กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 520

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา “ครั้งแรกหากหูซินเหวยยอมทุ่มสุดชีวิต เพื่อคำว่าคุณธรรมในยุทธภพแล้วไม่เสียดายหากตัวเองต้องตาย ทำเรื่องที่มองดูเหมือนโง่เง่าอย่างถึงที่สุด ข้าก็ไม่จำเป็นต้องมองดูหมากกระดานนี้แล้ว ข้าจะลงมือตอนนั้นเลย ครั้งที่สอง ต่อให้พ่อของเจ้าจะยังนิ่งดูดาย แต่ขอแค่เขามีความเห็นอกเห็นใจสักหน่อย ไม่ใช่เส้นสายในหัวใจคิดว่าขอแค่ข้าเปิดปากเขาก็จะด่าทอหยาบคายทันที ข้าก็จะไม่ทำแค่มองดูสถานการณ์อีกต่อไป แต่เลือกที่จะลงมือ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “กลับกลายเป็นหูซินเหวยคนนั้นที่ทำให้ข้าประหลาดใจ สุดท้ายหลังจากที่ข้าแยกกับพวกเจ้าก็ได้ไปหาหูซินเหวย แล้วข้าก็ได้เห็นจากบนร่างของเขา ครั้งหนึ่งคือก่อนที่เขาจะตาย ได้ขอร้องข้าไม่ให้ลากครอบครัวของเขามาเกี่ยวข้องด้วย อีกครั้งหนึ่งคือข้าถามเขาว่าพวกเจ้าสี่คนสมควรตายหรือไม่ เขาบอกว่าอันที่จริงสุยซินอวี่ถือเป็นขุนนางและสหายที่ไม่เลว สุดท้ายเขาพูดถึงการทำเรื่องผดุงคุณธรรมของเขาในอดีตขึ้นมาด้วยตัวเอง คำว่าเรื่องที่กล่าวถึงนี้ เป็นคำที่น่าสนใจอย่างมาก”

สุยจิ่งเฉิงพูดเบาๆ “แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้อาวุโสก็มองดูอยู่ตลอดเวลา เหตุใดทั้งๆ ที่ผู้อาวุโสผิดหวังขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังปกป้องพวกเราอย่างลับๆ?”

“ลัทธิเต๋าบอกว่าโชคและเคราะห์ไร้ประตู ล้วนเป็นคนที่ไปกวักมือเรียกหามันมาเอง ลัทธิพุทธกล่าวว่ากรรมคือผลของการกระทำ ล้วนเป็นหลักการที่คล้ายคลึงกัน แต่บนโลกใบนี้มีเทพเซียนครึ่งตัวบนภูเขาอยู่หลายคนที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง มีพวกเขาอยู่ หลักการเหตุผลที่เดิมทียากอยู่แล้วก็จะยิ่งนำมาพูดได้ยากเข้าไปอีก”

เฉินผิงอันกล่าว “แต่พวกเจ้าที่อยู่ในสถานการณ์ของศาลา ถือเป็นผู้อ่อนแอ ข้าได้บังเอิญมาพบเจอเข้าพอดี หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียด อีกทั้งตัวข้าเองยังมีพละกำลังเหลือพอจะปกป้องตัวเอง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้จากไป แต่ระหว่างนี้ หากไม่นับความเป็นความตายของพวกเจ้า ไม่ว่าจะเจอกับความลำบากยากเข็ญแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่นต้องหนีเอาตัวรอดท่ามกลางพายุฝน อกสั่นขวัญผวาไปตลอดทาง แล้วยังถูกคนใช้หลังดาบฟาดให้ตกลงมาจากหลังม้าเต็มแรง ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเจ้ารนหาที่เอง นี่คือสิ่งที่วิถีทางโลกมอบกลับคืนให้พวกเจ้า หากดูในระยะยาว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพราะถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ผู้อ่อนแอมากกว่านี้มีเหตุผลที่ควรมีชีวิตอยู่รอดมากกว่าพวกเจ้า แต่อยู่ดีๆ นึกจะตายกลับตายไปเสียอย่างนั้น”

ผู้อ่อนแอเรียกร้องให้ผู้แข็งแกร่งลงแรงลงมือทำมากกว่า เฉินผิงอันไม่รู้สึกอะไร เพราะเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ต่อให้ผู้อ่อนแอหลายคนที่ถูกผู้แข็งแกร่งปกป้องจะไม่มีใจสำนึกในบุญคุณแม้แต่น้อย แต่เฉินผิงอันในเวลานี้กลับไม่คิดมากอีก

การเดินทางไปเยือนเมืองสุยเจี้ย ต้องแบกรับทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆครั้งนั้น เฉินผิงอันไม่เคยนึกเสียใจภายหลัง

เพราะด้านในตรอกใดตรอกหนึ่งของเมืองสุยเจี้ยอาจจะมีเฉินผิงอัน มีหลิวเสี้ยนหยางที่กำลังเติบโต

หากจะบอกว่าหายนะยาวนานพันปี (เปรียบเปรยว่าเรื่องเลวร้ายมักจะดำรงอยู่ยาวนานเสมอ ประโยคหน้าของประโยคนี้คือคนดีมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่หายนะกลับยาวนานเป็นพันปี) วิถีทางโลกเป็นเช่นนี้ จิตใจคนเป็นเช่นนี้ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าอย่างนั้นคนดีก็ควรจะฉลาดให้มากหน่อย มีชีวิตอยู่ให้ยาวนานอีกเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนจากคนดีที่ทนรับความยากลำบากได้กลายมาเป็นหายนะนั้นเสียเอง เมื่อความชั่วร้ายพากันถือกำเนิด เกิดเป็นวงโคจรไม่หยุดพัก ภูเขาถล่มพื้นดินทลาย สักวันไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็จะต้องเอาคืนมหามรรคาแห่งฟ้าดินที่ไร้ความรู้สึก

สุยจิ่งเฉิงใคร่ครวญเงียบๆ นางโยนกิ่งไม้หลายกิ่งเข้าไปในกองไฟ กำลังคิดจะถามว่าเหตุใดผู้อาวุโสถึงไม่ได้ฆ่าคนชั่วอยากพวกหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นกลุ่มนั้นให้หมดสิ้น เพียงแต่ไม่นานนางก็เข้าใจจุดเชื่อมโยงของเรื่องราว จึงไม่ถามให้มากความอีก

เพราะหากแหวกหญ้าให้งูตื่น เฉาฟู่และเซียวซูเย่ก็มีแต่จะยิ่งอดทนและระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น

สุยจิ่งเฉิงอยากจะถามอีกว่าเหตุใดตอนนั้นที่อยู่บนเส้นทางชาม้าโบราณถึงได้ไม่ฆ่าคนทั้งสองคนไปเลย เพียงแต่ว่าไม่นานสุยจิ่งเฉิงก็ได้คำตอบอีกเหมือนเดิม

อาศัยอะไร?

เส้นบรรทัดฐานความดีเลวของคนทั้งสองอยู่ตรงไหน?

สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมานวดคลึงจุดไท่หยาง

นางฟังเข้าใจในหลายๆ เรื่อง แต่นางกลับรู้สึกปวดหัว ความคิดในหัวสมองเริ่มพันกันยุ่งเหยิงคล้ายเชือกก้อนหนึ่ง หรือว่าการฝึกตนบนภูเขาล้วนต้องถูกพันธนาการมือเท้าเช่นนี้? ถ้าอย่างนั้นหากฝึกตนจนมีวิชาความสามารถเฉกเช่นเซียนกระบี่อย่างผู้อาวุโส ก็จะต้องคิดทุกเรื่องยิบย่อยแบบนี้เลยหรือ? หากเจอกับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องลงมือให้ทันเวลา แต่ยากจะแยกแยะดีเลว ถ้าอย่างนั้นควรจะใช้วิชาคาถาช่วยคนหรือฆ่าคน?

ดูเหมือนคนผู้นั้นจะมองความคิดในใจของสุยจิ่งเฉิงออก จึงยิ้มกล่าวว่า “รอให้เจ้าเคยชินจนเป็นธรมชาติ เห็นคนและเรื่องราวมากขึ้น ก่อนลงมือก็จะรู้อะไรควรไม่ควรเอง ไม่เพียงแต่ไม่อืดอาดยืดยาด กลับจะกลายเป็นว่าออกกระบี่ก็ดี ร่ายมรรคกถาก็ช่าง ล้วนรวดเร็วและมีแต่จะเร็วอย่างถึงที่สุด”

เขาชี้ไปยังเม็ดหมากที่อยู่บนกระดาน “หากจะบอกว่าพอหยางหยวนเข้ามาในศาลาก็ตบพวกเจ้าสี่คนจากตระกูลสุยให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวทันที หรือตอนนั้นข้ามองไม่ออกว่าฟู่เจินจะออกกระบี่ขัดขวางหมัดนั้นของหูซินเหวย ข้าย่อมไม่มีทางทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ เชื่อข้าเถอะ ไม่ว่าจะฟู่เจินหรือหูซินเหวยต้องไม่รู้ว่าตัวเองตายอย่างไรแน่”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าให้สุยจิ่งเฉิง

ก่อนหน้านี้ตอนที่นางคุกเข่าอยู่บนถนนได้เปิดปากขอร้องเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “สุยจิ่งเฉิงอยากติดตามผู้อาวุโสฝึกวิชาตระกูลเซียน!”

เขาถามไปสองคำถาม “อาศัยอะไร? เพื่ออะไร?”

“นับแต่เด็กข้าก็มีโชควาสนาติดกาย มีพรสวรรค์ในการฝึกตน มีสมบัติหนักตระกูลเซียนที่ยอดฝีมือมอบไว้ให้ คือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ฝึกตน เพียงแต่ว่าไม่มีวิสุทธิจารย์บนภูเขาคอยช่วยชี้แนะ หากฝึกวิชาเซียนประสบความสำเร็จ ข้าจะต้องออกเดินทางท่องไปในยุทธภพเหมือนอย่างผู้อาวุโสแน่นอน”

คำตอบทั้งสองอย่าง หนึ่งไม่ผิด อีกหนึ่งก็ยังคงเป็นคำตอบที่ฉลาดมาก

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากให้นางไปหาชุยตงซาน ไปฝึกวิชากับเขา เขารู้ว่าควรจะสอนสุยจิ่งเฉิงอย่างไร ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนให้นางเท่านั้น แม้แต่การเป็นคนควรเป็นเช่นไรก็คงจะสอนนางด้วย

พรสวรรค์ของสุยจิ่งเฉิงเป็นอย่างไร เฉินผิงอันไม่กล้าให้ข้อสรุปยืนยันหนักแน่น แต่สติปัญญาของนางนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะโชคในการเสี่ยงดวงของนางที่ดีทุกครั้ง นั่นไม่ใช่โชคดีค้ำฟ้าอะไร แต่ต้องเรียกว่าเป็น…ศาสตร์แห่งการเดิมพัน

แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เฉินผิงอันอยากจะให้สุยจิ่งเฉิงไปหาชุยตงซานที่แจกันสมบัติทวีป

หลังจากชมหมากล้อมสองตา เฉินผิงอันมีบางอย่างที่อยากจะให้ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานได้ดู ถือเป็นคำตอบครึ่งหนึ่งที่ปีนั้นลูกศิษย์ถามคำถามอาจารย์

เฉินผิงอันเรียกกระบี่บินสืออู่ออกมา คีบมันไว้ที่ปลายนิ้วเบาๆ แล้วเริ่มก้มหน้าค้อมเอวแกะสลักลงไปบนไม้เท้าเดินป่าที่ผ่านการหลอมเล็กจนมีสีเขียวปลั่งเหมือนไม้ไผ่

ตรงจุดที่สายตาของสุยจิ่งเฉิงมองไปเห็น ดูเหมือนว่าแต่ละมีดล้วนสลักลงบนตำแหน่งเดิม

สุยจิ่งเฉิงไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่เบิกตากว้างมองคนผู้นั้นแกะสลักตัวอักษรลงบนไม้เท้าเงียบๆ

หนึ่งก้านธูปผ่านไป ดวงตาทั้งคู่ของสุยจิ่งเฉิงก็เริ่มปวดปร่า ต้องขยี้ดวงตา

ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา คนผู้นั้นก็เก็บกระบี่บินที่ใช้ต่างมีดแกะสลัก แสงกระบี่เปล่งวาบแล้วหายเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พอเจอคนผู้นั้นแล้ว เจ้าบอกกับเขาว่า คำตอบของคำถามนั้น ข้าพอจะคิดออกบ้างแล้ว แต่ก่อนจะตอบคำถาม จำเป็นต้องมีเงื่อนไขสองข้อ ข้อแรกคือสิ่งที่แสวงหาจำเป็นต้องถูกต้อง สองคือทำผิดแล้วรู้ว่าผิด อีกทั้งทำผิดแล้วยังรู้จักแก้ไข ส่วนจะแก้ไขอย่างไร จะใช้วิธีการเช่นใดทำให้รู้ผิดและแก้ไขความผิด คำตอบก็อยู่บนไม้เท้าชิ้นนี้แล้ว เจ้าให้ชุยตงซานดูเอาเอง อีกทั้งข้าหวังว่าเขาจะเห็นได้ละเอียดกว่าและยาวไกลกว่าข้า ทำได้ดียิ่งกว่าข้า หนึ่งของหนึ่ง หรือต่อให้เป็นหนึ่งนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นมหามรรคาของฟ้าดิน สรรพชีวิตบนโลก ก็ให้เขาเริ่มทำในจุดที่สายตามองเห็นและแรงใจไปถึง ไม่ใช่ว่าผลลัพธ์ของสิ่งที่ถูกต้องนั้นมาถึงแล้ว ทว่ากลับมองข้ามความผิดน้อยใหญ่ระหว่างนั้นไป ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องให้เขาตรวจสอบดูใหม่ ยังจะต้องให้เขาไปมองให้ละเอียดยิ่งกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่บอกว่าถูกต้องก็ยังคงเป็นแค่การคำนวณถึงผลประโยชน์ในหนึ่งช่วงเวลาหนึ่งสถานที่เท่านั้น หาใช่มหามรรคาที่ยาวไกลซึ่งสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินไม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!