ผู้เฒ่าแซ่สุยตวัดตามองบัณฑิตที่น่าสงสารเร็วๆ ครั้งหนึ่ง ยังดีที่เขาไม่มีท่าทีว่าจะขอยืมเงินจากตน ไม่อย่างนั้นหายนะจะถูกชักนำมา ตนคงต้องเปิดปากด่าอีกฝ่ายเพื่อตัดความสัมพันธ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แบบนั้นจะเป็นการทำลายความสุภาพสง่างามมากเกินไป และจะทำลายภาพลักษณ์ผู้มีเมตตาปราณีในสายตาของเด็กรุ่นหลังทั้งหลาย
ไม่รู้ว่าเหตุใดมารเฒ่าหยางหยวนที่กลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้งถึงได้โบกมือ ยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแหบพร่าเหมือนเสียงยามที่ใช้หินลับมีด “ช่างเถิด แค่ข่มขู่เล็กๆ น้อยๆ ก็พอ ให้บัณฑิตรีบไสหัวไปซะ เจ้าเด็กนี่ยังถือว่าพอจะมีปณิธาน มีความกล้าหาญอยู่บ้าง เทียบกับพวกบัณฑิตที่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แล้วกลับดีกว่ามาก อย่าว่าแต่เอ่ยถ้อยคำผดุงคุณธรรมก็กลัวว่าจะหาเรื่องใส่ตัวอะไรเลย ต่อให้ในมือมีมีดก็ยังไม่กล้า ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงต้องยกมีดฟันให้บัณฑิตหนุ่มคนนั้นตายไปก่อนถึงจะสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป”
ชายฉกรรจ์ที่ใบหน้าดุร้ายรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทำท่าจะยกเท้าเตะ บัณฑิตหนุ่มก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน วิ่งอ้อมผ่านทุกคนออกไปจากทางเส้นเล็กจนดินโคลนกระเซ็นเปรอะเปื้อน
ผู้เฒ่าแซ่สุยสีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ
ทว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากลับใบหน้าแดงก่ำ เพราะฟังความนัยในถ้อยคำของตาเฒ่าผู้นั้นออก เขาจึงหงุดหงิดไม่สบอารมณ์
สตรีสวมหมวกคลุมหน้าเห็นว่าตรงสุดปลายทางสายเล็ก คนหนุ่มชุดเขียวหยุดฝีเท้าลง หันหน้ากลับมามองแล้วคลี่ยิ้มมีเลศนัยที่นางไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือไม่ ก่อนจะก้าวยาวๆ จากไป
ทางฝั่งของหน้าประตูศาลา หยางหยวนชี้ไปยังคนหนุ่มถือพัดที่อยู่ข้างกาย สายตามองไปทางสตรีสวมหมวกคลุมหน้า “นี่คือศิษย์รักของข้า จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้แต่งภรรยา แม้ว่าเจ้าจะมีหมวกคลุมหน้าบดบังรูปโฉม อีกทั้งยังมวยผมทรงสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ลูกศิษย์ของข้าไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ เลือกวันดีไม่สู้เลือกวันสะดวก พวกเราสองครอบครัวมาดองเป็นทองแผ่นเดียวกันดีไหม? อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้วางใจได้ แม้ว่าพวกเราจะเป็นคนในยุทธภพ แต่พื้นฐานครอบครัวไม่เลว สินสอดทองหมั้นมีแต่จะสมบูรณ์ยิ่งกว่ายามที่ลูกหลานอัครเสนาบดีของหนึ่งแคว้นสู่ขอภรรยา หากไม่เชื่อก็ลองถามองค์รักษ์พกดาบผู้นี้ของเจ้าดู มีฝีมือดีขนาดนี้ เขาก็น่าจะมองตัวตนของข้าผู้อาวุโสออกแล้ว”
ผู้เฒ่าแซ่สุยสีหน้าเขียวคล้ำ
หูซินเหวยมีสีหน้ากระอักกระอ่วน หลังจากใคร่ครวญหาถ้อยคำอยู่พักหนึ่งก็พูดกับผู้เฒ่าว่า “พี่ใหญ่สุย ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสหยาง หยางหยวน มีฉายาว่าเจียวแม่น้ำขุ่น คือปรมาจารย์ในยุทธภพท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงของแคว้นจินเฟยในอดีต”
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ เสียงที่สั่นสะท้านเบาเหมือนเสียงยุง “หยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นไม่ใช่ว่าถูกเจ้าประมุขหลินของพรรคเจิงหรง จอมยุทธใหญ่หลินฆ่าตายไปแล้วหรอกหรือ?”
ต่อให้เสียงของเด็กหนุ่มจะเบาแค่ไหน ตัวเขาเองอาจจะนึกว่าคนอื่นไม่ได้ยิน แต่เมื่อดังเข้าหูยอดฝีมือในยุทธภพอย่างพวกหูซินเหวยและหยางหยวนแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็น ‘ถ้อยคำรุนแรง’ ที่ได้ยินอย่างชัดเจน
หูซินเหวยหันหน้ามาตะคอกอย่างเดือดดาล “สุยเหวินฝ่า ห้ามพูดจาเหลวไหล! รีบขอโทษผู้อาวุโสหยางเดี๋ยวนี้!”
เด็กหนุ่มจึงประสานมือคารวะขออภัยอีกครั้ง
วันนี้เขาต้องขอโทษคนอื่นเป็นครั้งที่สองแล้ว
หยางหยวนผายมือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มกล่าวว่า “ไปคุยกันข้างในเถอะ หน้าตาเล็กน้อยเพียงเท่านี้ หวังว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยแห่งแคว้นอู่หลิงจะยังมีมอบให้กันบ้าง”
ผู้เฒ่าแซ่สุยผ่อนลมหายใจโล่งอกเบาๆ ไม่ได้เปิดฉากเข่นฆ่ากันทันทีก็ดีแล้ว ภาพเหตุการณ์นองเลือดนั้น ในตำรามักจะกล่าวถึงเป็นประจำ ทว่าผู้เฒ่าไม่เคยเห็นเองกับตาจริงๆ มาก่อน
ในเมื่ออีกฝ่ายรู้จักตน เรียกตนว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่า ไม่แน่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะมีโอกาสพลิกเปลี่ยน
ทั้งสองฝ่ายนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวด้านใต้ผนังของศาลาตรงข้ามกัน มีเพียงผู้เฒ่าหยางหยวนกับลูกศิษย์สะพายกระบี่คนนั้นที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวซึ่งหันหน้าเข้าหาประตู ร่างของผู้เฒ่าโน้มเอียงมาด้านหน้าเล็กน้อย ค้อมเอวกำหมัดไว้หลวมๆ ไม่มีท่าทางดุร้ายอย่างที่มารร้ายในยุทธภพสมควรมีแม้แต่น้อย เขายิ้มมองไปยังสตรีสวมหมวกคลุมหน้าที่ยังไม่เคยเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว รวมไปถึงเด็กสาวที่อยู่ข้างกายของนาง แล้วผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยไม่ถือสา สามารถดองเป็นทองแผ่นเดียวกันได้ถึงสองต่อ ในบ้านของข้ายังมีหลานชายที่เป็นเด็กดีอยู่อีกคนหนึ่ง ปีนี้เพิ่งจะเต็มสิบหกพอดี เขาไม่ได้ติดตามข้ามาท่องอยู่ในยุทธภพด้วย แต่เล่าเรียนจนมีวิชาความรู้อยู่เต็มท้อง คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่แท้จริง หาใช่ว่าข้าโป้ปดไม่ การสอบเคอจวี่ของแคว้นหลันฝางในปีนี้ หลานชายคนนั้นของข้าก็สอบติดเป็นจิ้นซื่อระดับสอง แซ่หยางนามรุ่ย ไม่แน่ว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยอาจจะเคยได้ยินชื่อของหลานชายข้ามาก่อน”
จากนั้นผู้เฒ่าก็หันไปยิ้มเอ่ยกับลูกศิษย์ของตน “ไม่รู้ว่ารุ่ยเอ๋อร์ของข้าจะถูกใจสตรีคนใด ฟู่เจิน เจ้าคิดว่ารุ่ยเอ๋อร์จะเลือกใคร จะทะเลาะกับเจ้าหรือไม่?”
ลูกศิษย์ที่สะพายกระบี่รีบเอ่ยว่า “ไม่สู้รับคนที่อายุมากหน่อยเป็นภรรยาเอก คนที่อายุน้อยกว่ารับเป็นอนุภรรยา”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “แต่มันไม่ถูกต้องตามหลักมารยาทน่ะสิ”
ลูกศิษย์คนนั้นยิ้มกล่าวว่า “คนในยุทธภพอย่างพวกเราไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องให้แม่นางน้อยใหญ่ทั้งสองนี้ทนรับความอยุติธรรมสักหน่อย เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ไปเสียเลย แต่งให้กับหยางรุ่ยที่มีทั้งความสามารถ หน้าตาหล่อเหลา แถมยังชาติตระกูลดี หากไม่เป็นเพราะแคว้นหลันฝางไม่มีองค์หญิงหรือเสี้ยนจู่ที่อายุเหมาะสม ป่านนี้เขาก็คงได้เป็นราชบุตรเขยไปนานแล้ว แม่นางทั้งสองแต่งให้กับหยางรุ่ยของพวกเรา นับเป็นความโชคดีที่ใหญ่เพียงใด แค่นี้ก็น่าจะรู้จักพอได้แล้ว”
หูซินเหวยสะกดกลั้นไฟโทสะที่สุมแน่นอยู่เต็มทรวง “ผู้อาวุโสหยาง อย่าลืมล่ะว่าที่นี่คือแคว้นอู่หลิงของพวกเรา!”
หยางหยวนยิ้มกล่าว “หากเป็นหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งของแคว้นอู่หลิงที่มานั่งอยู่ที่นี่ ข้าก็คงไม่เข้ามาในศาลาหลังนี้แล้ว บังเอิญยิ่งนัก ตอนนี้หวังตุ้นน่าจะอยู่ในเมืองหลวงต้าจ้วน แน่นอนว่าพวกเราคนกลุ่มใหญ่ที่เดินอาดๆ ข้ามอาณาเขตเข้ามา หากต้องมีคนตายจริงๆ พวกมือปราบที่ประสบการณ์โชกโชนทั้งหลายของแคว้นอู่หลิงย่อมต้องสืบเสาะจนหาเบาะแสพบอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยจะต้องช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้เอง บัณฑิตให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็นที่สุดแล้ว เรื่องน่าเกลียดในบ้านย่อมไม่เอาไปแพร่งพรายข้างนอก”
หูซินเหวยถอนหายใจหนึ่งที หันหน้าไปมองผู้เฒ่าแซ่สุย “พี่ใหญ่สุย เอาอย่างไร?”
ผู้เฒ่าแซ่สุยมองไปยังผู้เฒ่าอีกคนที่แข็งแรงกระปรี้กระเปร่าแล้วหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหยางหยวนจะทำตัวไร้ขื่อไร้แปในแคว้นอู่หลิงของพวกเราได้จริงๆ”
หยางหยวนเพียงยิ้มรับ จากนั้นหันมาถามหูซินเหวยว่า “จอมยุทธใหญ่หูล่ะว่าอย่างไร? ไม่เพียงแต่ต้องเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยง อาจจะยังต้องลากสำนักและคนในครอบครัวมาซวยด้วย เพียงแค่เพื่อปกป้องสตรีสองคน ขัดขวางไม่ให้พวกเราสองบ้านแต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกัน? หรือว่าจะรู้อะไรควรไม่ควรเสียหน่อย วันหน้าที่รุ่ยเอ๋อร์ของข้าได้แต่งงาน เจ้าในฐานะแขกผู้มีเกียรติอันดับหนึ่งมาส่งมอบของขวัญอวยพรให้ถึงบ้าน จากนั้นข้าก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่กลับคืนไปให้?”
ลูกศิษย์ที่สะพายกระบี่คนนั้นหัวเราะหึหึ “เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก สตรีก็ย่อมว่านอนสอนง่ายกว่าเดิม”
หยางหยวนยิ้มพลางพยักหน้ารับ “คำพูดไม่น่าฟัง แต่เหตุผลนั้นถูกต้อง”
ผู้เฒ่าแซ่สุยเอ่ยอ้อนวอน “จอมยุทธใหญ่หู! ในช่วงวิกฤตอันตรายเช่นนี้ อย่าทอดทิ้งพวกเราเลยนะ!”
หูซินเหวยมีสีหน้าซับซ้อน ความคิดในหัวตีกันวุ่นวาย
หยางหยวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “น่าเสียดายที่บัณฑิตหนุ่มคนนั้นไม่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องใช้ถ้อยคำของบัณฑิตอย่างพวกเจ้ามาด่าบ้านญาติดองอย่างพวกเจ้าสองสามคำแล้ว แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เขาไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ทางปล่อยให้บ้านญาติดองต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน ฆ่าได้ก็คงต้องฆ่า นิสัยของข้านี้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าในอดีตเยอะมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อที่บ้านมีรุ่ยเอ๋อร์เพิ่มเข้ามา สำหรับบัณฑิตอย่างพวกเจ้า ไม่ว่าในท้องจะมีตำราอริยะปราชญ์เข้าไปอยู่สักกี่เล่ม ข้าก็ล้วนเคารพนับถืออย่างมาก”
สตรีสวมหมวกม่านพลันเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าสามารถอยู่ต่อได้ ปล่อยพวกเขาไป จากนั้นพวกเราก็รีบเดินทางไปที่แคว้นหลันฝางทันที ต่อให้จะมีใครไปแจ้งทางการ แต่ขอแค่พวกเราข้ามชายแดน เข้าไปในแคว้นจินเฟยแล้ว ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!