สตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้ามวยผมอย่างสตรีที่แต่งงานแล้วถอนหายใจเบาๆ จิตใจนางรู้สึกไม่เป็นสุขเท่าใดนัก เกี่ยวกับการเดินทางไกลมาเยือนเมืองหลวงต้าจ้วนพร้อมกับบิดาและหลานชายหลานสาวครั้งนี้ นางเคยทำนายเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง ล้วนได้คำทำนายที่แปลกประหลาดทั้งสิ้น ท่ามกลางความอันตรายอย่างใหญ่หลวงกลับมีโชควาสนาล้อมวน สรุปก็คือไม่แน่นอนว่าเป็นโชคหรือเคราะห์ นี่ทำให้นางยากจะคาดเดาความหมายอันลึกซึ้งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้ อันที่จริงหากอิงตามหลักทั่วไป ราชวงศ์ต้าจ้วนสงบสุขมาเนิ่นนาน กองกำลังแคว้นก็รุ่งเรือง เมื่อเทียบกับกองกำลังของราชวงศ์ต้ากวานที่อยู่ทางใต้แล้วก็เรียกได้ว่าสูสีใกล้เคียงกัน อีกทั้งเชื้อพระวงศ์ของสองฝ่ายยังมีการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กัน และราชวงศ์ต้าจ้วนก็ยังมีเทพีแห่งการต่อสู้และเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นคอยปกปักษ์รักษาเมืองหลวง ข่าวลือประหลาดที่ส่งมาจากแม่น้ำอวี้ซี ต่อให้เป็นความจริงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร นางเชื่อว่าแม่น้ำอวี้ซีที่ไม่เคยมีการแต่งตั้งเทพวารีและสร้างศาลเจ้าขึ้นมาอาจจะมีเจียวดำตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่จริง แต่หากจะบอกว่าเจียวน้ำสามารถสร้างความวุ่นวายให้แก่เมืองหลวงต้าจ้วนได้ นางกลับไม่เชื่อ
สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นางก็ยังคงรู้สึกเสียดายนิดๆ ที่ตลอดหลายปีมานี้ตนได้แค่อาศัยสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งที่ยอดฝีมือทิ้งเอาไว้ อาศัยการใคร่ครวญคาดเดาของตัวเองมาฝึกวิชาตระกูลเซียนอย่างส่งเดช ไม่เคยมีวิสุทธิอาจารย์ ไม่มีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับการสืบทอดอย่างเป็นระบบที่แท้จริงคนหนึ่งคอยชี้นำสั่งสอน ไม่อย่างนั้นนางคงมั่นใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าควรจะไปหรือไม่ไปเมืองหลวงต้าจ้วนดี
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้าง
อาหญิงของตนเป็นคนมหัศจรรย์คนหนึ่ง เล่าลือกันว่ามีวันหนึ่งหลังจากที่ท่านย่าตั้งครรภ์ได้สิบเดือน นางฝันเห็นว่ามีเทพองค์หนึ่งอุ้มเด็กเดินเข้ามาในศาลบรรพชนแล้วส่งมอบให้ท่านย่าด้วยมือของตัวเอง ภายหลังก็ได้ให้กำเนิดอาหญิง ทว่าอาหญิงกลับมีชะตาแข็ง นับตั้งแต่เด็กมานางก็เชี่ยวชาญวิชาพิณ หมากล้อม วาดภาพและพู่กันอย่างครบถ้วน ในอดีตมียอดฝีมือที่เดินทางท่องเที่ยวผ่านมาเยือนตระกูลมอบปิ่นทองสามชิ้นกับชุดผ้าโปร่งบางที่มีชื่อว่า ‘เสื้อไผ่’ อีกตัวหนึ่งไว้ให้ บอกว่านี่คือโชควาสนา หลังจากยอดฝีมือจากไป ภายหลังยิ่งอาหญิงโดดเด่นมากเท่าไรก็ยิ่งมีชื่อเสียงอยู่ในราชสำนักแคว้นอู่หลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการการประพันธ์มากเท่านั้น ทว่าในเรื่องการแต่งงานของอาหญิงกลับมีอุปสรรค ท่านปู่ช่วยหาสามีมาให้นางสองคน คนแรกคือถั่นฮวาแห่งแคว้นอู่หลิงที่ฐานะเหมาะสมคู่ควรกัน ในช่วงเวลาที่กำลังรุ่งโรจน์ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงอู่หลิง คิดไม่ถึงว่าภายหลังจะไปพัวพันกับคดีเคอจวี่ ท่านปู่จึงไม่กล้าหาคนที่เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตมาให้นางอีก ตอนหลังได้เจอกับบุรุษหนุ่มหล่อเหลามากความสามารถในยุทธภพที่อักษรแปดตัวแข็งยิ่งกว่า ทว่าในขณะที่อาหญิงใกล้จะได้แต่งงาน ทางครอบครัวของอีกฝ่ายกลับเกิดเรื่องขึ้นมาอีก จอมยุทธหนุ่มตกอับผู้นั้นจึงออกเดินทางไกล เล่าลือกันว่าเขาไปท่องอยู่แถวแคว้นหลันฝาง แคว้นชิงสือ และได้กลายเป็นวีรบุรุษของพื้นที่แถบหนึ่งแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แต่งงาน และยังคงอาลัยอาวรณ์ต่ออาหญิง
อาหญิงอายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่กลับยังมีหน้าตางดงามชวนให้คนหลงใหล ประดุจเทพธิดาที่เดินออกมาจากภาพวาดฝาผนัง
หากไม่เป็นเพราะตลอดหลายปีมานี้อาหญิงเก็บตัวเงียบ แทบไม่เคยปรากฏตัว บางครั้งที่ไปจุดธูปไหว้พระตามวัดวาอารามก็จะไม่เลือกไปในวันที่มีผู้คนเยอะอย่างวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน เวลาปกติก็แค่แต่งกลอนร่ายกวีกับปัญญาชนจำนวนน้อยนิดเพียงแค่หยิบมือ อย่างมากสุดก็มีแค่ยามเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานมาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ถึงจะเล่นหมากล้อมด้วยกันบ้าง ไม่อย่างนั้นเด็กหนุ่มก็เชื่อว่าต่อให้อาหญิงจะเป็น ‘หญิงแก่’ ที่อายุปูนนี้แล้ว ก็ยังต้องมีคนมาสู่ขอจนธรณีประตูบ้านสึกอย่างแน่นอน
สำหรับการเดินทางมาเยือนเมืองหลวงต้าจ้วน เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็มีความคาดฝันในแบบที่แตกต่างไปจากพี่สาวของตน นอกจากฮ่องเต้สกุลโจวจะจัดงามชุมนุมพืชหญ้าแล้ว ราชวงศ์ต้าจ้วนยังจะมีการคัดเลือกยอดฝีมือในยุทธภพสิบคนและสาวงามสี่คน ขอแค่คนที่ติดอันดับอยู่ในเมืองหลวงต้าจ้วนก็ล้วนสามารถถูกฮ่องเต้สกุลโจวเรียกเข้าเฝ้าแล้วมอบของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งให้ ไม่แน่ว่าเมืองหลวงต้าจ้วนในตอนนี้อาจมีปรมาจารย์อายุน้อยที่เพิ่งติดอันดับใหม่มารวมตัวกันมากมายแล้ว การแสดงความคิดเห็นให้คำวิจารณ์ต่อยุทธภพซึ่งจะมีขึ้นสิบปีครั้งนี้ คนแก่คนใดต้องถูกคัดออก คนหน้าใหม่คนใดจะได้ขึ้นตำแหน่ง เมืองหลวงต้าจ้วนก็มีการวางเดิมพันด้วยเม็ดเงินมหาศาลเช่นกัน
แม้ว่าเด็กหนุ่มแซ่สุยแห่งแคว้นอู่หลิงจะมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลของปัญญาชนผู้มีความรู้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเดินไปบนเส้นทางที่ท่านปู่ คนรุ่นพ่อและรุ่นพี่ของเขาเดินผ่านมา เดินอิงตามลำดับขั้นตอนทีละก้าวจนกลายไปเป็นขุนนางบุ๋นของแคว้นอู่หลิง ทว่าส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มกลับเลื่อมใสวีรบุรุษและจอมยุทธผู้องอาจในยุทธภพมากที่สุด นิยายต่อสู้ในยุทธภพหลายสิบเล่มที่เก็บไว้ในห้องหนังสือถูกเขาพลิกเปิดอ่านจนเปื่อยทุกเล่ม ต่อให้ท่องย้อนกลับหลังก็ยังท่องได้คล่องราวสายน้ำไหล สำหรับคนในยุทธจักรที่ใช้ความสามารถของตนสร้างชื่อเสียงขึ้นมาอย่างท่านอาหูผู้นี้ เขาก็ยิ่งเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ หากไม่เป็นเพราะจอมยุทธใหญ่หูมีภรรยาและลูกสาวอยู่แล้ว เด็กหนุ่มก็อยากจะจับคู่เขากับอาหญิงของตัวเองจริงๆ
เฉินผิงอันมองสีหน้าของผู้เฒ่าแซ่สุย ดูแล้วน่าจะยังอยากไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วนมากกว่า เขาจึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก
ก่อนหน้านี้ตอนที่ทบทวนกระดานหมากล้อมสิ้นสุด ฝนก็หยุดตกพอดี
เพียงแต่ว่าทางดินโคลนด้านนอกนั้น นอกจากเฉินผิงอันแล้ว คนอื่นๆ ในศาลาต่างก็คล้ายมีเรื่องในใจจึงไม่คิดจะรีบร้อนออกเดินทางต่อ
เฉินผิงอันเก็บกระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่เแล้ว เขาจับไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา สวมงอบให้เรียบร้อย แล้วจึงบอกลาจากไป
ก่อนหน้านี้ชำเลืองมองม่านฝนแวบหนึ่ง โยนเม็ดหมากแสดงถึงการยอมแพ้ ทบทวนกระดานสิ้นสุดลง ก็เป็นช่วงเวลาที่ฝนหยุดตกและท้องฟ้าสีครามใสกระจ่างพอดี
เดิมทีนี่ก็เป็นการเตือนโดยไร้เสียงอย่างหนึ่งของเฉินผิงอัน ส่วนข้อที่ว่าสตรีสวมหมวกม่านผู้นั้นจะสังเกตเห็นเบาะแสข้อนี้ได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของนางแล้ว
บุรุษพกดาบคนนั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าคนหนึ่ง อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็น่าจะถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่ได้ยึดครองพื้นที่แถบหนึ่งในยุทธภพแล้ว
ส่วนสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าดูคล้ายกับผู้ฝึกลมปราณครึ่งตัว ขอบเขตไม่สูง น่าจะประมาณขอบเขตสองหรือสามเท่านั้น
เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินออกมานอกศาลา เขาก็ต้องขมวดคิ้ว
บังเอิญขนาดนี้เชียว?
บนถนนเส้นเล็กในป่าเขาของชานเมืองแห่งนี้ เหตุใดถึงได้มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งควบม้าผ่านมา ด้วยสถานะของผู้เฒ่าแซ่สุย ก็น่าจะไม่มีศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนักหรือในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้
อาณาบริเวณอันกว้างขวางของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงราชวงศ์ต้าจ้วนเป็นหนึ่งในนั้น แคว้นเล็กๆ อย่างหลันฝาง อู่หลิงนี้ บางทีอาจไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งช่วยสยบโชคชะตาบู๊ ก็เหมือนกับแคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกยอดเขาอย่างผู้อาวุโสซ่ง แค่ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็สามารถควบคุมดูแลยุทธภพของแคว้นหนึ่งได้แล้ว เพียงแต่คนล่างภูเขาพบเจอเทพเซียนกลับไม่รู้ตัว ส่วนคนบนภูเขาก็ยิ่งพบเจอผู้ฝึกตนได้ง่าย แล้วก็เพราะตบะของเฉินผิงอันสูงพอ อีกทั้งสายตายังดีเยี่ยม ถึงได้พบเห็นผู้ฝึกตน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ภูตประหลาดตามป่าเขาและภูตผีตามหมู่ชาวบ้านได้มากกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นก็จะเหมือนปีนั้นที่อยู่ในเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด เฉินผิงอันยังเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร เวลาพบเจอใครก็รู้แค่ความต่างว่ามีเงินหรือไม่มีเงินเท่านั้น
ทว่าท่องเที่ยวเดินทางไกลไปทั่วทิศมานานหลายปีขนาดนี้ นอกจากสถานที่อย่างภูเขาห้อยหัว เรือข้ามฟากแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังพบเห็นคนธรรมดาได้มากกว่า เพียงแต่ว่าเรื่องราวกลับมีน้อยกว่าก็เท่านั้น
แต่เพียงไม่นานผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็หยุดม้ารออยู่ห่างไปไกล คล้ายกำลังรอคอใคร
ข้างกายเขาน่าจะยังมีม้าอีกตัวซึ่งเป็นของผู้ฝึกตน
จากนั้นบนเส้นทางชาม้าโบราณอีกทิศทางหนึ่งของศาลาก็มีเสียงฝีเท้าที่เดินอย่างสะเปะสะปะดังขึ้นมา น่าจะเป็นคนประมาณสิบกว่าคน ฝีเท้ามีทั้งหนักและเบา แน่นอนว่าตบะก็ย่อมมีทั้งสูงและต่ำ
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไปเหยียบดินโคลน จากนั้นก็ชักเท้าขึ้นมาแล้วเอาพื้นรองเท้าที่เปื้อนโคลนมาถูบนขั้นบันได ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เดินกลับเข้ามาในศาลา กล่าวอย่างจนใจว่า “นั่งต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน รอให้มีแสงแดดส่องทางก่อนค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นหากเดินไปทั้งแบบนี้ต้องลำบากมากแน่”
เด็กหนุ่มมีนิสัยไร้พันธนาการ เป็นคนร่าเริงมองโลกในแง่ดี อีกทั้งยังเพิ่งมาท่องยุทธภพเป็นครั้งแรก คำพูดคำจาจึงไร้ความยำเกรง เขายิ้มกล่าวว่า “ฉลาด!”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
หูซินเหวยรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดี๋ยววันหน้าต้องบอกเจ้าเด็กผู้นี้เสียหน่อยแล้วว่าอยู่ในยุทธภพจะทำตัวกำเริบเสิบสานแบบนี้ไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้ากลับเปิดปากสั่งสอนเสียแล้ว “เป็นบัณฑิตแต่กลับไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ยังไม่รีบขอโทษคุณชายเฉินอีก!”
เด็กหนุ่มรีบมองไปทางท่านปู่ของตน ผู้เฒ่าจึงยิ้มกล่าวว่า “บัณฑิตขอโทษคนอื่นยากนักหรือ? เป็นหลักการอริยะปราชญ์ในตำราที่แพงกว่าหรือเป็นหน้าของเด็กอย่างเจ้าที่มีราคามากกว่ากันแน่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!