กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 519

บัณฑิตชุดเขียวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วก็พลิ้วกายลงบนเส้นทางชาม้าโบราณทั้งอย่างนั้น ในมือเขาถือพัด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โดยทั่วไปแล้ว พวกเจ้าควรจะซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหล เอ่ยขอบอกขอบใจจอมยุทธใหญ่ จากนั้นจอมยุทธใหญ่ก็จะพูดว่าไม่เป็นไรๆ แล้วจากไปอย่างสง่างาม ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”

มือข้างหนึ่งของเขาคว้าจับความว่างเปล่า ไม้เท้าเดินป่าสีเขียวสดปลั่งที่ก่อนหน้านี้ถูกเขาเสียบไว้บนพื้นข้างทางก็ทะยานขึ้นจากพื้นดิน บินเข้ามาหาเขาด้วยตัวเอง ถูกเขากุมไว้ในกำมือ แล้วก็คล้ายจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงชี้ไปยังผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนหลังม้า “บัณฑิตอย่างพวกเจ้าน่ะ จะว่าเลวก็ไม่เลว จะว่าดีก็ไม่ดี จะว่าฉลาดก็ฉลาดอยู่หรอก แต่จะบอกว่าโง่ก็โง่นัก ช่างทำให้คนโมโหตายได้จริงๆ มิน่าเล่าถึงได้เป็นสหายกับชายชาตรีที่สาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายอย่างจอมยุทธใหญ่หูได้ ข้าแนะนำพวกเจ้าว่าวันหน้าอย่าได้ไปด่าเขาเลย ข้าว่าเจ้าคบสหายต่างวัยคนนี้ก็นับว่าไม่เสียเปล่า ใครก็อย่าได้กล่าวโทษใคร”

เขาชี้ไปที่เด็กหนุ่ม “ต่อให้มีนิสัยดีแค่ไหน แต่ถูกกล่อมเกลาอยู่ในครอบครัวเช่นนี้ คาดว่าคงหนีไม่พ้นกลายเป็นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าคนถัดไปที่เล่นหมากล้อมเก่ง แต่ไม่รู้จักวางตัวเป็นคนอยู่ดี”

จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เด็กสาว “เกิดจิตใจอิจฉาริษยาต่อญาติสนิทของตน ไม่สมควรเลย”

ต่อมาเขาก็หันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้า “อันที่จริงก่อนที่เจ้าจะหยุดม้าลากข้าลงน้ำ ความประทับใจที่ข้ามีต่อเจ้านับว่าไม่เลว ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ ก็มีแต่เจ้าที่คล้ายว่าจะ…เป็นคนดีที่ฉลาดที่สุด แน่นอนว่าเมื่อเจ้าคิดว่าตนเองอยู่บนเส้นแบ่งความเป็นความตาย จึงลองเดิมพันดูสักตั้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่เสียเปรียบ หากเดิมพันชนะก็รอดพ้นหายนะไปได้ สามารถหนีออกจากหลุมพรางของคนทั้งสองได้สำเร็จ แต่หากแพ้ ก็หนีไม่พ้นแค่เข้าใจเซียนซือใหญ่ที่มีใจรักหลงในตัวเจ้าไม่แปรเปลี่ยนผิดไป สำหรับเจ้าแล้ว ไม่มีความเสียหายใดๆ ดังนั้นโชคในการเดิมพันของเจ้า…ไม่เลวเลยจริงๆ”

สุดท้ายบัณฑิตชุดเขียวถามว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเราต่างก็แพ้? แล้วข้าจะต้องตาย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ศาลา ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับไม่เคยทำเรื่องให้เดือดร้อนพวกเจ้าทั้งครอบครัว ไม่ได้จงใจจะตีสนิทกับพวกเจ้า ไม่ได้เปิดปากขอยืมเงินหลายสิบตำลึงนั้นจากพวกเจ้า เรื่องดีไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นดียิ่งกว่าเดิม เรื่องเลวร้ายก็ไม่ได้เลวร้ายลงกว่าเดิม ถูกไหม? เจ้าชื่ออะไรแล้วนะ? สุยอะไร? เจ้าลองถามใจตัวเองดูเถิด คนอย่างเจ้าต่อให้ฝึกวิชาตระกูลเซียนได้สำเร็จ กลายเป็นคนบนภูเขาเฉกเช่นเฉาฟู่ เจ้าจะดีกว่าเขาจริงๆ หรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”

คนผู้นั้นเดินออกไปหนึ่งก้าว มองดูเหมือนเป็นก้าวปกติทั่วไป ทว่ากลับขยับห่างไปไกลหลายสิบจั้ง พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา

เหรียญทองแดงเหล่านั้นร่วงกราวลงบนพื้นนานแล้ว

สตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าเก็บปิ่นทองลงไป ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ใบหน้าที่อยู่ด้านหลังผ้าโปร่งบางไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ นางค่อยๆ เก็บเหรียญทองแดงมาทีละเหรียญ

นางเก็บเหรียญทองแดงใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเสร็จแล้วก็ยังไม่ได้ลุกขึ้นยืน สุดท้ายนางค่อยๆ ยกมือขึ้น ยื่นฝ่ามือผ่านผ้าโปร่งบางเข้าไปเช็ดดวงตา พูดเสียงสะอื้นแผ่วเบา “นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่ได้ต่างจากเซียนกระบี่ในจินตนาการของข้าเลย เป็นข้าที่พลาดโชควาสนาบนมหามรรคาครั้งนี้ไป…”

ทางฝั่งของตีนเขา

หูซินเหวยหลบอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับหน้าผาหินแห่งหนึ่งด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหนีไปให้ไกลอีกหน่อย เพียงแต่ว่านอกภูเขาแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยปกปิดอำพรางตนได้ หูซินเหวยกลัวว่าตัวเองวิ่งไปวิ่งมาจะไปสะดุดตาใครเข้า แล้วต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวอีกครั้ง

ผลคือจู่ๆ ดวงตาของเขาก็พร่าลาย เข่าของหูซินเหวยอ่อนยวบ เกือบจะล้มลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น เขายื่นมือไปจับหินผา พูดเสียงสั่นว่า “หูซินเหวยคารวะเซียนซือ”

บัณฑิตหนุ่มชุดเขียวสวมงอบผู้นั้นยิ้มบางๆ กล่าวว่า “บังเอิญยิ่งนัก พวกเราสองพี่น้องได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว หนึ่งเท้าหนึ่งหมัดหนึ่งก้อนหิน ครบสามครั้งพอดี ทำไม จอมยุทธใหญ่หูเห็นว่าฐานกระดูกของข้าไม่เลวก็เลยอยากจะรับข้าเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ?”

หูซินเหวยถอนหายใจ “จะฆ่าจะแกง เซียนซือก็บอกมาได้เลย!”

บัณฑิตหนุ่มมีสีหน้าเลื่อมใส “จอมยุทธใหญ่ท่านนี้ช่างมีความกล้าหาญยิ่งนัก!”

หนึ่งฝ่ามือตบลงบนไหล่ของหูซินเหวยเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าแปลกใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในศาลา เจ้ากับหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดคุยเรื่องอะไรกัน? การวางแผนใช้อุบายครั้งนี้ของพวกเจ้านี้ แม้จะไม่มีอะไรน่าดูชม แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย ถือเสียว่าช่วยฆ่าเวลาให้ข้าก็แล้วกัน”

ไหล่ของหูซินเหวยเอียงกะเท่เร่ ความเจ็บปวดแล่นปราดเข้าสู่ไขกระดูก แต่เขาไม่กล้าส่งเสียงร้อง ได้แต่ปิดปากตัวเองแน่นสนิท รู้สึกเพียงว่ากระดูกหัวไหล่แหลกละเอียดไปหมดแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ร่างของเขายังค่อยๆ ทรุดตัวลงคุกเข่าช้าๆ อย่างที่ไม่อาจบังคับตัวเองได้ ส่วนคนผู้นั้นกลับเพียงแค่ค้อมเอวน้อยๆ ฝ่ามือยังคงวางอยู่บนหัวไหล่ของหูซินเหวยเบาๆ สุดท้ายหูซินเหวยคุกเข่าอยู่กับพื้น คนผู้นั้นค้อมเอวยื่นมือมาข้างหน้า ยิ้มตาหยีมองจอมยุทธใหญ่หูที่ชะตาชีวิตรันทดผู้นี้

คนผู้นั้นปล่อยมือ เอาหีบไม้ไผ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังพิงหน้าผาหิน หยิบกาเหล้าใบหนึ่งออกมาดื่ม ก่อนจะวางลงตรงหน้าแล้วกดลง ก็ไม่รู้ว่าเขากำลังกดอะไรอยู่กันแน่ ทว่าเมื่ออยู่ในสายตาของหูซินเหวยที่ถูกเหงื่อเย็นๆ ไหลมาบดบังการมองเห็น แต่กระนั้นก็ยังพยายามเบิกตากว้างกลับรู้สึกถึงเพียงความลี้ลับแปลกประหลาดที่ทำให้จิตใจของคนหนาวเหน็บ บัณฑิตผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงการช่วยหาเหตุผลให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่ต่อเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ตอนอยู่ในศาลา ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ จำต้องดูคอยการเปลี่ยนแปลงเพื่อประเมินสถานการณ์ สังหารพี่ใหญ่สุยที่สมควรแล้วที่ดวงซวย เก็บสตรีสองคนที่ฝั่งตรงข้ามหมายตาเอาไว้ แล้วมอบให้แก่เจียวแม่น้ำขุ่นผู้นั้นเพื่อสวามิภักดิ์ ให้ตัวเองได้มีชีวิตรอด ภายหลังอยู่ดีๆ ก็มีลูกเขยที่พลัดพรากจากกันไปหลายปีโผล่มา ทำให้เจ้าสูญเสียความสัมพันธ์ควันธูปกับเจ้ากรมผู้เฒ่าคนหนึ่งไป กลับกลายเป็นว่าต้องกลายมาเป็นศัตรูกันแทน ยากที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์ให้กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ดังนั้นพอเห็นข้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง ทว่าเพียงเพราะข้าไม่ต้องทำอะไรสักอย่างแต่กลับยังมาเดินกระโดดโลดต้นอยู่บนถนนได้ นี่จึงทำให้ไฟโทสะของเจ้าผุดพุ่ง เพียงแต่ว่าไม่ทันกะกำลังของตัวเองให้ดี ลงมือหนักไปสักหน่อย จำนวนครั้งก็มากไปสักหน่อย ถูกต้องไหม?”

หูซินเหวยคุกเข่าอยู่บนพื้น ส่ายหน้ากล่าว “ข้าสมควรตาย”

คนผู้นั้นยกเท้ากระทืบลงบนหลังเท้าของหูซินเหวย กระดูกเท้าของเขาปริแตก หูซินเหวยก็ได้แต่กัดฟันไม่ส่งเสียงร้อง

จากนั้นคนผู้นั้นก็เตะเข้าที่หน้าผากของหูซินเหวย ศีรษะของฝ่ายหลังฝังแน่นอยู่กับหินหน้าผา

บัณฑิตค้อมเอว ใช้ข้อศอกยันหัวเข่า ยิ้มถามว่า “รู้ว่าตัวเองสมควรตายก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องช่วยหาเหตุผลให้เจ้า”

หูซินเหวยหน้าไร้สีเลือด พูดเสียงสั่นว่า “ขอร้องท่านเพียงเรื่องเดียว เซียนซือจะฆ่าข้าก็ได้ แต่ขอร้องเซียนซือโปรดอย่าทำร้ายคนในครอบครัวข้า!”

บัณฑิตผู้นั้นหรี่ตามองหูซินเหวย หูซินเหวยพยายามเปล่งเสียงเปิดปากพูด “ขอเซียนซือโปรดรับปากด้วย!”

จากนั้นหูซินเหวยก็เห็นว่าบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นคลี่ยิ้ม “เหตุผลข้อนี้ ข้ารับไว้แล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ จะดีจะชั่วก็ยังพอเหลือกระดูกสันหลังอยู่บ้าง อย่าให้ข้าไม่ทันระวังทำมันหัก คนคนหนึ่งเมื่อคุกเข่านานเข้าจะติดจนกลายเป็นนิสัยเอาได้”

หูซินเหวยโงนเงนลุกขึ้นยืน แต่เขากลับก้มหน้าลงเช็ดน้ำตา

เวลานี้ไม่ใช่การเสแสร้งทำตัวให้ดูน่าสงสารใดๆ ทั้งสิ้น

นาทีก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว ทำให้ไพล่นึกไปถึงว่าในครอบครัวมีคนอยู่มากมายขนาดนั้น พวกเขาอาจต้องเจอกับเปลวเพลิงแห่งตระกูลเซียนที่ไม่มีใครหนีรอดมาได้ เลือดอาจนองเป็นสายน้ำภายในค่ำคืนเดียว คนมากมายนึกจะตายก็ตายไปไม่มีเหลือ

คนผู้นั้นดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ว่ามาสิ ก่อนหน้านี้เจ้าคุยอะไรกับหยางหยวน?”

หูซินเหวยเอาหลังพิงหินหน้าผา ข่มกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมานที่ส่งมาจากสามจุดในร่างกายอย่างศีรษะ หัวไหล่และหลังเท้า ไม่กล้าปกปิดเรื่องใด แข็งใจพูดเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “ข้าบอกกับหยางหยวนผู้นั้นว่า เรื่องน้อยใหญ่ทั้งในและนอกตระกูลสุย ข้าล้วนคุ้นเคยดี หลังจบเรื่องสามารถมาถามข้าได้ ตอนนั้นหยางหยวนรับปากแล้ว บอกว่านับว่าข้าฉลาด”

เฉินผิงอันดื่มเหล้า พยักหน้ารับ “อันที่จริงในแต่ละช่วงเวลา ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทุกคนต่างก็เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว”

จากนั้นหูซินเหวยก็เห็นว่าคนหนุ่มที่จิตใจลึกล้ำเกินจะหยั่งผู้นี้เปลี่ยนสีหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกเว้นข้า”

บัณฑิตชุดเขียวทอดสายตามองทัศนียภาพที่ห่างไปไกล เอ่ยถามชวนคุยว่า “เคยได้ยินชื่อตำหนักเกล็ดทองที่ตั้งอยู่ในภูเขาลึกชายแดนของต้าจ้วนไหม?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!