างแน่นอน
ท่ามกลางม่านตรี แสงไฟบนถนนเหล่าไหวสว่างเรืองรอง
ร้านผีฝูก็มีรายได้เข้าร้านอีกเล็กน้อย
เฉินผิงอันเตรียมจะไปปิดประตู และหลังจากนี้ก็แค่ต้องเรียกเรือยันต์ลำเล็กที่ยืมมาชั่วคราวออกมา ก็สามารถทะยานลมกลับไปยังเรือนจิงเจ๋อที่ทะเลไผ่ได้แล้ว
เฉินผิงอันเพิ่งจะหยิบม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กขึ้นมาก็ต้องวางลงอีกครั้ง มองไปทางในร้าน สตรีอายุน้อยเรือนกายสูงเพรียวผู้หนึ่งปรากฎกายขึ้นจากความว่างเปล่า นางยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มบางๆ
เฉินผิงอันก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป กุมหมัดคารวะพร้อมยิ้มเอ่ย “คารวะฮูหยินถาน”
เจ้าสวนน้ำค้างวสันต์ท่านนี้แซ่ถาน มีชื่อตัวเดียวคืออักษรคำว่าหลิง เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ที่นอกจากนางแล้ว ทุกคนล้วนมีชื่อสามพยางค์ ยกตัวอย่างเช่นซ่งหลานเฉียวโอสถทองก็เป็นคนรุ่นที่ใช้อักษรหลาน
ถานหลิงไม่ได้รั้งรออยู่นานนัก เพียงแค่พูดคุยทักทายตามมารยาทและมอบกล่องไม้บรรจุกระบี่ของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาให้กับเฉินผิงอัน นางก็ยิ้มแล้วขอตัวลากลับไป
การค้าของสวนน้ำค้างวสันต์ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าอีกแล้ว
สวนน้ำค้างวสันต์ยกร้านเล็กร้านหนึ่งบนถนนเหล่าไหวให้ รวมไปถึงภายหลังยังมอบยันต์เรือบินที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้อีกหนึ่งลำ นับว่ากะแรงไฟได้กำลังดี
เฉินผิงอันปิดประตูร้าน โดยสารเรือยันต์จากจุดที่เงียบสงัดลับตาคนมุ่งหน้าไปยังจวนทะเลไผ่ เข้ามาในห้องแล้วก็เปิดกล่องกระบี่ออก ด้านในมีกระบี่บินสองเล่ม ถานหลิงแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ก็ได้รับจดหมายกระบี่บินจากสำนักพีหมาหนึ่งฉบับเช่นกัน บอกว่านี่คือของตอบแทนที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขามู่อีมอบให้กับคุณชายเฉิน กระบี่บินส่งข่าวสองเล่มที่อยู่ในกล่องกระบี่สามารถเดินทางไปกลับได้หนึ่งแสนลี้ ต่อให้เป็นก่อกำเนิดก็ยากจะดักเอาไว้ได้
สำหรับวัตถุอย่างกล่องใส่กระบี่นี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน ตัวเขาเองก็มี กล่องใบที่ได้มาจากทะเลสาบซูเจี่ยน กระบี่บินเดินทางได้ไม่ไกลนัก ระดับขั้นอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับใบนี้ได้ติด
นั่งอยู่ในห้อง เปิดจดหมายหนึ่งฉบับออก เพียงมองเห็นลายมือ เฉินผิงอันก็ยิ้มอย่างชอบใจ
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาคนนั้นของตนเขียนบ่นอยู่ในจดหมายหลายพันคำ บอกกับอาจารย์ของนางอย่างจริงจังว่าชีวิตการเรียนในโรงเรียนของนาง ลมฝนมิอาจขัดขวาง ตั้งใจตรากตรำอ่านตำรา ไม่มีปล่อยปละละเลย จนพวกอาจารย์ผู้เฒ่าซาบซึ้งใจจนแทบน้ำตาไหลอาบหน้า…
ส่วนเรื่องบางอย่างที่เป็นความลับก็น่าจะเป็นชุยตงซานที่รับหน้าที่เป็นผู้เขียนแทนด้วยตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของโจวหมี่ลี่ที่บนจดหมายเขียนอย่างคลุมเครือไว้หนึ่งประโยคว่า ‘ศิษย์เข้าใจกระจ่างแล้ว มีเรื่องก็หมดเรื่องแล้ว’
เฉินผิงอันอ่านทวนซ้ำอยู่หลายรอบ
อืม ตัวอักษรของเผยเฉียนเขียนได้เป็นระเบียบมากขึ้นแล้ว น่าจะตั้งใจคัดตัวอักษรไม่มีแอบอู้จริงๆ
ส่วนประโยคที่บอกว่า ‘อาจารย์ วิชากระบี่มารคลั่งของข้าฝึกได้อย่างชำนาญแล้ว อาจารย์ไม่กลับบ้านมาดูสักหน่อย เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากเลยนะ’ ‘ข้าหาเงินให้กับร้านได้เท่าภูเขาลูกย่อมแล้ว อาจารย์ท่านรีบกลับบ้านมาดูเร็วเข้า หากวันใดพวกเงินมีขาเดินหนีไปได้เอง ข้าคงขวางไว้ไม่อยู่’ ‘อาจารย์ ถึงแม้ว่าขุนพลใต้บังคับบัญชาของข้าจะรบตายไปหลายสิบคน แต่ข้าก็รับผู้พิทักษ์ซ้ายขวามาอีกสองคน ทุกครัวเรือนในตรอกฉีหลงแถบนี้ ต่อให้มีของหล่นก็ไม่มีใครกล้าเก็บ’ ‘อาจารย์ท่านวางใจได้เต็มร้อยเต็มหมื่นเลย ฟักแคระอยู่ที่ร้านว่านอนสอนง่ายอย่างมาก ก็แค่กินจุไปหน่อยเท่านั้น เรื่องหาเงินก็ไม่เก่งกาจ ข้าเลยต้องควักเงินเก็บส่วนตัวมาช่วยออกค่าอาหารการกินของนาง ตอนนี้ข้าฝึกวิชากระบี่ วิชาดาบและวิชาหมัดล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว ต่อให้มีคนคิดรังแกข้า ข้าก็ไม่อยากถือสาพวกเขา แต่ฟักแคระข้าจะต้องปกป้องดูแลนางให้ดี เพราะนางก็คือคนอ่อนแอที่อาจารย์เคยพูดถึง ส่วนข้านั้นไม่ใช่แล้วล่ะ…’
เฉินผิงอันยิ้มเก็บจดหมายจากทางบ้านฉบับนี้ลงไป เขาพับกระดาษทบเข้าด้วยกันเบาๆ แล้วเอาใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่นช้าๆ
ตอนนี้เฉินผิงอันถอดชุดคลุมอาคมสองชิ้นอย่างจินหลี่และเกล็ดหิมะออกไปนานแล้ว สวมเพียงชุดเขียวและห้อยกาเหล้าเท่านั้น
เขาลุกขึ้นเดินมาบนระเบียง ทอดสายตามองไกลไปเหนือกำแพงเรือน ทะเลไผ่หนาแน่นรกครึ้ม มรกตสดปลั่งราวจะเค้นน้ำคือสีสันแห่งโลกมนุษย์
……
หลังจากที่ชุยตงซานเร่งเดินทางมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน
เขาก็กินข้าวมื้อเย็นที่ร้านในตรอกฉีหลงไปหนึ่งมื้อ ตำแหน่งประธานของโต๊ะอาหารถูกปล่อยว่างไว้ตลอดเวลา ชุยตงซานอยากจะไปนั่ง แต่ทะเลาะกับเผยเฉียนอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แต่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเผยเฉียน โจวหมี่ลี่ภูตน้ำน้อยนั่งอยู่ข้างกายเผยเฉียน ส่วนสือโหรวทุกครั้งที่นั่งจะต้องนั่งบนม้านั่งยาวที่หันหลังให้กับประตูใหญ่เสมอ อีกทั้งนางเองก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร เวลาปกติก็แค่จะมานั่งคุยเป็นเพื่อนเผยเฉียนเท่านั้น แต่วันนี้นางไม่กล้าไม่มา
อาหารมื้อนี้สือโหรวมาร่วมวงแค่ให้ครบจำนวนคน จึงขยับตะเกียบพอเป็นพิธีอยู่สองสามครั้งเท่านั้น ส่วนอีกสามคนที่เหลือต้องเรียกว่าสวาปามมูมมาม ลมหอบเมฆม้วนตลบ โดยเฉพาะโจวหมี่ลี่ที่จ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน
หลังจากนั้นชุยตงซานก็ออกไปจากตรอกฉีหลง บอกว่าจะไปขอเหล้าดื่มที่ภูเขาลั่วพั่วเสียหน่อย
เผยเฉียนเองก็ไม่ได้สนใจเขา นางฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของตัวเองอยู่ในลานบ้าน โจวหมี่ลี่ที่อยู่ด้านข้างคอยปรบมือให้กำลังใจเสียงดัง
ชุยตงซานไม่ได้ตรงไปที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว แต่มาปรากฏตัวที่ตีนเขา ตอนนี้ที่ตรงนั้นมีเรือนที่เข้าท่าเข้าทีอยู่หลังหนึ่ง ด้านในลานเรือน เว่ยป้อ จูเหลี่ยนและชายฉกรรจ์หลังค่อมที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูกำลังเล่นหมากล้อมกัน เว่ยป้อประลองกับจูเหลี่ยน ส่วนเจิ้งต้าเฟิงนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้าง คอยให้คำชี้แนะ
ชุยตงซานนั่งอยู่บนหัวกำแพง มองดูอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวด่าว่า “คนเล่นหมากล้อมฝีมือห่วยๆ สามคนมารวมตัวกัน เห็นแล้วเสียสายตาข้าจริงๆ!”
ชุยตงซานพลิ้วกายลงไป เพียงแต่ว่าพอก้นเขาสัมผัสพื้น จูเหลี่ยนและเว่ยป้อต่างก็พากันเอาเม็ดหมากที่คีบไว้ในมือใส่กลับลงโถ ชุยตงซานยื่นสองมือออกมา “ไม่เอาสิ เด็กๆ เล่นหมากล้อมกันก็มีท่วงทำนองไปอีกแบบ”
เจิ้งต้าเฟิงเริ่มไล่คน
เว่ยป้อจึงตรงกลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋นทันที
ส่วนจูเหลี่ยนและชุยตงซานเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน
ชายแขนเสื้อสองข้างของชุยตงซานเหมือนปีกของแม่ไก่ที่กระพือพึ่บพั่บ ก้าวขึ้นบันไดได้สองสามขั้นก็กระโดดบินขึ้นสูงหนึ่งที
ชุยตงซานถามชวนคุย “เจียงซ่างเจินผู้นั้นมาเยือนภูเขาลั่วพั่วแล้วหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าหมายถึงพี่น้องโจวเฝยสินะ เคยมาแล้ว บอกว่าต้องการใช้สถานะของก่อกำเนิดมาเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วเรา”
เผยเฉียนจึงได้แต่พาโจวหมี่ลี่ย้อนกลับมาที่ตรอกฉีหลง
วันนี้ชุยตงซานเดินอาดๆ มาที่นี่ ก็ได้เจอกับเผยเฉียนและโจวหมี่ลี่ที่กำลังวิ่งตะบึงลงมาจากบันไดพอดี
พอมาถึงเรือน เผยเฉียนก็ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งที่ยากจะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นอยู่ในลานบ้าน พลางเอ่ยถามว่า “วันนี้มีคนคิดจะรังแกฟักแคระอีกแล้ว จะทำอย่างไรดี?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หลบได้ก็หลบ ยังจะทำอย่างไรได้อีก พูดไปก็ไม่รู้เรื่อง หรือจะยกไม้ฟาดพวกเขาให้ตาย?”
เผยเฉียนหยุดขยับเคลื่อนไม้เท้าเดินป่าในมือ โจวหมี่ลี่รีบไปยกม้านั่งตัวเล็กมาให้ พอเผยเฉียนนั่งลงไปแล้ว โจวหมี่ลี่ก็นั่งลงด้านข้าง ขบฟันบนฟันล่างเล่นเบาๆ อยู่กับตัวเอง
เผยเฉียนวางไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเข่า ขมวดคิ้วกล่าวว่า “พวกอาจารย์ที่สอนหนังสือนี่เป็นอย่างไรกันนะ รู้จักแต่หลักการเหตุผลในตำราอย่างเดียวเท่านั้นหรือ? ท่องหนังสือใครบ้างที่ทำไม่ได้…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็เชิดหน้า “ผู้พิทักษ์ฝั่งขวา! ถึงเวลาที่เจ้าต้องแสดงฝีมือแล้ว”
โจวหมี่ลี่ที่จิตใจสื่อถึงกันรีบช่วยศิษย์พี่หญิงใหญ่พูดประโยคที่เหลือ “แต่จะมีประโยชน์อะไร!”
“ไม่แบ่งแยกเด็กแก่ชายหญิง จะต้องมีคนบางส่วนที่น่าสนใจอยู่เสมอ”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เห็นใครก็ขวางหูขวางตา แน่นอนว่าเป็นเพราะตนเองทำสิ่งใดไม่สมดังปรารถนา ทำสิ่งใดไม่สมดังปรารถนา แน่นอนว่าเห็นใครก็ยิ่งขวางหูขวางตา”
เผยเฉียนคำรามอย่างเดือดดาล “นี่เจ้าด่าข้าหรือ?”
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เอนตัวไปด้านหลัง ยกขาสองข้างขึ้นแกว่งเบาๆ จะล้มก็ไม่ล้ม “จะด่าเจ้าได้อย่างไร ข้ากำลังอธิบายว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ถึงได้บอกให้พวกเจ้าหลบเลี่ยงคนพวกนี้ อย่าได้เข้าใกล้พวกเขาเป็นอันขาด พวกเขาก็เหมือนกับผีพรายที่ชอบลากคนลงน้ำนั่นแหละ”
ชุยตงซานที่โล้ชิงช้าอยู่ตรงนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสร้งทำเป็นว่าในมือถือพัดพับ สะบัดข้อมือโบกเบาๆ
เผยเฉียนถาม “ชอบพัดเล่มนี้ขนาดนี้ แล้วทำไมต้องยกให้อาจารย์ข้าด้วย?”
ชุยตงซานไม่หยุดเคลื่อนไหว “พัดของข้ามีมากมายก่ายกอง ก็แค่ชอบเล่มนั้นมากที่สุด มอบให้ท่านอาจารย์ไปแล้วก็ช่างเถิด”
เผยเฉียนถามเสียงเบา “เจ้าทำอะไรอยู่ในเรือนหลังนั้นกันแน่? คงไม่ได้คิดจะขโมยของไปหรอกนะ?”
ชุยตงซานหลับตางีบหลับ
เผยเฉียนทำท่าส่งสัญญาณมือ แล้วพาโจวหมี่ลี่เขย่งปลายเท้าเดินแยกกันซ้ายคนขวาคน ขยับเข้าไปข้างกายชุยตงซานที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศโดยไม่หล่นกระแทก
โจวหมี่ลี่ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาป้องข้างปาก “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ หลับไปแล้วจริงๆ ด้วย”
เผยเฉียนกลอกตามองบน ก่อนโบกชายแขนเสื้อบอกเป็นนัยให้อีกฝ่ายตามตนเข้าไปคัดตัวอักษรในห้อง
หลังจากนั้นชุยตงซานก็ออกไปจากตรอกฉีหลงและเขตการปกครองหลงเฉวียนเงียบๆ แต่เผยเฉียนกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหล่าอาจารย์ผู้เฒ่าของโรงเรียนในเมืองเล็กเขตการปกครองหลงเฉวียนที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยมาสร้างขึ้นที่แต่ไหนแต่ไรมามักจะเก็บตัวเงียบอยู่เสมอ กลับเริ่มมีการไปเยี่ยมเยือนตามบ้านของนักเรียน ถนนใหญ่ตรอกเล็ก ทุกบ้านทุกครอบครัวล้วนไม่มีปล่อยผ่าน ยกตัวอย่างเช่นร้านในตรอกฉีหลงที่นางอยู่อาศัยก็มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งมาเยือนเช่นกัน เขาพูดคุยไม่จบไม่สิ้นอยู่กับสือโหรวนานเป็นครึ่งๆ วัน สุดท้ายยังกินข้าวด้วยหนึ่งมื้อ ไม่เพียงเท่านี้ เหล่าอาจารย์ที่เดิมทีทำเพียงแค่ถ่ายทอดคุณธรรมความรู้ อธิบายตำราอริยะปราชญ์อยู่ในโรงเรียนกลับเริ่มพากันไปช่วยคนทำนำ ขึ้นเขาไปตัดฟืน พาพวกเด็กๆ ไปเที่ยวชมเตาเผามังกร ฯลฯ ดูเหมือนว่าในทางส่วนตัวก็มีอาจารย์บางท่านบ่นว่าการทำงานหยาบเช่นนี้เป็นการทำลายภาพลักษณ์อันสง่างาม แต่ก็แค่บ่นไม่กี่คำเท่านั้น เพราะควรทำอย่างไรก็ยังทำอยู่อย่างนั้น ต่อมาไม่นานก็มีอาจารย์สองสามท่านลาออกจากโรงเรียนไปอย่างเงียบๆ ก่อนที่อาจารย์หน้าใหม่หลายคนจะเข้ามาแทนที่
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งที่เดินทางมุ่งหน้าลงใต้ออกห่างจากต้าหลีมาไกลมากแล้ว วันนี้เขาที่นั่งอยู่ริมลำธารกลางป่าเขา วักน้ำไว้ในฝ่ามือ ก้มหน้ามองดวงจันทร์ในมือของตนแล้วดื่มน้ำไปหนึ่งอึก ก่อนจะยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รั้งจันทราไว้ไม่อยู่ แต่กลับดื่มน้ำได้”
จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อ คนกระเบื้องเคลือบสูงแค่หนึ่งฉื่อกว่าก็กลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะ เรือนกายของคนกระเบื้องยังมีรอยปริร้าวนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังไม่ได้ ‘เปิดหน้า’ เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มคนกระเบื้องที่ปรากฎตัวในบ้านเดิมของปีนั้นแล้ว ก็แค่ขาดการเตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้านเท่านั้น ทว่าฝีมือการปั้นกลับคล่องแคล่วคุ้นเคยยิ่งกว่าเก่า
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!