ม่านราตรีหนาหนัก บนยอดเขาแห่งหนึ่ง เฉาฟู่ปวดหัวราวกับหัวจะแตก หลังจากค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งขัดสมาธิ ในมือยังถือประคองของสิ่งหนึ่งเอาไว้
ก้มหน้าลงมอง จิตใจของเฉาฟู่ก็เหมือนขี้เถ้ามอด
เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ บนขาวางไม้เท้าเดินป่าพาดเอาไว้ ด้านหลังก็คือหีบไม้ไผ่
สุยจิ่งเฉิงที่ไม่มีหมวกม่านปิดบังดวงหน้างามล้ำก็นั่งอยู่ใกล้กับคนผู้นั้น สองมือของนางกอดเข่า นั่งขดตัวเหม่อลอย
เฉาฟู่ที่ถือประคองศีรษะของเซียวซูเย่ได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้ากระดุกกระดิก
เฉินผิงอันถาม “ไหนลองเล่าเรื่องสำนักของเจ้าและตำหนักเกล็ดทองอย่างละเอียดทีสิ”
เฉาฟู่ไม่มีความลังเลใดๆ เขาบอกความจริงและเรื่องวงในทั้งหมดที่ตัวเองรู้มารัวยาวราวกับเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่
เขาไม่อยากไปเดินอยู่บนเส้นทางน้ำพุเหลืองเป็นเพื่อนเซียวซูเย่
อาจารย์เคยบอกว่าศักยภาพของเซียวซูเย่นั้นหมดสิ้นแล้ว แต่เขาเฉาฟู่กลับไม่เหมือนกัน เพราะมีคุณสมบัติของโอสถทอง
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วไหนเจ้าลองเล่าเรื่องในครอบครัวและเรื่องราวในยุทธภพแคว้นอู่หลิงปีนั้นให้ข้าฟังสิ”
เฉาฟู่ยังคงเล่าทุกอย่างจนหมดเปลือกไม่มีหมกเม็ด
สุยจิ่งเฉิงคืนสติตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉาฟู่เปิดปากเล่าแล้ว นางเพียงรับฟังอยู่เงียบๆ
หลังจากเฉาฟู่เล่าจบ คนผู้นั้นก็กล่าวว่า “เจ้าสามารถพาศีรษะนี้จากไปได้แล้ว หลังจากคุ้มครองรองเจ้ากรมผู้เฒ่ากลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างลับๆ เรียบร้อย เจ้าก็สามารถกลับสำนักไปส่งมอบภารกิจได้เลย”
สุยจิ่งเฉิงทำท่าจะพูดแต่ก็ชะงักไป
คนผู้นั้นไม่ได้มองนาง เพียงแค่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากเจ้าอยากจะฆ่าเฉาฟู่ก็ลองลงมือดูเอาเองได้”
เฉาฟู่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ต้องตายจริงๆ เพียงแค่เอาศีรษะนั้นออกมาจากยอดเขาเท่านั้น
พอลงจากเขาก็รู้สึกราวกับอยู่คนละโลก ทว่าพอทำนายดวงชะตาแล้ว อนาคตของเขากลับยากจะหยั่ง เซียนซือหนุ่มที่เดิมทีคิดว่ายุทธภพในแคว้นอู่หลิงก็คือบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่งผู้นี้ยังคงกระวนกระวายไม่เป็นสุข
ข้างกองไฟ
สุยจิ่งเฉิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณผู้อาวุโส”
คิดจะสังหารเฉาฟู่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่สำหรับตระกูลสุยแล้ว นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
หากทั้งซูเซียวเย่และเฉาฟู่ต่างก็ต้องตายตกตามกันไปในคืนนี้
จะมีคนอีกมากที่ต้องตาย อาจเป็นหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่น หูซินเหวยเจ้าประมุขพรรคเหิงตู้ จากนั้นก็ตามมาด้วยคนทั้งตระกูลสุย
แต่หากปล่อยให้เฉาฟู่จากไป ให้เขานำความไปบอกต่อคนที่อยู่เบื้องหลัง เดิมทีนี่ก็คือการสำแดงบารมีอย่างหนึ่งที่เซียนกระบี่ชุดเขียวมีต่ออาจารย์ของเฉาฟู่และตำหนักเกล็ดทอง
เฉินผิงอันดึงท่อนฟืนในกองไฟ “พูดกับคนฉลาดก็มักจะประหยัดแรงกายแรงใจเช่นนี้”
จากนั้นสุยจิ่งเฉิงก็เห็นว่าคนผู้นั้นหยิบกระดานหมากล้อมและโถเก็บเม็ดหมากออกมาจากหีบไม้ไผ่ แต่กลับไม่ได้เล่นหมากล้อมเหมือนตอนอยู่ในศาลา แต่เริ่มบังคับกระบี่บินของเซียนเล่มหนึ่งให้แกะสลักหมากสองเม็ด ดูจากการขยับมือแกะสลักของเขา สุยจิ่งเฉิงก็มองออกว่าเขาแกะสลักเป็นชื่อคนและชื่อสำนักของอาจารย์เฉาฟู่กับบรรพจารย์ตำหนักเกล็ดทอง โดยแยกกันสลักไว้บนด้านหน้าและด้านหลังของเม็ดหมาก แล้วก็ตามมาด้วยหมากอีกหลายเม็ด ล้วนเป็นผู้ฝึกตนคนสำคัญของตระกูลเซียนทั้งสองฝ่าย หมากแต่ละเม็ดถูกวางไว้บนกระดาน
สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลังจากที่ได้พบเจอกันในศาลา ผู้อาวุโสก็คอยจับตามองพวกเราอยู่ตลอด ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “โชคในการเสี่ยงดวงของเจ้าดีมาก ทำให้ข้าอิจฉาอย่างยิ่ง”
ทว่าสุยจิ่งเฉิงกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
ดูท่าแล้วอุบายที่ตนคิดว่าลึกล้ำ เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของคนผู้นี้ก็คงน่าขันไม่ต่างจากเด็กเล็กที่ขี่ม้าไม้ไผ่หรือเล่นว่าวกระดาษ
เฉินผิงอันทยอยเอาเม็ดหมากของหมากสองกระดานที่เชื่อมต่อกันวางลงบนขอบของกระดาน
เขาเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ สายตาจ้องมองเม็ดหมากเหล่านั้น แล้วพูดเนิบช้าว่า “ในศาลา เด็กหนุ่มสุยเหวินฝ่าพูดล้อเล่นกับข้าหนึ่งประโยค อันที่จริงมันไม่เกี่ยวกับว่าถูกหรือผิด แต่เจ้าบอกให้เขาขอโทษ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเองก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก จากนั้นสุยเหวินฝ่าก็เอ่ยขออภัยอย่างจริงใจ”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองสุยจิ่งเฉิง “ข้ารู้สึกว่านี่ก็คือขนบธรรมเนียมประจำตระกูลอย่างหนึ่งที่ตระกูลปัญญาชนสมควรมี ไม่เลวเลยทีเดียว ต่อให้ภายหลังไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำของพ่อเจ้าก็ล้วนผิดต่อสองคำว่า ‘เที่ยงตรง’ อยู่มาก แต่เรื่องไหนก็เรื่องนั้น การแบ่งแยกก่อนหลังเล็กใหญ่มีความต่าง สองฝ่ายไม่ขัดแย้งกันเอง ดังนั้นก่อนที่คนกลุ่มของหยางหยวนจะมาขวางทางพวกเราสองฝ่าย ข้าถึงได้แสร้งทำเป็นรังเกียจว่าดินโคลนจะเปื้อนรองเท้า ถอยกลับเข้ามาในศาลา เพราะข้ารู้สึกว่าบัณฑิตที่เดินเข้าไปในยุทธภพได้ทำตามคำกล่าวที่ว่าอ่านตำราหมื่นเล่มเดินทางหมื่นลี้ จึงไม่ควรจะถูกขัดขวางทางไปเพราะลมฝนในยุทธภพ”
สุยจิ่งเฉิงถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ? เจอกับหายนะใหญ่ยากจะเอาตัวรอดจึงไม่กล้าช่วยคนอื่น หากเป็นจอมยุทธใหญ่ในยุทธภพทั่วไปที่รู้สึกผิดหวัง ข้าคงไม่แปลกใจ แต่ด้วยนิสัยของผู้อาวุโส…”
สุยจิ่งเฉิงไม่ได้พูดต่อด้วยกลัวว่าจะเป็นการวาดงูเติมขา
เฉินผิงอันดึงมือกลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกหลานคนมีเงินไม่นั่งใกล้ชายคา วิญญูชนไม่ยืนอยู่ใต้กำแพงอันตราย คำกล่าวเหล่านี้ย่อมต้องมีเหตุผล สุยซินอวี่ที่อยู่ในศาลาไม่เอ่ยอะไรสักคำ คือการกระทำของคนที่เยือกเย็นสุขุม ความผิดไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่ข้าถามเจ้า สุยซินอวี่พ่อของเจ้าเป็นใคร?”
สุยจิ่งเฉิงไม่ได้รีบร้อนตอบคำถาม บิดาของนาง? เจ้าประมุขสกุลสุย? บุคคลอันดับหนึ่งแห่งวงการหมากล้อมแคว้นอู่หลิง? อดีตรองเจ้ากรมโยธาธิการของหนึ่งแคว้น? แล้วแสงสว่างก็พลันเปล่งวาบขึ้นในหัวของสุยจิ่งเฉิง นึกถึงการแต่งกายก่อนหน้านี้ของผู้อาวุโสตรงหน้าขึ้นมาได้ นางก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “คือนักประพันธ์ใหญ่แห่งแคว้นอู่หลิงที่มีบทกวีอยู่เต็มท้อง คือ…บัณฑิต…ที่เข้าใจหลักการอริยะปราชญ์มากมาย”
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องจริงที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ตอนนั้นหูซินเหวยไม่ได้บอกถึงสถานะของฝ่ายตรงข้ามให้พวกเจ้ารู้ ไม่ได้บอกว่าในคนกลุ่มนั้นมีหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นที่ชื่อเสียงดุร้ายเลื่องลืออยู่ด้วย ดังนั้นความจริงข้อหนึ่งสำหรับสุยซินอวี่ในเวลานั้นก็คือ สถานการณ์ในศาลาไม่ใช่สถานการณ์ที่จะตัดสินเป็นตาย แต่เป็นแค่สถานการณ์ที่ค่อนข้างจะยุ่งยากเท่านั้น ในแคว้นอู่หลิง ชื่อเสียงของหูซินเหวยเจ้าประมุขพรรคเหิงตู้ ข้ามน้ำข้ามภูเขาไป ยังมีประโยชน์หรือไม่?”
สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างอับอาย “แน่นอนว่ามีประโยชน์ ตอนนั้นข้าเองก็คิดว่าเป็นเพียงเรื่องทะเลาะเบาะแว้งในยุทธภพทั่วไป ดังนั้นกับผู้อาวุโสแล้ว อันที่จริงตอนนั้นข้า…มีใจคิดอยากจะหยั่งเชิง ก็เลยจงใจไม่พูดว่าจะให้ยืมเงิน”
เฉินผิงอันเอ่ย “เพราะหูซินเหวยกลัวว่าจะชักนำภัยมาสู่ตัวจึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของหยางหยวน การแสดงออกภายนอกสุขุมมีสติ และคำเตือนที่มีต่อพวกเจ้าก็ทำได้อย่างพอเหมาะพอควร นี่ก็คือประสบการณ์โชกโชนที่คนเก่าแก่ในยุทธภพสมควรมี เป็นสิ่งที่ใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนมา ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงมองรองเจ้ากรมผู้เฒ่าแวบหนึ่ง รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเห็นว่าข้าไม่ได้เปิดปากขอยืมเงินก็ทำท่าโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก นี่ไม่นับเป็นอะไร เพราะยังคงเป็นความรู้สึกทั่วไปของคน แต่ว่า สุยซินอวี่คือบัณฑิตคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตที่เคยมีสถานะสูงส่ง ใช้ความรู้ของอริยะปราชญ์ที่ได้ร่ำเรียนมาตอบแทนบ้านเมืองช่วยเหลือปวงประชา…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือออกมา เขางอนิ้วเข้าหากันเบาๆ แต่กลับไม่ได้ประกบโดนกัน ทำเหมือนว่าระหว่างนิ้วทั้งสองคีบเม็ดหมากอยู่เม็ดหนึ่ง “อริยะเคยกล่าวว่า มีความเห็นอกเห็นใจหรือไม่ สามารถนำมาเป็นตัวแบ่งแยกความต่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ เจ้าคิดว่าตอนนั้นสุยอวี่ซิน พ่อของเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจหรือไม่ สักนิด สักเสี้ยว? เจ้าเป็นลูกสาวของเขา ขอแค่ไม่ใช่เงาใต้โคมไฟ ก็น่าจะรู้จักนิสัยของเขาดียิ่งกว่าข้า”
สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ไม่มี”
สีหน้าของนางแสดงความเสียใจ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ไม่มีเลยจริงๆ”
“ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนคนหนึ่งเดินอยู่บนเส้นทางอย่างเชื่องช้า การดูให้มากและคิดให้มากล้วนเป็นกระบี่สองคมมาโดยตลอด มองดูคนและเรื่องราวบนโลกมนุษย์มากไป สุดท้ายก็มีเพียงเท่านั้นเอง”
ทว่าคนผู้นั้นกลับมีสีหน้าเป็นปกติราวกับว่าเห็นมาจนชินตาแล้ว เขาเงยหน้ามองไปยังทิศไกล เอ่ยเบาๆ ว่า “ระหว่างความเป็นความตาย ข้าเชื่อมาโดยตลอดว่านอกจากอยากให้ตัวเองมีชีวิตรอดแล้ว จู่ๆ ความชั่วร้ายที่เล็กเท่าเมล็ดงาจะขยายใหญ่ดุจขุนเขา นี่เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าคนบางส่วน อาจจะไม่ได้มีมากนัก ทว่าจะต้องมีคนจำพวกนั้นอยู่ คนที่แม้จะรู้ดีว่าเป็นช่วงเวลาคับขันที่ต้องตายอย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ยังจะเป็นดั่งแสงดวงดาวที่พลันจุดติดไฟลุกโชนขึ้นมา”
“ตอนที่อยู่ในศาลาและบนเส้นทางหลังจากนั้น ข้ามองดูอยู่และรอคอยอยู่ตลอดเวลา”
“ขอแค่ข้าหาไฟดวงหนึ่งที่ดับลงแล้วเจอ ต่อให้จะเป็นแค่แสงสว่างที่น้อยนิด ถูกคนใช้นิ้วขยี้ก็มอดดับได้แล้วก็ตาม”
“ต่อให้ในสายตาของข้าแสงสว่างในนิสัยคนที่เป็นเช่นนี้จะเป็นเพียงแค่แสงไฟจุดเล็กๆ จุดหนึ่ง ทว่ามันกลับสามารถประชันแสงกับตะวันจันทราได้”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!