เฉินผิงอันพลันถามว่า “มีความคิดที่มากกว่านี้หรือไม่?”
สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้เฉาฟู่ใช้เซียวซูเย่ล่อข้าออกไปตามแผนล่อเสือออกจากภูเขา แล้วก็เข้าใจผิดคิดว่าสามารถกุมชัยชนะไว้ในมือแล้ว เขามาดักขวางทางเจ้าแล้วบอกกับเจ้าตามตรงถึงสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญเมื่อติดตามเขาขึ้นไปบนภูเขา เจ้าไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยหรือ?”
สุยจิ่งเฉิงยังหวาดผวาอยู่มากจริงๆ จะถูกอาจารย์ของเฉาฟู่จับมาหลอมเป็นเตาที่มีชีวิต หลังจากได้รับการถ่ายทอดมรรคาแล้วจะต้องฝึกตนคู่กับบรรพจารย์ตำหนักเกล็ดทองอะไรนั่น…
แม้ว่าจิตใจของสุยจิ่งเฉิงจะมุ่งเข้าหามรรคามาโดยตลอด แต่กลับไม่ต้องการเป็นหุ่นเชิดน่าสงสารที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ความตั้งใจเดิมของยอดฝีมือที่มอบโชควาสนาให้เจ้าคืออะไร? เคยคิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งหรือไม่ว่า หากคนผู้นี้มีตบะสูงยิ่งกว่า มีจิตใจชั่วร้ายและอันตรายยิ่งกว่า และวางแผนได้ยาวไกลยิ่งกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเฉาฟู่เล่า จะทำอย่างไร?”
เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมจากทั่วทั้งร่างของสุยจิ่งเฉิง
เฉินผิงอันยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองครั้ง บอกเป็นนัยแก่สุยจิ่งเฉิงว่าไม่ต้องหวาดกลัวมากเกินไป แล้วถึงเอ่ยเสียงเบา “ก็แค่ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น เหตุใดเขาถึงได้กล้ามอบสมบัติหนักสามชิ้นให้แก่เจ้า ทั้งเป็นการมอบโชควาสนาด้านการฝึกตนที่ใหญ่เทียมฟ้าให้แก่เจ้า แต่ก็ยังผลักเจ้าไปอยู่ในอันตรายที่มองไม่เห็น เหตุใดเขาถึงไม่พาเจ้าไปอยู่พรรคตระกูลเซียนของตัวเองโดยตรง? เหตุใดไม่จัดหาผู้ปกป้องมรรคามาอยู่ข้างกายเจ้า? เหตุใดถึงแน่ใจว่าเจ้าจะสามารถอาศัยพละกำลังของตัวเองจนกลายเป็นผู้ฝึกตนได้? ปีนั้นเรื่องประหลาดที่แม่ของเจ้าฝันว่ามีเทพอุ้มเด็กผู้หญิงมามอบให้ มีความลี้ลับซับซ้อนอะไรหรือไม่?”
สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก จากนั้นก็ใช้หลังมือยันหน้าผากเอาไว้ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “คิดแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องราวทางโลกส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่เข้าใจ แต่คิดได้อย่างกระจ่างแจ้งจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป”
สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าเลื่อนลอย
ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องระหกระเหเร่ร่อนดั่งสุนัขไร้บ้าน เหตุการณ์พลิกผันขึ้นลง เรื่องในค่ำคืนนี้ ถ้อยคำไม่ประติดประต่อที่คนผู้นี้เอ่ยออกมาก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของนางเดี๋ยวพุ่งสูงเดี๋ยวดิ่งฮวบลงต่ำไม่หยุดนิ่ง
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หลังจากที่เจ้าตัดสินใจว่าจะไปแจกันสมบัติทวีปแล้ว ข้าถึงได้พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า นี่ก็เพราะต้องการให้เจ้าเลือกและละทิ้งสิ่งที่อยู่ในใจอีกครั้งหนึ่ง ควรจะรับมือกับยอดฝีมือที่เดินทางผ่านมาในปีนั้นซึ่งชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่ปรากฎตัว หรืออาจจะปรากฏตัวในคืนนี้เลยก็ได้อย่างไร สมมติว่ายอดฝีมือคนนั้นมีเจตนาดีต่อเจ้า เพียงแต่ว่าหากดูแลเจ้าในช่วงแรกเริ่มของการฝึกตนมากเกินไปจะเป็นการดึงหญ้าช่วยให้เติบโต และตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องราวในแคว้นอู่หลิงและตระกูลสุย เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนยิ่งขอบเขตสูงเท่าไร พอปิดด่านก็ยิ่งไม่สนใจความร้อนความหนาวในโลกมนุษย์มากเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สามารถไปเยือนแจกันสมบัติทวีปก่อนได้ชั่วคราว แต่กลับไม่สามารถรีบร้อนกราบชุยตงซานเป็นอาจารย์ แต่หากว่าคนผู้นั้นมีเจตนาร้ายกับเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้แล้ว เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าและข้าต่างก็ไม่อาจแน่ใจในความจริงของเรื่องราวได้ ทีนี้จะทำอย่างไร?”
สุยจิ่งเฉิงถามย้อนกลับอย่างมึนงง “ทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันหัวเราะขันอย่างฉุนๆ “ทำอย่างไรอะไร?”
สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมาลูบใบหน้า แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “หากเป็นก่อนหน้าที่จะได้พบกับผู้อาวุโส หรือหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ช่วยเหลือข้าไว้ ข้าก็คงไม่สนใจอะไรอีก ยิ่งหนีไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี ต่อให้จะรู้สึกผิดต่อยอดฝีมือที่มีพระคุณยิ่งใหญ่กับข้าผู้นั้น ข้าก็จะพยายามสั่งตัวเองให้ไม่ไปคิดถึงเขาอีก แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่ายังคงเป็นผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่พูดได้ถูกต้อง บัณฑิตล่างภูเขาเจอหายนะยากจะรักษาตัวรอดได้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นบ้าง ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกตนบนภูเขา เจอหายนะยากจะหลีกเลี่ยง แต่ก็ควรต้องรักษาจิตใจที่รู้สำนึกในบุญคุณเอาไว้ ดังนั้นผู้อาวุโสก็ดี ผู้อาวุโสชุยตงซานคนนั้นก็ช่าง ต่อให้ข้าโชคดีได้กลายเป็นลูกศิษย์ของคนใดคนหนึ่ง ต่อให้เป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ หากชีวิตนี้ได้พบเจอยอดฝีมือท่านนั้นอีกครั้ง ต่อให้ขอบเขตของเขาจะไม่สูงเท่าพวกท่านทั้งสอง ข้าก็จะยังขอร้องท่านทั้งสองให้อนุญาตให้ข้าได้เปลี่ยนสำนัก กราบยอดฝีมือท่านนั้นเป็นอาจารย์!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรจะเป็นเช่นนี้”
ที่ยิ่งหาได้ยากก็คือ อันที่จริงเฉินผิงอันมองออกว่าสุยจิ่งเฉิงกล่าวด้วยความจริงใจหรือไม่
คำพูดบางอย่าง จำเป็นต้องมองไม่ใช่ฟัง
นี่ก็คือข้อดีของการฝึกตนบนภูเขา
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หวังว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่เพราะความคิดของข้าดำมืดเกินไป ข้ายังคงหวังให้ในอนาคตเจ้ากับยอดฝีมือคนนั้นกลายเป็นอาจารย์และศิษย์ จับมือกันเดินขึ้นเขา ชื่นชมภูเขาแม่น้ำไปด้วยกัน”
สุยจิ่งเฉิงแอบหัวเราะ หรี่ตามองเขา
คราวนี้เฉินผิงอันเข้าใจถ้อยคำไร้เสียงในดวงตาของนางได้ทันที เขาจึงถลึงตาใส่นาง “ข้าและเจ้าแค่มีท่าทีในการมองโลกเหมือนกันเท่านั้น แต่สภาพจิตใจของเจ้าและข้ากลับไม่เหมือนกัน”
สุยจิ่งเฉิงหลุดส่งเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ นางเริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน ทำท่าเหมือนเด็กๆ อย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์ ท่านอยู่ไหน?”
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะทำเหมือนผู้อาวุโสเซียนกระบี่ชุดเขียวที่สะพายหีบไม้ไผ่ในตอนแรกหรือไม่ บางทีเขาอาจจะอยู่ใกล้สุดขอบฟ้า หรืออาจจะอยู่ใกล้แค่ตรงหน้าก็ได้?
เฉินผิงอันหัวเราะตามไปด้วย
แน่นอนว่า ‘อาจารย์’ คนนั้นของสุยจิ่งเฉิงไม่ได้ปรากฏตัว
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ไม่ได้จงใจอำพรางร่องรอย แต่เนื่องจากสุยจิ่งเฉิงต้องฝึกตนตามเวลาที่แน่นอนในตอนกลางวัน ระหว่างเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอู่หลิง เฉินผิงอันจึงเช่ารถม้าหนึ่งคัน ตัวเองทำหน้าที่เป็นสารถี สุยจิ่งเฉิงเป็นฝ่ายพูดถึงกุญแจสำคัญในการฝึกตนที่อยู่ใน ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนั้น อธิบายถึงวิธีการเข้าฌาน บอกว่าในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ภาพปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็จะไม่เหมือนกัน อย่างเช่นว่าบางครั้งดวงตาของนางจะชุ่มชื้นเหมือนมีไอหมอกลอยอวล บางครั้งดวงตาก็จะเจ็บแปลบเหมือนมีสายฟ้าล้อมวน หรือไม่ในอวัยวะภายในก็เกิดแรงสั่นสะเทือนและมีเสียงดังสนั่นไม่หยุด อันที่จริงเฉินผิงอันก็ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้ นอกจากนี้สุยจิ่งเฉิงที่ไม่มีความชำนาญ แต่กลับอาศัยตัวเองจนฝึกตนมาได้นานเกือบสามสิบปีโดยที่ไม่ทิ้งโรคร้ายใดๆ ไว้ กลับกันผิวพรรณยังนุ่มเนียน ดวงตาสองข้างใสกระจ่าง ก็น่าจะไม่มีความผิดพลาดใหญ่ใดๆ แล้ว
ตลอดทางมานี้เดินทางกันอย่างราบรื่น ไม่หยุดพักทั้งวันทั้งคืน
ก็เหมือนปีนั้นที่ส่งพวกหลี่ไหวเดินทางไปยังสำนักศึกษาต้าสุยที่ไม่เพียงแต่มีการกระทบกระทั่ง มีความกลมเกลียวสามัคคี แต่อันที่จริงสิ่งที่มากกว่านั้นกลับเป็นเรื่องหยุมหยิมเหมือนบรรยากาศในหมู่ชาวบ้าน
อย่างเช่นว่าทุกครั้งที่หลี่ไหวจะไปอึไปฉี่ก็จะต้องลากเฉินผิงอันไปด้วยถึงจะกล้าไป โดยเฉพาะกลางดึกที่ต่อให้เป็นครึ่งคืนหลังที่อวี๋ลู่เป็นผู้เฝ้ายาม เฉินผิงอันที่เฝ้ายามครึ่งคืนแรกหลับสนิทไปนานแล้ว แต่ก็ยังถูกหลี่ไหวเขย่าปลุกให้ตื่น จากนั้นเฉินผิงอันที่งัวเงียก็ต้องเดินไปไกลๆ เป็นเพื่อนเจ้าคนที่เอาสองมือกุมเป้ากางเกงหรือไม่ก็จับก้น ตลอดการเดินทางครั้งนั้นเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เฉินผิงอันไม่เคยว่ากล่าวอะไรหลี่ไหว ส่วนหลี่ไหวเองก็ไม่เคยพูดคำขอบคุณอะไร
แต่เด็กในชนบทก็ไม่ค่อยเคยชินกับการพูดคำว่าขอบคุณกับคนอื่นจริงๆ ก็เหมือนกับบัณฑิตผู้นั้นที่ไม่ค่อยเต็มใจอยากจะพูดว่าข้าทำพลาดไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!