หวังตุ้นหยุดชะงักไปชั่วครู่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “ถ่วงเวลาการฝึกกระบี่ของเจ้า ในใจอาจารย์ก็รู้สึกผิด แต่พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ได้เห็นเจ้าคอยยุ่งวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ในใจของอาจารย์ก็ให้รู้สึกปลาบปลื้ม รู้สึกว่าปีนั้นรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ สืบทอดวิชากระบี่ให้เจ้าเป็นเรื่องที่ทำให้สบายใจอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อาจารย์ก็ยังต้องเอ่ยประโยคจากใจจริงกับเจ้าสักคำ”
หวังจิ้งซานขยับนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “อาจารย์เชิญกล่าว ศิษย์รับฟังอยู่”
หวังตุ้นคลี่ยิ้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “จิ้งซาน หากวันได้รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยแล้ว เบื่อหน่ายกิจธุระในหมู่บ้านพวกนี้จริงๆ อยากจะพกกระบี่ออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง ก็ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องรู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย เจ้ามาหาอาจารย์ได้อย่างเปิดเผย ถือสุราดีๆ มาสักกาหนึ่ง เมื่ออาจารย์ดื่มเหล้าของเจ้าแล้วก็จะไปส่งเจ้าเอง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่อยากกลับบ้านก็กลับมา พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้วก็ค่อยออกไปท่องยุทธภพใหม่ ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ แล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”
หวังจิ้งซานอืมรับหนึ่งที
เด็กสาวพกดาบที่นั่งอยู่โต๊ะติดกันน้ำตาเอ่อคลอ
พอคิดถึงว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่อยู่ในหมู่บ้านแล้ว หากศิษย์พี่ใหญ่หวังจิ้งซานก็จากไปอีกคน นั่นก็จะต้องเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมากแน่นอน
แต่ที่ทำให้เด็กสาวยิ่งรู้สึกเสียใจ เป็นเพราะดูเหมือนว่าอาจารย์จะแก่แล้ว
หวังจิ้งซานพลันเอ่ยว่า “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นข้าจะออกไปท่องยุทธภพเดี๋ยวนี้เลยนะ?”
หวังตุ้นอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะร่า “อย่าเพิ่งๆ วันนี้อาจารย์ดื่มเหล้าไปเยอะแล้ว ที่พูดกับเจ้าก็เป็นแค่ถ้อยคำของคนเมาที่ไม่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังสิ ต่อให้คิดเป็นจริงเป็นจังก็รออีกสักหน่อย ตอนนี้หมู่บ้านยังต้องพึ่งพาเจ้าให้เป็นเสาคานสำคัญ…”
เด็กสาวกลอกตามองบน หันหน้าไปทางอื่นแล้วฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ
อาจารย์ที่ยามอยู่ต่อหน้าคนกันเองจะไม่เคยมีมาดของปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อยผู้นี้ ช่างน่าเบื่อจริงๆ
แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ฟู่ก็ดี หรือศิษย์พี่หวังจิ้งซานก็ช่าง ล้วนรู้ดีว่ายามที่เป็นหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งของยุทธภพแคว้นอู่หลิง และยามที่เป็นอาจารย์ที่ขี้เกียจไปเสียทุกเรื่องเมื่ออยู่ในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว คือคนสองคน
นางและศิษย์น้องเล็กคนนั้นก็เชื่อในเรื่องนี้เหมือนกัน
เพราะฟู่โหลวไถและหวังจิ้งซานต่างก็เคยท่องยุทธภพกับอาจารย์มาก่อน
ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้อาจารย์เคยมีความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนบนภูเขาอยู่หลายครั้ง และยังเคยมีการเข่นฆ่าหลายครั้งที่เกือบจะต้องเอาชีวิตไปแลก
และเหตุผลที่อาจารย์ลงมือ คำบอกเล่าของศิษย์พี่หญิงใหญ่ฟู่โหลวไถและศิษย์พี่หวังจิ้งซานล้วนเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน นั่นก็คืออาจารย์ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ ฟู่โหลวไถและหวังจิ้งซานกลับไม่เพียงแต่ไม่นึกตำหนิอาจารย์แม้แต่น้อย กลับกันในดวงตาของพวกเขายังคล้ายจะเต็มไปด้วยประกายเจิดจ้า
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนั้นวิ่งมาถึงร้านเหล้าอย่างรวดเร็วราวกับสายลม แล้วนั่งแปะลงบนม้านั่งตัวยาวที่อาจารย์หวังตุ้นเป็นผู้นั่ง เบียดแนบชิดกับเขา
ในเรื่องของเคารพครูบาอาจารย์นี้ ในบรรดาลูกศิษย์ของหวังตุ้นก็มีเพียงเด็กหนุ่มนี่แหละที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ อีกทั้งยังไม่มีความหวาดเกรงเลยแม้แต่น้อย
หวังตุ้นยิ้มถาม “เป็นอย่างไร ได้รับผลเก็บเกี่ยวบ้างหรือไม่?”
เด็กหนุ่มทอดถอนใจเอ่ยว่า “หลูต้าหย่งเจียวพลิกแม่น้ำผู้นั้นคุยโวเกินจริง ฝอยจนน้ำลายกระเด็นเต็มหน้าข้า ทำให้ข้าต้องคอยป้องกันอาวุธลับอย่างน้ำลายของเขาอย่างระมัดระวัง อีกอย่างจอมยุทธใหญ่หลูผู้นี้พูดไปพูดมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่คำเท่านั้น ข้าไม่ใช่เทพเซียนจริงๆ เสียหน่อย ไม่อาจใคร่ครวญถึงปณิธานของกระบี่บินออกมาได้มากนัก ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่หวังโชคดีกว่าศิษย์พี่หญิงเล็กอยู่มาก ไม่อย่างนั้นตอนนี้ข้าคงได้กลายเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว”
หวังจิ้งซานยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยววันหน้าข้าก็ควรไปขอบคุณจอมยุทธใหญ่หลูที่ออมปากออมคำสินะ?”
เด็กหนุ่มโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ถึงอย่างไรวิชากระบี่ของข้าจะเหนือกว่าศิษย์พี่อย่างท่าน หากไม่ใช่วันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้”
หวังจิ้งซานยิ้มกล่าว “อ้อ?”
เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ไม่ใช่ปีนี้ก็เป็นปีหน้า!”
หวังจิ้งซานไม่เอ่ยอะไรอีก
แม้จะบอกว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้พูดจาส่งเดชไร้กฎเกณฑ์
แต่ในเรื่องของการฝึกกระบี่นั้น
เด็กหนุ่มกลับเป็นคนที่มีกฎเกณฑ์ที่สุดในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!