น้ำชุ่มชื้นดินอบอ้าว เรือนกายท่วมไปด้วยเม็ดเหงื่อ ฟ้าดินดั่งซึ้งนึ่งที่ทำให้อารมณ์ของคนอัดอั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
บนเส้นทางชาม้าโบราณที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปีเส้นหนึ่งของแคว้นอู่หลิง ม้าห้าตัวขยับเคลื่อนหน้าไปอย่างเนิบช้า
อยู่ดีๆ ก็มีฝนตกลงมา ต่อให้สวมเสื้อกันฝน ทว่าฝนที่เม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองก็ยังคงตกกระทบจนใบหน้าปวดแสบปวดร้อน ทุกคนรีบพากันควบม้าหาที่หลบฝน ในที่สุดก็เจอกับศาลาพักเท้ากึ่งกลางภูเขาแห่งหนึ่ง จึงพากันหยุดม้าลง
ผลคือเห็นคนหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาวในศาลา ข้างเท้าวางหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ไว้หนึ่งใบ ด้านหน้าวางกระดานหมากล้อมและโถกระเบื้องเคลือบใส่เม็ดหมากขนาดเล็กสองใบ บนกระดานจัดวางตัวหมากสีขาวดำไว้ยี่สิบกว่าตัว พอเห็นพวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวใดๆ เพียงเงยหน้าส่งยิ้มบางๆ มาให้ จากนั้นก็คีบหมากวางบนกระดานต่อ
ชายฉกรรจ์พกดาบคนหนึ่งชำเลืองตามองชุดสีเขียวและพื้นรองเท้าของอีกฝ่าย ล้วนไม่มีคราบน้ำ น่าจะมาพักเท้าอยู่ที่นี่นานแล้ว จึงหลบฝนกระหน่ำครั้งนี้มาได้ ก็เลยจะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง ดังนั้นถึงได้มานั่งเล่นหมากล้อมกับตัวเองอยู่ที่นี่
ผู้เฒ่าที่บุคลิกไม่ธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าศาลา ดูท่าแล้วฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ จึงหันหน้ามายิ้มถามว่า “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ คุณชายจะถือสาหรือไม่หากข้าขอเล่นด้วยสักตา?”
คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกมารวบเม็ดหมากสีขาวดำบนกระดานเข้าไว้มุมเดียวกัน แต่กลับไม่ได้ใส่กลับเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมาก แต่วางกองไว้ระหว่างตนเองกับกระดานหมาก แล้วจึงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า “ได้สิ”
เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งหันหน้ามายิ้มให้กัน
และยังมีสตรีโตเต็มวัยสวมหมวกคลุมใบหน้าคนหนึ่งที่นั่งลงบนม้านั่งยาวฝั่งตรงข้าม ก่อนจะนั่งลง นางได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งวางรองไว้ก่อน
ผู้เฒ่าคว้าเม็ดหมากสีขาวกำหนึ่งขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อข้าผู้อาวุโสอายุมากกว่าอยู่หลายปี คุณชายเชิญเดาก่อนได้เลย”
เฉินผิงอันคีบเม็ดหมากสีดำขึ้นมาหนึ่งเม็ด ผู้เฒ่าวางหมากขาวไว้บนกระดานหมาก มีทั้งหมดเจ็ดเม็ด ผู้เฒ่าจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เชิญคุณชายเดินก่อนได้เลย”
โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เปลี่ยนท่านั่งใหม่ ไม่ได้นั่งขัดสมาธิแล้ว แต่นั่งเบี่ยงตัวหันข้างไม่ต่างจากผู้เฒ่า มือข้างหนึ่งจับประคองชายแขนเสื้อ อีกมือหนึ่งคีบเม็ดหมากวางลงบนกระดาน
เด็กหนุ่มกระซิบกระซาบเบาๆ ข้างหูเด็กสาว “ดูจากท่าทาง มองดูแล้วคล้ายยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมคนหนึ่ง”
เด็กสาวยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ต่อให้ฝีมือในการเล่นหมากล้อมจะสูงแค่ไหน แต่จะสามารถทัดเทียมกับท่านปู่ของพวกเราได้หรือ?”
เด็กหนุ่มชอบที่จะเถียงกับเด็กสาวจึงกล่าวว่า “ข้าว่าคนผู้นี้รับมือได้ไม่ง่าย ท่านปู่เคยบอกเองว่า ยอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อม ขอแค่เล่นมาตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากเซียนบนภูเขาที่ไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว อายุประมาณยี่สิบปีคือช่วงอายุที่สามารถเล่นได้เก่งที่สุด ส่วนผ่านอายุสามสิบปีไป ยิ่งอายุมากเท่าไรก็ยิ่งลำบากมากเท่านั้น”
เด็กสาวหลุดหัวเราะพรืด “คนที่ท่านปู่พูดถึง หมายถึงแค่คนอายุน้อยที่มีพรสวรรค์ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้กลายเป็นฉีไต้จ้าว คนทั่วไปไม่ได้อยู่ในกรณีนี้”
ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ต่อให้ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของตัวเองจะสูงมากจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแคว้น แต่ก็ยังไม่รีบร้อนจะวางหมาก การเล่นหมากล้อมกับคนแปลกหน้า มักจะกลัวความใหม่และความแปลกประหลาดอยู่เสมอ ผู้เฒ่าเงยหน้ามองไปยังเด็กรุ่นหลังทั้งสองคนแล้วขมวดคิ้ว
เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “รู้แล้วขอรับ ไม่พูดเวลาเล่นหมากล้อม”
บนกระดานมาก หลังจากวางเม็ดหมากกันไปไม่ถึงสามสิบครั้ง เด็กหนุ่มเด็กสาวก็หันมามองหน้ากันเอง
ที่แท้ก็เป็นคนฝีมือห่วยที่ผิดต่อทุกรูปแบบที่เล่นไปก่อนหน้านี้
อย่าว่าแต่ท่านปู่ที่เป็นนักเล่นระดับแคว้นเลย ต่อให้เป็นพวกเขาสองคนลงสนามรบ ยอมให้อีกฝ่ายสักสองสามเม็ดก็สามารถพิฆาตให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบได้
ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม
อันที่จริงผู้เฒ่าไม่ค่อยสนใจว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงหรือต่ำ ยังคงประชันฝีมือกับคนหนุ่มชุดเขียวอย่างอดทนต่อไป
ในช่วงฤดูฝน ได้มาเจอกับสหายบนกระดานหมากล้อมในต่างบ้านต่างเมือง ถือเป็นเรื่องโชคดีแล้ว
คนหนุ่มผู้นั้นเงยหน้ามองม่านฝนที่อยู่นอกศาลาแวบหนึ่ง ก่อนจะโยนเม็ดหมากแสดงถึงการยอมแพ้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!