กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 519

หูซินเหวยผู้นี้สมกับเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ ก่อนจะมาถึงศาลา เขาเองก็ยินดีจะคุ้มกันสุยซินอวี่เดินทางด้วยระยะทางยาวไกลเพื่อไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วน ขอแค่ไม่มีอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิต เขาก็ยังคงเป็นจอมยุทธใหญ่หูผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งยุทธภพคนนั้น

มีประโยคหนึ่งที่ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีพูดได้ดี ไม่เจอเป็นตาย ไม่พบวีรบุรุษ แต่หากตายไปแล้วก็ดูเหมือนว่ามันก็มีแค่นั้นเอง

มรสุมที่เกิดขึ้นในศาลา สุยซินอวี่ที่ยังมึนๆ งงๆ หยางหยวนที่มาร่วมแสดงด้วยหนึ่งฉาก เฉาฟู่ที่ตบะสูงที่สุดทว่ากลับมีกลอุบายลึกล้ำที่สุด สามฝ่ายนี้ หากจะพูดถึงชื่อเสียงด้านความชั่วร้าย บางทีอาจจะไม่มีใครเทียบกับหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นผู้นั้นได้ แต่ตอนนั้นหยางหยวนกลับยอมปล่อยบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งที่เพียงแค่เขาดีดนิ้วก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายให้แหลกลาญได้ไป ถึงขั้นรู้สึกว่า ‘เฉินผิงอัน’ คนนั้นพอจะมีปณิธานมีความกล้าหาญอยู่บ้าง และยังมีเหนือกว่าสุยซินอวี่ที่มีชื่อเสียงอยู่ในสามวงการอย่างวงการขุนนาง วงการนักประพันธ์และวงการหมากล้อม

หูซินเหวยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับยอดฝีมือนอกโลกผู้นี้ บาดแผลนั้นเลือดหยุดไหลแล้ว แต่กลับยังเจ็บปวดอยู่มากจริงๆ

คนผู้นั้นถามชวนคุยโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขา “ผดุงคุณธรรมอยู่ในยุทธภพ หนึ่งหมัดต่อยให้ตัวการชั่วร้ายตาย ส่วนพวกลูกสมุนที่ช่วยคนเลวทำชั่วที่เหลืออยู่ล้วนไม่มีโทษถึงตาย จอมยุทธใหญ่จึงทำการลงโทษไปรอบหนึ่ง ครั้นจึงจากไป พวกคนที่ได้รับความช่วยเหลือพากันโขกหัวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ เจ้าว่าจอมยุทธใหญ่ผู้นั้นสง่างามมากหรือไม่?”

หูซินเหวยหลุดปากตอบไปว่า “สง่างามกะผีน่ะสิ…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หูซินเหวยก็ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งทีแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “เรียนเซียนซือ ไม่ถือว่าสง่างามอย่างแท้จริง หากเป็นจอมยุทธใหญ่ในหนึ่งเมืองหนึ่งแคว้นจริงๆ เมื่อช่วยเหลือคนในท้องที่แล้วก็ยังนับว่าพูดง่าย พวกคนชั่วร้ายที่ตายแล้วก็ตายไป คนที่เหลือที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ เมื่อเคยเผชิญกับความยากลำบากมาก่อนก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่กล้าเกิดความคิดชั่วร้ายต่อคนที่ถูกช่วยเหลืออีกแล้ว แต่หากจอมยุทธใหญ่ผู้นั้นเพียงแค่เดินทางผ่านไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง พอเขาจากไป หนึ่งปีครึ่งปียังดีหน่อย แต่สามปีห้าปี ใครเล่าจะกล้ารับรองว่าพวกคนที่ถูกช่วยเหลือจะไม่มีจุดจบอเนจอนาถมากกว่าเดิม? ไม่แน่ว่าเดิมทีเพียงแค่ลักพาตัวหญิงชาวบ้าน ถึงท้ายที่สุดอาจกลายเป็นคนทั้งตระกูลโดนฆ่า ถ้าเช่นนั้นโศกนาฎกรรมครั้งนี้ สุดท้ายแล้วควรจะโทษใคร จอมยุทธใหญ่คนนั้นได้สร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้หรือไม่? ข้าว่าน่าจะใช่”

คนผู้นั้นพยักหน้ารับ “หากเจ้าเป็นจอมยุทธใหญ่คนนั้น จะทำอย่างไร?”

หูซินเหวยเอ่ยเนิบช้าว่า “ในเมื่อทำดีแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด ไม่ต้องรีบร้อนจากไป พยายามใคร่ครวญถึงคนชั่วที่เหลืออยู่ซึ่งไม่อาจต่อยให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวเหล่านั้นให้มาก อย่าได้วางมาดเป็นจอมยุทธใหญ่กับทุกเรื่อง คนชั่วจำเป็นต้องให้คนชั่วเหมือนกันมารับมือ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงไม่รู้จักหลาบจำอย่างแท้จริง ต้องให้พวกเขากลัวเข้าไปถึงกระดูก ทางที่ดีที่สุดคือยามดึกดื่นที่นอนหลับก็ยังฝันร้ายจนต้องสะดุ้งตื่น ราวกับว่าทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมาในวันพรุ่งนี้ จอมยุทธใหญ่คนนั้นก็จะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะสามารถปกป้องคนที่ถูกช่วยเหลือได้อย่างแท้จริง”

คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฟังเจ้าพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ต้องใคร่ครวญหาถ้อยคำใดๆ คงจะเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน แถมยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย?”

หูซินเหวยทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวจริงๆ เขาจึงยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากอีกครั้งแล้วรีบพยักหน้ารับ “ตอนหนุ่มเคยทำเรื่องประเภทนี้มาก่อน ภายหลังมีครอบครัวมีพรรคเป็นของตัวเองก็ไม่ค่อยได้ทำแล้ว หนึ่งเพราะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องน่าหงุดหงิดใจได้มากมายขนาดนั้น นอกจากนี้ยังง่ายที่จะชักนำปัญหาให้มาพัวพันตัวเอง ไม่กล้าพูดว่าทุกที่ในยุทธภพล้วนเป็นน้ำลึก แต่น้ำนั่นกลับขุ่นมากจริงๆ ไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองจะสมปรารถนาได้ทุกครั้ง คำกล่าวที่ว่ามีแค้นสิบปีค่อยชำระก็ยังไม่สาย ไม่ใช่คำกล่าวของคนดีที่ได้รับความอยุติธรรม มีแค้นล้ำลึกดุจมหาสมุทรเลือดเท่านั้น ลูกหลานและสหายของคนชั่วคนเลวก็มีความอดทนมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน”

คนผู้นั้นพยักหน้ารับ “ถือว่าเจ้าเป็นคนในยุทธภพที่เข้าใจการใช้ชีวิต วันหน้ายามใดที่ต้องสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล หรือสภาพจิตใจวุ่นวายสับสน ยังต้องกดกำราบเจียวชั่วร้าย…ความคิดชั่วร้ายในใจเอาไว้ให้ดี ไม่เกี่ยวกับว่าหลังจากเดือดดาลคลั่งแค้นแล้วจะทำอะไร เพราะถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นอย่างประโยคนั้นที่เจ้าเอ่ย น้ำในยุทธภพลึกอีกทั้งยังขุ่น ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อนเป็นดี เจ้าได้ก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นจอมยุทธใหญ่ที่มีกิจการบ้านเรือนไม่เล็กอยู่ในยุทธภพแล้ว อย่าได้ทำให้ทุกอย่างที่เหนื่อยยากมาต้องเสียเปล่า เดือดร้อนคนในครอบครัว ทางที่ดีที่สุดคืออย่าให้ตัวเองจมลงสู่สถานการณ์น่าลำบากใจอันเป็นจุดตัดระหว่างเส้นความดีและความเลว ไม่เกี่ยวข้องกับว่าจิตดั้งเดิมที่แท้จริงนั้นดีหรือเลว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ไม่ว่าจะกับทั้งตัวเองหรือกับทั้งผู้อื่น”

หูซินเหวยมีสีหน้าเหลือเชื่อ

ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตนจะต้องตายอีกครั้งหนึ่งแล้ว?

คำพูดประโยคนี้ก็คือข้าวหัวขาดหรือ? (อาหารมื้อสุดท้ายที่นักโทษได้กินก่อนตาย)

คนผู้นั้นโบกมือด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ไปอีกหรือ? ทำไม รังเกียจที่ตัวเองอายุยืน จะต้องอยู่พูดคุยกับข้าที่นี่ให้ได้? หรือรู้สึกว่าฝีมือเล่นหมากล้อมของข้าห่วยแตก เลยอยากจะลองเลียนแบบรองเจ้ากรมผู้เฒ่า ในเมื่อไม่อาจแข่งด้านหมัดได้ ก็เลยอยากจะลองพิฆาตความองอาจของข้าบนกระดานหมากดู?”

หูซินเหวยยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เฉินเซียนซือ ถ้าอย่างนั้นข้าไปจริงๆ แล้วนะ?”

คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทำไม หรือยังต้องให้ข้าขอร้องเจ้าก่อน เจ้าถึงจะยอมไป?”

หูซินเหวยพูดติดๆ กันว่ามิกล้า หลังจากดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้แล้วก็วิ่งกะเผลกๆ เผ่นหนีไป

คราวนี้กลับไม่กลัวเจ็บแล้ว

ใช้กระจกส่องตัวเอง ทุกที่กลับเห็นเป็นเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันหัวเราะ แล้วหันมาเพ่งมองกระดานหมากต่ออีกครั้ง หมากทุกเม็ดล้วนเป็นคนแปลกหน้าอย่างพวกหูซินเหวย

เขารู้สึกว่ามีความหมายไม่มากก็เลยโบกชายแขนเสื้อเก็บมันมา เม็ดหมากขาวดำถูกเก็บใส่ไว้ในโถอย่างง่ายๆ ต่อให้สีจะปนกันก็ไม่เป็นไร จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง โปรยเม็ดหมากที่ก่อนหน้านี้วางไว้บนกระดานในศาลาลงบนกระดานหมากตรงหน้า

เพ่งตามองหมากเหล่านั้น

เอามือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งโบกพัด

สถานการณ์ในเมืองเล็กบนยอดเขาที่เป็นถิ่นของพรรคเจิงหรง หากไม่พูดถึงระดับความสูงของขอบเขตและระดับความลึกล้ำอันซับซ้อน อันที่จริงก็มีส่วนคล้ายคลึงกับเส้นบางเส้นของบ้านเกิดตน

เงียบงันอยู่นาน ก่อนจะเก็บเม็ดหมากและอุปกรณ์การเล่นกลับไปใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ ทั้งงอบ ไม้เท้าเดินป่าและหีบไม้ไผ่ต่างถูกเก็บลงไปทั้งหมด เหน็บพัดไว้เรียบร้อยก็เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้กระบี่บินมาผูกไว้ตรงเอว

เฉินผิงอันเอายันต์แบกศิลาแผ่นหนึ่งแปะลงบนร่างตัวเอง เริ่มอำพรางร่องรอยอีกครั้ง

เรื่องบางอย่างจำเป็นต้องพิสูจน์สักหน่อย

และคำพูดบางอย่าง ก่อนหน้านี้เขาก็ลืมพูดไป

แต่อันที่จริงจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่ได้สำคัญเท่าไรนัก คนมากมายบนโลกใบนี้ ยามที่ตัวเองต้องเปลี่ยนจากคนชมเรื่องตลกมากลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นแทน ช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก ก็มีแต่จะโทษและเกลียดแค้นวิถีทางโลก ไม่คิดจะโทษตัวเองและหันกลับมาทบทวนตน นานวันเข้า คนบางคนในกลุ่มคนเหล่านี้ บางส่วนก็กัดฟันผ่านพ้นไปได้ รักษาความดีที่เป็นดั่งเมฆเคลื่อนคล้อยเห็นจันทร์กระจ่างเอาไว้ได้ ส่วนบางคนต่อให้เผชิญกับความทุกข์ยากก็ยังไม่รู้ตัว และหากได้มอบความทุกข์ทนให้กับคนอื่นได้ก็จะยิ่งรู้สึกสาแก่ใจ เรียกตัวเองให้น่าฟังว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง บิดามารดาไม่อบรมสั่งสอน เทพเซียนก็ยากจะดัดนิสัยคนเหล่านี้ได้

……

บนเส้นทางชาม้าโบราณที่มุ่งลงสู่ตีนเขา ม้าสี่ตัวของครอบครัวตระกูลสุยเคลื่อนลงจากเขาไปช้าๆ ต่างคนต่างจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!