กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 522

สรุปบท บทที่ 522.4 สุราในยุทธภพ กระดกดื่มหมดรวดเดียว: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 522.4 สุราในยุทธภพ กระดกดื่มหมดรวดเดียว จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 522.4 สุราในยุทธภพ กระดกดื่มหมดรวดเดียว คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

แต่ไหนแต่ไรมาแคว้นจิ่งหนันก็มีพลังการต่อสู้ทางน้ำที่โดดเด่นมาโดยตลอด เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งรองจากราชวงศ์ต้าจ้วนและราชวงศ์ต้ากวานที่อยู่ทางใต้เท่านั้น แต่แทบจะไม่เคยมีกองทัพทหารม้าที่ก่อตั้งอย่างเป็นจริงเป็นจังเพื่อเข้าสู่สมรภูมิรบอย่างแท้จริงมาก่อน เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ แม่ทัพบู๊ที่เป็นพระประยูรญาติผู้นั้นได้กว้านซื้อม้าศึกมาจากแคว้นโฮ่วเหลียงที่มีชายแดนติดต่อกันทางทิศตะวันตก ถึงได้สามารถก่อตั้งกองทัพม้าที่มีจำนวนประมาณสี่พันนายขึ้นมาได้ น่าเสียดายก็แต่การกรีฑาทัพกลับไร้ชัยชนะ ไปเจอเข้ากับหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งของแคว้นอู่หลิงเข้า เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้ขี่ม้าแล้วมีหกขาก็ยังไล่ตามไม่ทัน ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้สำเร็จ เมื่อมีรายงานทางการทหารหลุดรอดมา ปีนั้นถึงได้ยกทัพถอยกลับไป

หันกลับมามองทหารม้าและพลเดินเท้าของแคว้นอู่หลิงที่เมื่ออยู่บนอาณาเขตของหลายสิบแคว้นกลับไม่โดดเด่น ถึงขั้นพูดได้ว่าค่อนข้างจะไม่ได้เรื่อง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพม้าแคว้นจิ่งหนันที่ให้ความสำคัญเฉพาะกับการรบทางน้ำมาโดยตลอดก็ถือว่าได้เปรียบเสมอมา

ดังนั้นในฐานะที่สุยจิ่งเฉิงเป็นคนของแคว้นอู่หลิงจึงรู้สึกว่าเมื่อกองทหารลาดตระเวนสองกลุ่มนี้มาเจอกัน ต้องเป็นทหารฝ่ายของตนที่คว้าชัยชนะอย่างแน่นอน

ทว่าสถานการณ์บนสนามรบกลับเกิดจุดจบที่เอนเอียงไปข้างหนึ่ง หลังจากที่ทหารลาดตระเวนทั้งสองฝ่ายมาพบเจอกันบนเส้นทางที่ทอดยาว ก็ไม่เหลือพื้นที่ว่างใดๆ ให้พวกเขาย้อนกลับหลัง ผู้นำของทหารลาดตระเวนทั้งสองฝ่ายเองก็ไม่มีความลังเลใจใดๆ

พวกเขาไม่ได้แผดเสียงร้องตะโกน เพียงแต่ควบม้าพุ่งบุกไปด้านหน้าด้วยความเงียบงัน

หลังจากผลัดยิงธนูเข้าใส่กันอยู่หลายรอบ ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตาย ทหารลาดตระเวนของแคว้นจิ่งหนันก็พอจะคว้าชัยชนะเล็กๆ ไว้ได้ สามารถยิงธนูให้ทหารลาดตระเวนห้าคนของแคว้นอู่หลิงบาดเจ็บและล้มตายไปได้ ส่วนทางฝ่ายทหารม้าของแคว้นจิ่งหนันกลับมีคนตายแค่สองและบาดเจ็บหนึ่งเท่านั้น

พวกเขาชักดาบต่อสู้กันอีกครั้ง

ทั้งสองพุ่งสวนผ่านไหล่กันไป

ทหารลาดตระเวนของแคว้นอู่หลิงที่แอบลอบเข้าไปในแคว้นศัตรูมีคนบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นอีก

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายสลับตำแหน่งกันบนสนามรบแล้ว ทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิงสองคนที่บาดเจ็บจนผลัดตกจากหลังม้าก็พยายามจะหนีออกไปจากเส้นทาง แต่กลับถูกทหารลาดตระเวนหลายคนของแคว้นจิ่งหนันที่ในมือถือคันธนูยิงเข้าใส่ศีรษะและลำคอ

ทหารลาดตระเวนของแคว้นจิ่งหนันที่พลัดร่วงตกจากหลังม้าซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนามรบมีจุดจบที่อนาถยิ่งกว่า เพราะถูกลูกธนูหลายดอกปักตรึงเข้าที่ใบหน้า หน้าอก และยังถูกทหารม้าคนหนึ่งที่หันตัวเบี่ยงข้างค้อมเอวตวัดดาบฟันเข้าที่ลำคออย่างแม่นยำ เลือดสดไหลนองอาบพื้น

ทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิงที่สนามรบอยู่ทางทิศใต้มีเพียงทหารม้าคนหนึ่งที่ขี่ม้าสองตัวควบทะยานลงใต้ไปต่อ

อันที่จริงทหารลาดตระเวนของทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้แค่ขี่ม้ากันคนและตัว เพียงแต่การเปิดฉากเข่นฆ่าบนเส้นทางคับแคบ เมื่อต้องเร่งร้อนพุ่งทะยานออกไป ม้าศึกที่พยายามจะติดตามเจ้านายข้ามเข้าไปยังขบวนรบของฝ่ายตรงข้ามก็มักจะถูกการทะลวงขบวนของอีกฝ่ายยิงหรือฟันตายให้ได้มากที่สุด

ดังนั้นทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิงหนึ่งคนสองม้าผู้นั้นจึงได้ม้ามาจากสหายอีกคนที่ยอมยกพาหนะให้อย่างเด็ดเดี่ยว

ไม่อย่างนั้นหนึ่งคนหนึ่งม้าก็ไม่มีทางไปได้ไกล

ส่วนทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิงคนอื่นๆ ก็พากันหันหัวม้ากลับ เป้าหมายของพวกเขานั้นง่ายดายมาก นั่นคือเอาชีวิตมาสกัดกั้นการไล่ฆ่าของทหารลาดตระเวนฝั่งศัตรู

แน่นอนว่ายังมีทหารลาดตระเวนที่ไม่มีม้าศึกผู้นั้นอีกคนที่สูดลมหายใจเข้าลึก ถือดาบยืนปักหลักนิ่ง

บนสนามรบ ในเรื่องของการทั้งรบทั้งถอยร่นนั้น ทหารม้ากองใหญ่ไม่กล้าทำ ทว่าทหารลาดตระเวนที่เชี่ยวชาญและมีฝีมือแกร่งกล้าที่สุดในกองทัพม้าอย่างพวกเขากลับพอจะทำได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งพวกเขาเองและทหารม้าคนนั้นก็ยากที่จะทิ้งระยะห่างจากพวกคนเถื่อนแคว้นจิ่งหนันได้

กองกำลังของทั้งสองฝ่ายสูสีกัน เพียงแต่ว่าเดิมทีศักยภาพก็มีความแตกต่าง หลังจากทะลวงขบวนรบมาได้หนึ่งครั้ง บวกกับที่ฝั่งของแคว้นอู่หลิงมีหนึ่งคนสองม้าหนีรอดไปจากสนามรบได้ ดังนั้นพลังการต่อสู้จึงยิ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ครู่หนึ่งต่อมา

ก็คือศพที่นอนเกลื่อนพื้น

ทหารลาดตระเวนแคว้นจิ่งหนันมีหกม้าสามคนที่ไล่ตามไปเงียบๆ

ส่วนคนอื่นๆ เมื่อพลทหารอายุน้อยคนหนึ่งออกคำสั่งก็พลิกตัวลงจากหลังม้า ใช้ธนูเบาปักลงไปบนหน้าผากของทหารลาดตระเวนบาดเจ็บที่นอนอยู่บนพื้น เสียงปึกดังหนึ่งครั้ง ลูกธนูก็ปักตรึงเข้าไปในศีรษะ

แล้วก็มีทหารลาดตระเวนของแคว้นจิ่งหนันสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังทหารม้าฝั่งศัตรูคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัส แล้วก็เริ่มแข่งกันยิงธนูโดยมีเป้าเป็นศีรษะของศัตรู ฝ่ายที่พ่ายแพ้อับอายจนกลายเป็นความโกรธ จึงชักดาบออกมา ก้าวเดินเร็วๆ ไปข้างหน้าฟันศีรษะทหารผู้นั้นดังฉับ หัวกระเด็นหล่นร่วงพื้น

ทหารหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ยกเท้ากระทืบลงบนศพศพหนึ่งของทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิง ใช้ใบหน้าของศพที่อยู่บนพื้นมาเช็ดคราบเลือดบนดาบศึกในมือตัวเองช้าๆ

ทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิงที่นอนอยู่บนพื้นคนหนึ่งซึ่งเดิมทีควรจะบาดเจ็บหนักแล้วตายไป อยู่ดีๆ ก็หันหน้าไม้ยิงใส่ศัตรูคนหนึ่งที่เดินมาใกล้เขาเพื่อตัดหัวนำไปรับความดีความชอบ ฝ่ายหลังไม่มีที่ให้หลบเลี่ยงจึงเตรียมจะยกมือขึ้นบังใบหน้าตัวเองตามจิตใต้สำนึก

ทหารบู๊หนุ่มผู้นั้นคล้ายจะคาดเดาได้นานแล้ว เขาไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ เพียงโยนดาบศึกที่อยู่ในมือออกไป คมดาบก็ตัดเข้าที่แขนข้างที่ถือหน้าไม้ของคนผู้นั้นพอดี ทหารลาดตระเวนแคว้นจิ่งหนันที่เพิ่งถูกช่วยชีวิตคนนั้นเดือดดาลอย่างหนัก ดวงตาที่ถลึงกว้างเริ่มมีเส้นเลือดฝอยปรากฎ เขาก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า หมายจะสับทหารลาดตระเวนที่แขนขาดให้เละ คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มที่อยู่ห่างไปไกลจะเอ่ยว่า “อย่าฆ่าคนระบายความแค้น ให้เขาตายไปเร็วๆ หน่อย ไม่แน่ว่าวันใดพวกเราก็อาจจะต้องมีจุดจบเช่นนี้”

แม้ว่าไฟโทสะในใจของทหารลาดตระเวนแคว้นจิ่งหนันผู้นั้นจะสูงเทียมฟ้า แต่ก็ยังพยักหน้ารับ เดินไปข้างหน้าเงียบๆ แล้วเอาดาบแทงเข้าที่ลำคอของคนที่อยู่บนพื้น พอบิดข้อมือหนึ่งครั้งก็ชักดาบออกอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปไม่นานเท่าไร ทหารลาดตระเวนสามคนที่จากไปก็ย้อนกลับมา ในมือมีศีรษะของทหารม้าแคว้นอู่หลิงที่ยากจะหนีพ้นหายนะผู้นั้นเพิ่มมาด้วย ศพที่ไร้หัวของเขาถูกวางไว้บนหลังของม้าตัวหนึ่ง

ทหารบู๊หนุ่มรับดาบศึกมาจากมือของทหารลาดตระเวนคนหนึ่งที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา สอดดาบกลับเข้าฝักเบาๆ แล้วเดินไปยังข้างศพที่ไร้ศีรษะ ค้นจนเจอรายงานทางการทหารปึกหนึ่งที่อีกฝ่ายรวบรวมมาได้

ทหารบู๊หนุ่มยืนพิงม้าศึก อ่านรายงานเหล่านั้นอย่างละเอียด พอคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เงยหน้าสั่งความว่า “ไปเก็บศพพี่น้องตัวเองให้ดี ส่วนทหารลาดตระเวนฝ่ายศัตรูก็ตัดหัวแล้วรวบรวมศพมาไว้ ขุดหลุมหาที่ฝังพวกเขาให้เรียบร้อย”

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งพูดบ่นอย่างไม่พอใจว่า “กู้เปียวจ่าง งานสกปรกที่เหน็ดเหนื่อยแบบนี้ เดี๋ยวพวกกองทัพที่ปักหลักอยู่บริเวณใกล้เคียงก็มาทำเองนั่นแหละ”

พลทหารหนุ่มคลี่ยิ้ม “ไม่ได้ให้พวกเจ้าเหนื่อยเปล่าหรอก ศีรษะของผู้นำสองหัวนั้น พวกเจ้าปรึกษากันเองแล้วกันว่าครั้งนี้จะมอบให้ใคร”

เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นทันใด

สุดท้ายทหารลาดตระเวนของแคว้นจิ่งหนันที่พลังการต่อสู้น่าตะลึงกลุ่มนี้ก็ห้อทะยานจากไป

บนต้นไม้กลางป่าลึกข้างทาง สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าซีดขาว นางไม่เอ่ยอะไรสักคำมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

เฉินผิงอันถาม “เหตุใดถึงไม่ขอให้ข้าลงมือช่วยคนเหล่านั้น?”

สุยจิ่งเฉิงทำเพียงแค่ส่ายหน้า

คนทั้งสองจูงม้าออกมาจากป่าลึก เฉินผิงอันพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วก็หันหน้าไปมองยังสุดปลายทางของถนน ทหารบู๊หนุ่มผู้นั้นมาปรากฎตัวอยู่ไกลๆ แต่เขาไม่ได้ควบม้าตรงมาด้านหน้า ครู่หนึ่งต่อมา คนผู้นั้นก็ยิ้มกว้าง ผงกศีรษะให้กับคนชุดเขียว จากนั้นก็ชักหัวม้าหันกลับจากไปอย่างเงียบเชียบ

สุยจิ่งเฉิงเอ่ยถาม “คือยอดฝีมือยุทธภพที่ซ่อนตัวอยู่ในกองทัพหรือ?”

เฉินผิงอันกระทุ้งสีข้างม้าเบาๆ หนึ่งคนหนึ่งม้าเหยาะย่างไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า เขาส่ายหน้าตอบว่า “เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสามได้ไม่นานเท่าไร น่าจะเป็นขอบเขตที่เขาขัดเกลามาจากการเข่นฆ่าบนสนามรบ ร้ายกาจอย่างมาก”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกคลางแคลงใจเล็กน้อย

เฉินผิงอันเดินนิ่งไม่หยุด แต่ก็ยังเอ่ยเนิบช้าว่า “ดังนั้นผู้ฝึกตนจึงไม่แตะต้องฝุ่นผงในโลกโลกีย์ อยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์ หาใช่ว่าพวกเขาจะเย็นชาแล้งน้ำใจ ใจดำอำมหิตไปเสียทั้งหมด ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ก็ไม่เป็นไร ข้าเองก็เพิ่งจะค่อยๆ เข้าใจหลังจากที่เริ่มฝึกตนอย่างแท้จริงแล้วทดลองใช้สายตาอีกอย่างหนึ่งไปมองคนบนโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าทบทวนกระดานหมากของเมืองเล็กยอดเขาเจิงหรง เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ในกระดานหมากนั้น เจ้าคิดว่าใครควรถูกช่วย? ควรจะช่วยเหลือใคร? หลินซูที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนอย่างโง่งม? หรือว่าบัณฑิตที่วางแผนให้ตัวเองได้มีชีวิตรอดคนนั้น? หรือจะเป็นพวกคนหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็ต้องไปตายอยู่ในห้องโถงใหญ่ของพรรคเจิงหรง? ดูเหมือนว่าจะเป็นคนประเภทหลังที่สมควรถูกช่วยเหลือมากที่สุด แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ช่วยเหลือพวกเขามาแล้ว หลินซูจะทำอย่างไร การกู้คืนกิจการใหญ่แห่งแคว้นของบัณฑิตจะทำอย่างไร มองไปไกลอีกหน่อย ฮ่องเต้แคว้นจินเฟยและฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือเลว สองฝ่ายนี้ใครกันแน่ที่มีคุณูปการต่อชาวประชาของหนึ่งแคว้นมากที่สุด เจ้าอยากรู้หรือไม่? คนในยุทธภพรู้ความจริงอยู่แก่ใจ แต่ก็ยังยินดีที่จะกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญเพื่อองค์ชายราชวงศ์ก่อนผู้นั้นล่ะ ควรจะทำอย่างไร? เจ้าเป็นคนดี จิตใจฮึกเหิม ปล่อยกระบี่รวดเร็วดุจสายรุ้งออกไปแล้ว สาแก่ใจมากนักหรือ?”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับเบาๆ นางนั่งขัดสมาธิอยู่ริมหน้าผา ปล่อยให้ลมเย็นๆ พัดใส่ใบหน้า นางปลดหมวกคลุมหน้าลง เส้นผมสีนิลตรงหน้าผากและจอนหูจึงส่ายสะบัดไม่หยุดนิ่ง

เฉินผิงอันเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่ได้นั่งลง “เป็นคนดี ไม่ใช่ความรู้สึกของข้า ทำความดี ไม่ใช่ความคิดของข้า ดังนั้นการเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่ไม่ดี แต่ควรจะมองให้มากและมองให้ไกลยิ่งกว่าเดิม”

เฉินผิงอันเอาไม้เท้าเดินป่าที่ไม่ได้ปรากฏตัวมานานออกมา มือทั้งสองค้ำยันไม้เท้าแล้วโยกเบาๆ “แต่เมื่อมีผู้ฝึกตนมากขึ้นก็ยุ่งยากอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะผู้แข็งแกร่งที่แสวงหาอิสระเสรีอย่างสัมบูรณ์ก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และคนประเภทนี้ต่อให้ลงมือเบาๆ แค่ครั้งสองครั้ง สำหรับคนบนโลกมนุษย์ก็ล้วนเป็นเรื่องรุนแรงพลิกฟ้าคว่ำดินทั้งสิ้น สุยจิ่งเฉิง ข้าถามเจ้า ม้านั่งตัวหนึ่งนั่งนานไปจะโยกคลอนหรือไม่?”

สุยจิ่งเฉิงคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็น่าจะ…เป็นไปได้มากกระมัง?”

เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเก้าอี้ที่โยกได้เลยหรือ?”

สุยจิ่งเฉิงไม่เอ่ยอะไร กะพริบตาปริบๆ สีหน้าไร้เดียงสา

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง?”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

สกุลสุยคือตระกูลคนรวยอันดับหนึ่งของแคว้นอู่หลิง

เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง ยิ้มกล่าวว่า “แล้วแบบนี้จะให้ข้าพูดอย่างไรต่อเล่า?”

ดังนั้นเขาจึงเก็บไม้เท้าแล้วกลับไปเดินนิ่งต่ออีกครั้ง

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดีใจอย่างไม่มีสาเหตุด้วย

นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่มันจะเป็นอะไรไปเล่า

ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ห่างจากท่าเรือตระกูลเซียนแคว้นลวี่อิงแห่งนั้นอีกตั้งไกล แล้วพวกเขาก็ไม่ได้เดินทางกันเร็วสักหน่อย

นางพลันหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ข้าอยากดื่มเหล้า!”

คนผู้นั้นเอ่ย “หากจ่ายเงินซื้อก็สามารถพูดคุยกันได้ แต่ถ้าไม่ก็อย่าหวัง”

นางยิ้มตอบ “ต่อให้แพงแค่ไหนก็ซื้อ!”

ผลกลับกลายเป็นว่าคนผู้นั้นส่ายหน้า “แค่ดูก็รู้แล้วว่าจะให้เชื่อไว้ก่อน อย่าหวังเลย”

สุยจิ่งเฉิงทอดถอนใจหนึ่งที แล้วก็ทิ้งตัวนอนหงายทั้งอย่างนั้น ดวงดาวดารดาษบนม่านฟ้าประหนึ่งเลื่อมร้อยอัญมณีที่งดงามที่สุดซึ่งแขวนอยู่ด้านบนเหนือแสงตะเกียงในหมื่นครัวเรือนของโลกมนุษย์

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!