ยามเข้าสู่ช่วงหน้าฝน การเดินทางไปเยือนต่างบ้านต่างเมือง เดิมทีก็เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจอย่างถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนถูกมีดจ่อคอเช่นนี้ นี่ทำให้สุยซินอวี่รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายิ่งกังวลใจมากกว่าเดิม ผ่านจุดพักม้ามาหลายแห่ง ได้เห็นบทกวีที่นักท่องเที่ยวซึ่งผ่านทางมาทิ้งไว้บนผนังแต่ละบท ก็ยิ่งทำให้นักประพันธ์ใหญ่ท่านนี้รู้สึกร่วมไปด้วย หลายครั้งต้องดื่มเหล้าดับทุกข์ ทำเอาเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มองดูอยู่ยิ่งกังวลใจ มีเพียงสตรีสวมหมวกคลุมหน้าเท่านั้นที่ยังคงสุขุมไม่สะทกสะท้านใดๆ
ม้าทั้งสี่ตัวได้แต่เลือกถนนทางหลวงในการเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นอู่หลิงเท่านั้น ท่ามกลางม่านสนธยาของวันนี้ ฝนที่ตกกระหน่ำเพิ่งจะซาเม็ด ต่อให้ก่อนหน้านี้จะพยายามควบม้าเร็วอยู่ท่ามกลางพายุฝน แต่ก็ยังไม่อาจไปถึงจุดพักม้าก่อนที่ค่ำคืนจะมาเยือนได้ นี่ทำให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่เพิ่งปลดงอบและเสื้อกันฝนออกจากตัวรู้สึกทุกข์ใจจนมิอาจบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำ เขากวาดตามองไปรอบด้าน มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าต้องมีอันตรายรายล้อม หากไม่เป็นเพราะร่างกายของผู้เฒ่ายังนับว่าแข็งแรง หลังจากลาออกจากการเป็นขุนนางกลับคืนสู่บ้านเกิดก็มักจะไปท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำกับสหายเก่าเป็นประจำ ป่านนี้ก็คงล้มป่วย ไม่อาจทนรับกับความยากลำบากที่ต้องเดินทางระหกระเหินเช่นนี้ไปนานแล้ว
บนถนนทางหลวง ในจุดลับตาข้างถนนมีใบหน้าที่ไม่แปลกตาสักนิดปรากฏตัว เขาก็คือชายฉกรรจ์ใบหน้าดุร้ายที่เป็นกลุ่มคนในยุทธภพซึ่งเจอกันตรงศาลาเล็กของถนนชาม้าโบราณ เขาเดินอยู่ห่างจากม้าทั้งสี่ของตระกูลสุยไม่ถึงสามสิบก้าว ในมือของชายฉกรรจ์ถือดาบเล่มยาว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็วิ่งพุ่งเข้ามาหาพวกเขาทันที
สุยซินอวี่ตะโกนเสียงดัง “เซียนกระบี่ช่วยด้วย!”
เพียงแต่ว่าฟ้าดินรอบด้านเงียบสงัดไร้เสียงตอบรับ
จากนั้นข้างกายของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ดึงบังเหียนหยุดม้าในฉับพลันก็มีเสียงฝีเท้าม้าเร่งร้อนดังขึ้น เป็นม้าของสตรีสวมหมวกที่ทะยานตัวออกไป
แสงดาบเปล่งวาบ หนึ่งม้าวิ่งสวนไหล่ผ่านชายฉกรรจ์ถือดาบผู้นั้นไป
ดูเหมือนว่าตรงช่วงเอวของสตรีสวมหมวกคลุมหน้าจะถูกแสงดาบฟาดฟัน เรือนกายอรชรโก่งหนีจนเกิดเป็นเส้นโค้ง ร่างพลัดหลุดลงจากหลังม้า กระอักเลือดไม่หยุด
ชายฉกรรจ์ยังคงบุกรุดหน้าไปไม่หยุดนิ่ง ทว่าไม่นานฝีเท้าของเขาก็ค่อยๆ ชะลอช้าลง โซเซเดินหน้าต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ทรุดฮวบลงกับพื้น
ใบหน้า ลำคอและหัวใจ สามจุดนี้ต่างก็ถูกปิ่นทองด้ามหนึ่งแทงเข้าไป แต่หากไม่เป็นเพราะปิ่นทองสามชิ้นที่เหมือนกับอาวุธลับของผู้ฝึกยุทธ แล้วก็คล้ายกับกระบี่บินของเซียนกระบี่มีจำนวนมากพอ อันที่จริงการทำเช่นนี้จะเสี่ยงอันตรายอย่างมาก อาจจะไม่สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธในยุทธภพคนนี้ได้ในเสี้ยววินาที ปิ่นทองที่ปักตรงใบหน้าได้แค่แทงทะลุข้างแก้ม เลือดไหลโชกมองดูเหมือนน่ากลัวเท่านั้น ส่วนปิ่นทองที่อยู่ตรงหัวใจก็พลาดเป้าไปหนึ่งชุ่น ไม่สามารถแทงทะลุหัวใจได้อย่างแม่นยำ มีเพียงปิ่นทองตรงลำคอเท่านั้นที่ถึงจะเป็นบาดแผลร้ายแรงถึงชีวิตได้อย่างแท้จริง
สตรีสวมหมวกคลุมหน้าโงนเงนลุกขึ้นยืน เอามือกุมหน้าท้องเอาไว้ ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่มือดาบแห่งยุทธภพผู้นี้ออกดาบถึงได้เปลี่ยนจากคมดาบเป็นสันดาบแทน นี่น่าจะเป็นเพราะเขาแค่ต้องการให้บาดเจ็บ หาใช่ฆ่าเพื่อเอาชีวิตไม่ สุยจิ่งเฉิงพยายามปรับลมหายใจของตัวเองให้ราบรื่น หูได้ยินเสียงปังเบาๆ ดังขึ้นจากจุดที่ห่างไปไกลแสนไกลแว่วๆ
สุยจิ่งเฉิงหันหน้าไปตะโกนเสียงดัง “ระวัง! รีบลงจากหลังม้าไปซ่อนตัว!”
มีคนยิงธนูคันใหญ่ ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศมาถึงด้วยความเร็ว เสียงหวีดดังนั้นมากพอจะทำให้จิตวิญญาณของคนสะท้านไหว
มุมปากของสุยจิ่งเฉิงมีเลือดสดไหลซึม แต่กระนั้นก็ยังพยายามฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวตรงหน้าท้อง กลั้นลมหายใจทำสมาธิท่องคาถา ในมือหนึ่งทำมุทราตามภาพที่บันทึกอยู่ในสมุดเล่มเล็กซึ่งยอดฝีมือเคยมอบให้ในอดีต จากนั้นบิดเอว ชายแขนเสื้อพลิ้วหมุนคว้าง ปิ่นทองสามชิ้นถูกดึงออกจากศพที่กองอยู่บนถนนทางหลวง พุ่งเข้ารับหน้าลูกธนูดอกนั้น ปิ่นทองพุ่งไปด้วยความเร็วอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะช้ากว่าเสียงของลูกธนู แต่กระนั้นปิ่นทองก็ยังสามารถพุ่งชนบนลูกธนูจนเกิดสะเก็ดไฟสามสะเก็ดได้ ทว่าวิถีของลูกธนูกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงสาดยิงเข้าหาศีรษะของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่อยู่บนหลังม้า
ใบหน้าของสุยจิ่งเฉิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ต่อให้นางจะแอบมอบเสื้อไผ่ผ้าโปร่งตัวนั้นให้บิดาสวมเอาไว้ แต่หากลูกธนูยิงเข้าที่หัว ต่อให้เจ้าจะเป็นชุดคลุมอาคมเทพเซียนในตำนานชิ้นหนึ่ง แต่จะสามารถช่วยได้อย่างไร?
สุยจิ่งเฉิงเบิกตากว้าง น้ำตาไหลทะลักพรั่งพรูออกมาจากดวงตา
ยามคับขันเป็นตาย ความจริงใจย่อมปรากฏ
ต่อให้สุยจิ่งเฉิงจะไม่เห็นด้วยกับการวางตัวเป็นคนในสังคมและการเป็นขุนนางของบิดาไปเสียทั้งหมด ทว่าความรักความผูกพันระหว่างพ่อลูกกลับไม่ใช่ของปลอม
ก็เหมือนกับเสื้อไผ่ผ้าโปร่งที่บางเบาราวกับปีกจักจั่นตัวนั้น การที่นางยอมมอบให้สุยซินอวี่สวมไว้บนร่าง สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะสุยจิ่งเฉิงเดาออกว่าตัวเองยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต ทว่ายามที่หายนะใหญ่มาเยือน แล้วสามารถยินดีเดิมพันเหมือนอย่างสุยจิ่งเฉิงนี้ หาใช่สิ่งที่สตรีทุกคนบนโลกจะทำได้ โดยเฉพาะยิ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดกับสตรีที่ฉลาดเฉลียวซึ่งมีปณิธานอยู่กับการฝึกตนเป็นอมตะอย่างสุยจิ่งเฉิงด้วยแล้ว
นาทีถัดมา
คนชุดขาวสะพายกระบี่ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวจากความว่างเปล่า เขาเหยียบยืนอยู่บนลูกธนูดอกนั้นพอดี ทำให้มันพลิ้วร่วงลงบนบริเวณใกล้กับสุยซินอวี่หนึ่งคนหนึ่งม้า ก่อนที่ลูกธนูใต้ฝ่าเท้าจะแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
แล้วก็มีลูกธนูอีกดอกพุ่งเสียงแหลมเข้ามา คราวนี้ความเร็วมีมากอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นมีภาพปรากฎการณ์ของสายฟ้าระเบิดพื้นดินสะเทือน ก่อนที่ลูกธนูจะแหวกอากาศมาถึงยังมีเสียงผึ่งเพราะสายธนูถูกดีดจนขาดสะบั้นด้วย
ทว่าลูกธนูกลับถูกคนหนุ่มชุดขาวคว้าจับเอาไว้ แล้วมันก็ระเบิดคาอยู่ในกำมือของเขา
เซียนกระบี่ชุดขาวมองไปยังจุดที่ลูกธนูพุ่งมา แล้วยิ้มกล่าวว่า “เซียวซูเย่ เจ้าคือมือดาบไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนมาใช้ธนูแล้วเล่า?”
แล้วเซียนกระบี่ชุดขาวก็พุ่งตัวออกไป
สุ่ยจิ่งเฉิงตะโกนขึ้นว่า “ระวังจะเจอแผนล่อเสือออกจากถ้ำ…”
เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ที่เปลี่ยนมาสวมชุดสีขาวผู้นั้นทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงกระโจนออกไปไล่ล่าอีกฝ่ายตามลำพัง แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นจากพื้น ทำให้คนมองตาพร่าเลือนจิตวิญญาณแกว่งไกว
สุยจิ่งเฉิงรีบพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วควบตะบึงออกไป กวักมือเรียกเอาปิ่นทองสามชิ้นที่ตกอยู่บนพื้นมาเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วหันตะโกนเสียงดังกับคนทั้งสาม “รีบไป!”
ม้าสี่ตัวของตระกูลสุยควบทะยานจากไปทันที
หลังจากห้อม้ามาได้หลายลี้ก็ยังคงไม่เห็นเค้าโครงของจุดพักม้า รองเจ้ากรมผู้เฒ่ารู้สึกเพียงว่าแรงกระแทกจากหลังม้าทำให้กระดูกของเขาเคลื่อนไปหมดแล้ว น้ำตาจึงไหลอาบใบหน้าเหี่ยวย่น
สุยจิ่งเฉิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง หยุดม้ากะทันหัน
คนบนหลังม้าทั้งสามตัวที่เหลือก็รีบดึงรั้งบังเหียนหยุดตามไปด้วย
บนถนนเบื้องหน้า เฉาฟู่เอามือหนึ่งไพล่หลัง ผายมือข้างหนึ่งมายังสตรีสวมหมวกคลุมหน้า “จิ่งเฉิง ติดตามข้าขึ้นเขาไปฝึกตนเถอะ ข้าสามารถรับรองได้ว่า ขอแค่เจ้าขึ้นเขาไปพร้อมกับข้า รุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลสุยในอนาคตล้วนจะต้องมีความร่ำรวยเกียรติยศรอคอยอยู่”
สีหน้าของสุยซินอวี่แปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง
สุยจิ่งเฉิงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หากเป็นเช่นนี้จริง เจ้าเฉาฟู่จะต้องเปลืองแรงขนาดนี้หรือ? ด้วยนิสัยของท่านพ่อและคนตระกูลสุยข้า มีแต่จะยกข้าประคองส่งให้เจ้าด้วยสองมือ หากข้าเดาไม่ผิด ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ของหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นหลุดปากพูดโดยไม่ทันระวัง บอกว่ารายชื่อปรมาจารย์ใหญ่สิบคนบนอันดับใหม่ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นของแคว้นอู่หลิงพวกเราจะอยู่รั้งท้ายสุด? ถ้าเช่นนั้นสี่สาวงามก็น่าจะมีคำตอบแล้วเช่นกัน ทำไม ข้าสุยจิ่งเฉิงก็โชคดีได้เลื่อนสู่อันดับนี้เหมือนกันหรือ? นี่หมายความว่าอย่างไร? หากข้าเดาไม่ผิด อาจารย์ที่เป็นเทพเซียนพสุธาคนนั้นของเจ้าต้องการตัวข้าสุยจิ่งเฉิง นี่คือเรื่องจริง แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าคงไม่สามารถปกป้องข้าสุยจิ่งเฉิงได้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลสุยเลย เพราะฉะนั้นจึงได้แต่วางแผนอย่างลับๆ ชิงลักพาตัวข้าไปยังสถานที่ฝึกตนของเจ้าเฉาฟู่เสียก่อน”
เฉาฟู่ดึงมือกลับมา เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “จิ่งเฉิง เจ้าฉลาดเฉลียวเช่นนี้มาโดยตลอด ช่างทำให้คนทึ่งยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นสตรีซึ่งมีวาสนาในการฝึกตนอย่างลึกล้ำ มาผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับข้าเถิด เจ้าและข้าขึ้นเขาเดินทางไกล ทะยานลมอย่างอิสระเสรีไปด้วยกัน จะไม่มีความสุขมากหรอกหรือ? กลายมาเป็นผู้ฝึกตนที่ดื่มน้ำค้างกินแสงอรุโณทัย เพียงแค่ดีดนิ้วเวลาหกสิบปีในโลกมนุษย์ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ญาติทั้งหลายล้วนกลายเป็นเพียงกระดูกขาวโพลน จะต้องสนใจไปไย หรือหากรู้สึกละอายใจจริงๆ ต่อให้จะต้องเจอกับพิบัติภัยบ้าง แต่ขอแค่ลูกหลานตระกูลสุยยังอยู่ก็ยิ่งถือว่าเป็นความโชคดีของพวกเขา รอให้ข้าและเจ้าจับมือกันเลื่อนเป็นเซียนดินเมื่อไหร่ ตระกูลสุยที่อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็ยังคงผงาดขึ้นมาได้อย่างสบายๆ อยู่ดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!