สรุปตอน บทที่ 521.2 เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานา – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 521.2 เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานา ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เฉินผิงอันพลันถามว่า “มีความคิดที่มากกว่านี้หรือไม่?”
สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้เฉาฟู่ใช้เซียวซูเย่ล่อข้าออกไปตามแผนล่อเสือออกจากภูเขา แล้วก็เข้าใจผิดคิดว่าสามารถกุมชัยชนะไว้ในมือแล้ว เขามาดักขวางทางเจ้าแล้วบอกกับเจ้าตามตรงถึงสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญเมื่อติดตามเขาขึ้นไปบนภูเขา เจ้าไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยหรือ?”
สุยจิ่งเฉิงยังหวาดผวาอยู่มากจริงๆ จะถูกอาจารย์ของเฉาฟู่จับมาหลอมเป็นเตาที่มีชีวิต หลังจากได้รับการถ่ายทอดมรรคาแล้วจะต้องฝึกตนคู่กับบรรพจารย์ตำหนักเกล็ดทองอะไรนั่น…
แม้ว่าจิตใจของสุยจิ่งเฉิงจะมุ่งเข้าหามรรคามาโดยตลอด แต่กลับไม่ต้องการเป็นหุ่นเชิดน่าสงสารที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ความตั้งใจเดิมของยอดฝีมือที่มอบโชควาสนาให้เจ้าคืออะไร? เคยคิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งหรือไม่ว่า หากคนผู้นี้มีตบะสูงยิ่งกว่า มีจิตใจชั่วร้ายและอันตรายยิ่งกว่า และวางแผนได้ยาวไกลยิ่งกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเฉาฟู่เล่า จะทำอย่างไร?”
เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมจากทั่วทั้งร่างของสุยจิ่งเฉิง
เฉินผิงอันยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองครั้ง บอกเป็นนัยแก่สุยจิ่งเฉิงว่าไม่ต้องหวาดกลัวมากเกินไป แล้วถึงเอ่ยเสียงเบา “ก็แค่ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น เหตุใดเขาถึงได้กล้ามอบสมบัติหนักสามชิ้นให้แก่เจ้า ทั้งเป็นการมอบโชควาสนาด้านการฝึกตนที่ใหญ่เทียมฟ้าให้แก่เจ้า แต่ก็ยังผลักเจ้าไปอยู่ในอันตรายที่มองไม่เห็น เหตุใดเขาถึงไม่พาเจ้าไปอยู่พรรคตระกูลเซียนของตัวเองโดยตรง? เหตุใดไม่จัดหาผู้ปกป้องมรรคามาอยู่ข้างกายเจ้า? เหตุใดถึงแน่ใจว่าเจ้าจะสามารถอาศัยพละกำลังของตัวเองจนกลายเป็นผู้ฝึกตนได้? ปีนั้นเรื่องประหลาดที่แม่ของเจ้าฝันว่ามีเทพอุ้มเด็กผู้หญิงมามอบให้ มีความลี้ลับซับซ้อนอะไรหรือไม่?”
สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก จากนั้นก็ใช้หลังมือยันหน้าผากเอาไว้ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “คิดแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องราวทางโลกส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่เข้าใจ แต่คิดได้อย่างกระจ่างแจ้งจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป”
สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าเลื่อนลอย
ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องระหกระเหเร่ร่อนดั่งสุนัขไร้บ้าน เหตุการณ์พลิกผันขึ้นลง เรื่องในค่ำคืนนี้ ถ้อยคำไม่ประติดประต่อที่คนผู้นี้เอ่ยออกมาก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของนางเดี๋ยวพุ่งสูงเดี๋ยวดิ่งฮวบลงต่ำไม่หยุดนิ่ง
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หลังจากที่เจ้าตัดสินใจว่าจะไปแจกันสมบัติทวีปแล้ว ข้าถึงได้พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า นี่ก็เพราะต้องการให้เจ้าเลือกและละทิ้งสิ่งที่อยู่ในใจอีกครั้งหนึ่ง ควรจะรับมือกับยอดฝีมือที่เดินทางผ่านมาในปีนั้นซึ่งชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่ปรากฎตัว หรืออาจจะปรากฏตัวในคืนนี้เลยก็ได้อย่างไร สมมติว่ายอดฝีมือคนนั้นมีเจตนาดีต่อเจ้า เพียงแต่ว่าหากดูแลเจ้าในช่วงแรกเริ่มของการฝึกตนมากเกินไปจะเป็นการดึงหญ้าช่วยให้เติบโต และตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องราวในแคว้นอู่หลิงและตระกูลสุย เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนยิ่งขอบเขตสูงเท่าไร พอปิดด่านก็ยิ่งไม่สนใจความร้อนความหนาวในโลกมนุษย์มากเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สามารถไปเยือนแจกันสมบัติทวีปก่อนได้ชั่วคราว แต่กลับไม่สามารถรีบร้อนกราบชุยตงซานเป็นอาจารย์ แต่หากว่าคนผู้นั้นมีเจตนาร้ายกับเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้แล้ว เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าและข้าต่างก็ไม่อาจแน่ใจในความจริงของเรื่องราวได้ ทีนี้จะทำอย่างไร?”
สุยจิ่งเฉิงถามย้อนกลับอย่างมึนงง “ทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันหัวเราะขันอย่างฉุนๆ “ทำอย่างไรอะไร?”
สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมาลูบใบหน้า แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “หากเป็นก่อนหน้าที่จะได้พบกับผู้อาวุโส หรือหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ช่วยเหลือข้าไว้ ข้าก็คงไม่สนใจอะไรอีก ยิ่งหนีไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี ต่อให้จะรู้สึกผิดต่อยอดฝีมือที่มีพระคุณยิ่งใหญ่กับข้าผู้นั้น ข้าก็จะพยายามสั่งตัวเองให้ไม่ไปคิดถึงเขาอีก แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่ายังคงเป็นผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่พูดได้ถูกต้อง บัณฑิตล่างภูเขาเจอหายนะยากจะรักษาตัวรอดได้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นบ้าง ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกตนบนภูเขา เจอหายนะยากจะหลีกเลี่ยง แต่ก็ควรต้องรักษาจิตใจที่รู้สำนึกในบุญคุณเอาไว้ ดังนั้นผู้อาวุโสก็ดี ผู้อาวุโสชุยตงซานคนนั้นก็ช่าง ต่อให้ข้าโชคดีได้กลายเป็นลูกศิษย์ของคนใดคนหนึ่ง ต่อให้เป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ หากชีวิตนี้ได้พบเจอยอดฝีมือท่านนั้นอีกครั้ง ต่อให้ขอบเขตของเขาจะไม่สูงเท่าพวกท่านทั้งสอง ข้าก็จะยังขอร้องท่านทั้งสองให้อนุญาตให้ข้าได้เปลี่ยนสำนัก กราบยอดฝีมือท่านนั้นเป็นอาจารย์!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรจะเป็นเช่นนี้”
ที่ยิ่งหาได้ยากก็คือ อันที่จริงเฉินผิงอันมองออกว่าสุยจิ่งเฉิงกล่าวด้วยความจริงใจหรือไม่
คำพูดบางอย่าง จำเป็นต้องมองไม่ใช่ฟัง
นี่ก็คือข้อดีของการฝึกตนบนภูเขา
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หวังว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่เพราะความคิดของข้าดำมืดเกินไป ข้ายังคงหวังให้ในอนาคตเจ้ากับยอดฝีมือคนนั้นกลายเป็นอาจารย์และศิษย์ จับมือกันเดินขึ้นเขา ชื่นชมภูเขาแม่น้ำไปด้วยกัน”
สุยจิ่งเฉิงแอบหัวเราะ หรี่ตามองเขา
คราวนี้เฉินผิงอันเข้าใจถ้อยคำไร้เสียงในดวงตาของนางได้ทันที เขาจึงถลึงตาใส่นาง “ข้าและเจ้าแค่มีท่าทีในการมองโลกเหมือนกันเท่านั้น แต่สภาพจิตใจของเจ้าและข้ากลับไม่เหมือนกัน”
สุยจิ่งเฉิงหลุดส่งเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ นางเริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน ทำท่าเหมือนเด็กๆ อย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์ ท่านอยู่ไหน?”
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะทำเหมือนผู้อาวุโสเซียนกระบี่ชุดเขียวที่สะพายหีบไม้ไผ่ในตอนแรกหรือไม่ บางทีเขาอาจจะอยู่ใกล้สุดขอบฟ้า หรืออาจจะอยู่ใกล้แค่ตรงหน้าก็ได้?
เฉินผิงอันหัวเราะตามไปด้วย
แน่นอนว่า ‘อาจารย์’ คนนั้นของสุยจิ่งเฉิงไม่ได้ปรากฏตัว
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ไม่ได้จงใจอำพรางร่องรอย แต่เนื่องจากสุยจิ่งเฉิงต้องฝึกตนตามเวลาที่แน่นอนในตอนกลางวัน ระหว่างเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอู่หลิง เฉินผิงอันจึงเช่ารถม้าหนึ่งคัน ตัวเองทำหน้าที่เป็นสารถี สุยจิ่งเฉิงเป็นฝ่ายพูดถึงกุญแจสำคัญในการฝึกตนที่อยู่ใน ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนั้น อธิบายถึงวิธีการเข้าฌาน บอกว่าในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ภาพปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็จะไม่เหมือนกัน อย่างเช่นว่าบางครั้งดวงตาของนางจะชุ่มชื้นเหมือนมีไอหมอกลอยอวล บางครั้งดวงตาก็จะเจ็บแปลบเหมือนมีสายฟ้าล้อมวน หรือไม่ในอวัยวะภายในก็เกิดแรงสั่นสะเทือนและมีเสียงดังสนั่นไม่หยุด อันที่จริงเฉินผิงอันก็ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้ นอกจากนี้สุยจิ่งเฉิงที่ไม่มีความชำนาญ แต่กลับอาศัยตัวเองจนฝึกตนมาได้นานเกือบสามสิบปีโดยที่ไม่ทิ้งโรคร้ายใดๆ ไว้ กลับกันผิวพรรณยังนุ่มเนียน ดวงตาสองข้างใสกระจ่าง ก็น่าจะไม่มีความผิดพลาดใหญ่ใดๆ แล้ว
ตลอดทางมานี้เดินทางกันอย่างราบรื่น ไม่หยุดพักทั้งวันทั้งคืน
ก็เหมือนปีนั้นที่ส่งพวกหลี่ไหวเดินทางไปยังสำนักศึกษาต้าสุยที่ไม่เพียงแต่มีการกระทบกระทั่ง มีความกลมเกลียวสามัคคี แต่อันที่จริงสิ่งที่มากกว่านั้นกลับเป็นเรื่องหยุมหยิมเหมือนบรรยากาศในหมู่ชาวบ้าน
อย่างเช่นว่าทุกครั้งที่หลี่ไหวจะไปอึไปฉี่ก็จะต้องลากเฉินผิงอันไปด้วยถึงจะกล้าไป โดยเฉพาะกลางดึกที่ต่อให้เป็นครึ่งคืนหลังที่อวี๋ลู่เป็นผู้เฝ้ายาม เฉินผิงอันที่เฝ้ายามครึ่งคืนแรกหลับสนิทไปนานแล้ว แต่ก็ยังถูกหลี่ไหวเขย่าปลุกให้ตื่น จากนั้นเฉินผิงอันที่งัวเงียก็ต้องเดินไปไกลๆ เป็นเพื่อนเจ้าคนที่เอาสองมือกุมเป้ากางเกงหรือไม่ก็จับก้น ตลอดการเดินทางครั้งนั้นเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เฉินผิงอันไม่เคยว่ากล่าวอะไรหลี่ไหว ส่วนหลี่ไหวเองก็ไม่เคยพูดคำขอบคุณอะไร
แต่เด็กในชนบทก็ไม่ค่อยเคยชินกับการพูดคำว่าขอบคุณกับคนอื่นจริงๆ ก็เหมือนกับบัณฑิตผู้นั้นที่ไม่ค่อยเต็มใจอยากจะพูดว่าข้าทำพลาดไป
สุยจิ่งเฉิงจดจำเรื่องราวบนภูเขาที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเรื่องเล่าพิสดารในนิยายเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ เพียงแต่ความคิดสุดท้ายของนางคือ ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นอาจจะไม่ได้งดงามมากกว่านางเสมอไป
ยามสนธยาของวันนี้ได้เดินทางผ่านศาลเก่าแก่โบราณในพื้นที่แห่งนี้ เล่าลือกันว่าในอดีตมักจะมีคลื่นลูกยักษ์ถาโถม ทำให้เรือของพวกชาวบ้านไม่อาจข้ามแม่น้ำได้ จึงมีเซียนบรรพกาลวาดยันต์ลงบนกระดาษ แรดหินก็พุ่งออกจากกระดาษขาว กระโดดลงไปสยบภูตน้ำที่อยู่ในน้ำ นับแต่นั้นมาคลื่นลมก็นิ่งสงบ สุยจิ่งเฉิงเข้าไปจุดธูปในศาลพร้อมกับเฉินผิงอัน เถ้าแก่ร้านขายธูปที่จุดเชิญธูปคือคู่สามีภรรยาหนุ่มสาว ภายหลังพอไปถึงท่าเรือ สุยจิ่งเฉิงพบว่าสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นขึ้นรถม้ามาด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงได้นั่งคุกเข่าก้มกราบ บอกว่าขอร้องให้ท่านเซียนพาพวกเขาข้ามแม่น้ำไปด้วย
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบตกลง สุดท้ายเฉินผิงอันและสุยจิ่งเฉิงกับสามีภรรยาคู่นั้น รวมไปถึงรถม้าก็โดยสารเรือข้ามฟากลำใหญ่ยักษ์ข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน พอขึ้นมาบนฝั่ง รถม้าขับออกมาได้หลายลี้แล้ว สามีภรรยาหนุ่มสาวก็เปิดปากขอลงจากรถ สุยจิ่งเฉิงที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารกับสามีภรรยาหนุ่มสาวค่อนข้างจะเบียดเสียด และนางก็สังเกตเห็นเรื่องประหลาดอีกหลายเรื่อง ตอนที่รถม้าข้ามแม่น้ำมา สามีภรรยาคู่นั้นเหงื่อแตกท่วมตัวราวกับกลัวว่าเรืออาจล่มได้ทุกเมื่อ คนทั้งสองนั่งตัวแนบชิดติดกัน จับมือกันไว้ ท่าทางราวกับมองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิ ทำเอาสุยจิ่งเฉิงเป็นกังวลไปด้วย เข้าใจผิดคิดว่าในแม่น้ำใหญ่จะมีภูตออกอาละวาดและอาจคว่ำเรือให้จมได้ทุกเมื่อ แต่พอคิดว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่นั่งอยู่ด้านนอก จิตใจนางก็สงบลงได้มาก
หลังจากสามีภรรยาลงจากรถก็คุกเข่าก้มกราบอีกครั้ง ถึงขั้นเป็นการกราบด้วยพิธีใหญ่สามโขกเก้าคำนับ
สุยจิ่งเฉิงเห็นว่าผู้อาวุโสไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิมรับพิธีการใหญ่นี้ เพียงแต่ว่าพอสามีภรรยาหนุ่มสาวที่น้ำตาคลอคู่นั้นลุกขึ้นยืน ผู้อาวุโสกลับพูดว่า “ภูตผีปีศาจทำความดีสะสมบุญ มรรคาไร้ความลำเอียง ย่อมต้องได้รับการปกป้อง”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกเพียงว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากมาย เพราะพอคู่สามีภรรยาได้ยินประโยคนี้กลับทำท่าเหมือนได้รับอภัยโทษ แล้วก็คล้ายว่าได้รับการกรอกเทสติปัญญา ถึงขั้นทำท่าจะลงไปคุกเข่าอย่างจริงใจอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าคราวนี้ผู้อาวุโสกลับยื่นมือมาประคองบุรุษหนุ่มเอาไว้ “ไปเถิด ภูเขาสายน้ำยาวไกล มหามรรคายากลำบาก จงรักษาตัวให้ดี”
สามีภรรยาหนุ่มสาวไม่ได้เดินไปบนทางหลวง แต่เดินออกจากเส้นทางไป พอห่างไปไกลคู่สามีภรรยาก็หยุดเดินแล้วหันกลับมา คนหนึ่งค้อมเอวประสานมือคารวะ อีกคนหนึ่งยอบตัวถอนสายบัว
จากนั้นรถม้าก็ขับเข้าไปในทางสายเล็กเส้นหนึ่ง สุยจิ่งเฉิงที่กำลังจะถามถึงเรื่องสามีภรรยาคู่นั้นพลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่ามีริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อนที่เทพเกราะทองในมือถือทวนเหล็กจะมาปรากฏตัวอยู่บนถนน
เฉินผิงอันหยุดรถม้า พลิ้วกายลงบนพื้น กุมหมัดสองข้าง จากนั้นจึงถามว่า “พวกเรากระทำการไปโดยพลการ ได้ทำให้เทพวารีลำบากใจหรือไม่?”
เทพเกราะทองที่มีสีหน้าเคร่งขรึมส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้มีกฎเกณฑ์พันธนาการ ข้ามีภาระหน้าที่ติดตัว จึงไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้ สามีภรรยาคู่นั้นควรได้รับโชควาสนานี้ เพราะทำความดีจึงได้รับการปกป้องจากท่าน แม้ตรากตรำลำบากมาร้อยปี แต่สุดท้ายก็ข้ามผ่านมหานทีนี้ไปได้”
องค์เทพเกราะทองเปิดทางให้ด้วยการขยับตัวเบี่ยงข้าง ทวนเหล็กในมือทิ่มลงบนพื้นดินเบาๆ “เทพน้อยน้อมส่งท่านเดินทางไกล”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะอีกครั้ง คลี่ยิ้มเอ่ยอำลา แล้วย้อนกลับไปที่รถม้า บังคับรถขับเคลื่อนผ่านองค์เทพเกราะทองที่เฝ้าพิทักษ์แม่น้ำสายนี้ไปช้าๆ
สุยจิ่งเฉิงเงียบงันไปนาน สุดท้ายถามเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโส นี่ก็คือการฝึกตนจนประสบความสำเร็จกระมัง? สามารถทำให้เทพเกราะทองที่มีอายุขัยยาวนานท่านหนึ่งเป็นฝ่ายเปิดทางน้อมส่งผู้อาวุโสด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันกลับตอบไม่ตรงคำถาม เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าควรต้องรู้ว่า บนภูเขาไม่ได้มีแค่พวกคนอย่างเฉาฟู่ และในยุทธภพก็ไม่ได้มีแค่คนอย่างเซียวซูเย่ เรื่องบางเรื่องต่อให้ข้าบอกกับเจ้ามากแค่ไหน ก็ไม่สู้ให้เจ้าไปประสบพบเจอด้วยตัวเอง”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!