แคว้นซูสุ่ย ในช่วงที่อากาศร้อนที่สุด ซ่งอวี่เซาออกจากหมู่บ้านไปยังเหลาสุราที่คุ้นเคย นั่งตรงตำแหน่งเดิม กินหม้อไฟที่ไอร้อนลอยกรุ่นผุดพุ่ง
ผู้เฒ่าพูดพึมพำกับตัวเองอย่างลำพองใจ “ไอ้หนู เห็นแล้วหรือยัง นี่ต่างหากที่เรียกว่าเผ็ดที่สุด เมื่อก่อนเป็นเพราะเห็นแก่รสปากของเจ้า วิชากระบี่ของเจ้าแข็งแกร่งกว่า แต่เรื่องกินเผ็ดนี้ ข้าคนเดียวก็สามารถโค่นเจ้าเฉินผิงอันได้หลายคน”
แคว้นไฉ่อี หญิงชรารูปร่างผอมแห้งคนหนึ่งนอนป่วยอยู่บนเตียง มือที่เหี่ยวย่นข้างหนึ่งของนางถูกสตรีที่นั่งอยู่บนหัวเตียงกุมเอาไว้เบาๆ
หญิงชราที่เป็นดั่งตะเกียงน้ำมันแห้งขอดพยายามฝืนลืมตาขึ้น พูดพึมพำว่า “นายท่าน ฮูหยิน เหล้าปีนี้ยังไม่ได้หมักเลย…หากคุณชายเฉินมาก็คงไม่ได้ดื่มเหล้าแล้ว”
น้ำตาเอ่อกลบดวงตาสตรีแต่งงานแล้ว นางโน้มตัวลงเบาๆ พูดเสียงกระซิบว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว เหล้าของปีนี้ข้าจะหมักให้เอง”
หญิงชรายังพึมพำอะไรต่อ ทว่าเสียงกลับเบาเหมือนเสียงยุงแล้ว “ยังมีเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาวที่คุณชายเฉินชอบกินที่สุดอีก ฮูหยินจำไว้ว่าต้องเอาถ้วยขาวใบใหญ่ใส่เหล้าให้เขา อย่าใช้จอกหเล้า…เดิมทีนี่เป็นเรื่องหยุมหยิมที่บ่าวควรจะทำเอง คงได้แต่รบกวนฮูหยินแล้ว ฮูหยินอย่าลืมนะ อย่าลืมนะ”
……
ตอนนั้นเมื่อชุยตงซานออกมาจากสำนักศึกษากวานหู โจวจวี่ก็รู้สึกว่านี่คือคนมหัศจรรย์คนหนึ่ง
หลังจากชุยตงซานจากมาได้ไม่นานเท่าไร สำนักศึกษากวานหูและสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
นับตั้งแต่อริยะเจ้าขุนเขาไปจนถึงรองเจ้าขุนเขาแต่ละท่าน นักปราชญ์วิญญูชนทุกคน ทุกปีจะต้องเอาเวลาที่มากพอไปเปิดคาบเรียนอบรมสั่งสอนตามสำนักศึกษาหรือกั๋วจื่อเจียน (สถาบันการศึกษาอย่างหนึ่งในสมัยโบราณ) ตามราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ
ไม่ใช่แค่อริยะถ่ายทอดวิชาให้วิญญูชน วิญญูชนถ่ายทอดความรู้ให้นักปราชญ์ นักปราชณ์สอนหนังสือให้กับบัณฑิตในโรงเรียนอีกต่อไป
ในอาณาเขตทั้งหมดของต้าหลี นอกจากโรงเรียนเอกชนแล้ว โรงเรียนตามชนบท อำเภอและเมืองทุกแห่ง ทางราชสำนักแคว้นใต้อาณัติหรือที่ว่าการของพื้นที่ต่างๆ จะต้องเพิ่มเงินให้แก่คนสอนหนังสือ ส่วนจะเพิ่มให้มากน้อยเท่าไรก็ให้พิจารณาตามเหตุการณ์ดูไปตามความเหมาะสม คนที่สอนหนังสือมายี่สิบปีขึ้นไป จะได้รับเงินค่าตอบแทนก้อนหนึ่งในคราวเดียว หลังจากนั้นทุกๆ สิบปีก็จะเพิ่มเงินเดือนให้อีก ทุกคนล้วนได้รับเงินรางวัลนอกเหนือจากเงินเดือนหนึ่งก้อน
วันนี้เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ในที่สุดก็ชมงิ้วเรื่องหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบได้จบ เขาจึงเผยตัวพลิ้วกายลงในเรือนเศรษฐีที่ไม่เหลือคนรอดชีวิตแห่งนั้น
สุดท้ายเขาก็มานั่งเคียงไหล่เด็กสาวอายุน้อยที่มีสถานะเป็นสาวใช้อยู่บนราวระเบียง
เด็กสาวต้องมาเดือดร้อนไปด้วยเพราะฮูหยินที่ลอบคบชู้สู่ชาย ชายชาตรีพี่น้องบุญธรรมคู่หนึ่งที่ไล่ฆ่าคนมาตลอดทางจนถึงเรือนด้านหลัง มาเจอกับนางที่ผ่านทางมาพอดี นางจึงถูกพวกเขาใช้มีดแทงตาย
ฮูหยินคนนั้นมีสภาพอเนจอนาถยิ่งกว่า เพราะถูกนายท่านของเรือนที่เคียดแค้นสุดขีดแล่เนื้อเถือหนังให้ตายทั้งเป็น
ตอนนั้นสายตาของน้องชายบุญธรรมที่เปิดโปงเรื่องฉาวระหว่างพี่สะใภ้กับบุรุษชายชู้ฉายแววเร่าร้อน มือที่กำมีดสั่นสะท้านเบาๆ
ครั้งแรกที่เขาได้เจอกับพี่สะใภ้ สตรีคลี่ยิ้มงดงามดุจบุปผาผลิบาน หลังจากทักทายเขาแล้วก็เดินนวยนาดเข้าไปยังเรือนด้านใน ตอนที่เลิกผ้าม่านเดินข้ามผ่านธรณีประตู นางสะดุดรองเท้าปักลายบุปผาจึงร่วงหลุด สตรีหยุดเดิน แต่กลับไม่ได้หันตัวกลับ เพียงใช้ปลายเท้าเกี่ยวรองเท้าขึ้นมาสวม แล้วจึงเดินเนิบช้าข้ามผ่านธรณีประตูออกไป
หลังจากนั้นมาเขาก็พยายามอดทนข่มกลั้นตัวเอง เพียงแต่ว่าอดมองนางอยู่หลายครั้งไม่ไหว ดังนั้นเขาถึงได้ไปเห็นเรื่องสกปรกนั้น
ชุยตงซานวางสองมือไว้บนหัวเข่า พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายกับสาวใช้น่าสงสารข้างกายที่ตายอย่างไม่เหลือโอกาสรอดอีกแล้วผู้นั้นว่า “วิถีทางโลกในอนาคตอาจจะดียิ่งกว่าเดิม หรืออาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ใครเล่าจะรู้ได้”
……
เด็กหนุ่มเลือดผสมที่สะพายชั้นวางกระบี่ขนาดใหญ่ กระบี่ผุพังแต่ละเล่มวางเรียงรายเหมือนนกยูงรำแพนหางกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกับอาจารย์ของเขาช้าๆ
ก่อนหน้านี้อาจารย์พาเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นพื้นที่ต้องห้ามของใต้หล้าแห่งนั้น ด้านในมีบัลลังก์มากมายลอยตัวอยู่กลางอากาศ ระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน
อาจารย์พาเขาไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่เป็นของอาจารย์
“อาจารย์ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่กับอาเหลียงเพื่อนของท่าน ใครกันที่ออกกระบี่ได้เร็วกว่า?”
“บอกได้ยาก”
“อาจารย์ เหตุใดท่านถึงเลือกข้าเป็นลูกศิษย์? ข้าคิดแล้วก็ไม่เคยเข้าใจ ก่อนหน้าวันนี้ อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยกล้าคิดสักเท่าไร”
“เพราะว่าเจ้าคือคนที่มีความหวังว่าจะออกกระบี่ได้เร็วที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเรา บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้กลายเป็นมือกระบี่ที่ได้ยืนอยู่หน้าสุดของสมรภูมิรบ แต่ในอนาคตเจ้าจะต้องกลายเป็นมือกระบี่ที่ช่วยคุมท้ายขบวนอยู่ด้านหลังสุดได้อย่างแน่นอน”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างขลาดกลัว “ข้าจะเปรียบเทียบกับอาจารย์ได้อย่างไร?”
บุรุษกุมลำคอของเด็กหนุ่มแล้วยกตัวเขาลอยขึ้นช้าๆ “เจ้าสามารถสงสัยว่าตัวเองคือเศษสวะที่ตบะในการฝึกตนพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า เป็นพันธ์ผสมที่มีชาติกำเนิดไม่ดีได้ แต่เจ้าไม่สามารถสงสัยในแววตาของข้าได้”
ชายฉกรรจ์ใช้มือหนึ่งบีบคอของเด็กหนุ่ม อีกมือหนึ่งชี้นิ้วไปยังบัลลังก์แต่ละตัวที่ลอยอยู่กลางอากาศ แนะนำให้เขารู้ว่าเป็นตำแหน่งของใคร
สุดท้ายเขาปล่อยมือออก พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “หากเจ้าทำได้ แล้วหากวันใดเห็นพวกเขาแล้วรู้สึกขวางหูขวางตา ก็แค่ออกกระบี่ให้น้อยกว่าอาจารย์ก็พอ”
“แต่เมื่อไหร่ที่ข้าแน่ใจว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่มีทางทำได้ เจ้าก็สามารถตายได้ ไม่ใช่ทุกคนที่มีพรสวรรค์ดีเหมือนเจ้าแล้วจะได้รับโชควาสนาเช่นเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องรู้จักทะนุถนอมและเห็นค่าทุกเวลานาทีในปัจจุบันให้ดี”
……
นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวกับนักพรตเด็กหนุ่มที่ไม่สวมกวานเต๋าเริ่มออกท่องไปใต้หล้าด้วยกัน
ทั้งสองต่างก็เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าที่แยกสถานะของระบบเต๋าไม่ออก
ฝ่ายแรกมีข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวต่อฝ่ายหลัง ทำตามใจปรารถนา การกระทำทุกอย่างขอเพียงคล้อยไปตามเจตจำนงดั้งเดิม ไม่จำเป็นต้องไปนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
ทว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ พละกำลังของตัวเขาเองต้องมากพอ อย่าได้รนหาที่ตาย
นักพรตเด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามคำถามหนึ่ง “สามารถฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อได้หรือไม่?”
นักพรตหนุ่มยิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับ ตอบกลับด้วยสองคำว่า “แน่นอน” หลังจากหยุดชะงักไปครู่ก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกสี่คำ “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”
นักพรตเด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
จากนั้นนักพรตหนุ่มก็ถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าบริสุทธิ์? แล้วรู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าฆ่าพร่ำเพื่อ?”
นักพรตเด็กหนุ่มจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด
นักพรตหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ “เมื่อก่อนเจ้ารู้ ต่อให้จะเพียงแค่ผิวเผินก็ตาม ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าคนคนหนึ่งหากฉลาดเกินไปก็ไม่ค่อยดี ในอดีตข้าเคยถามคำถามที่คล้ายคลึงกันนี้ คำตอบที่ได้มากลับดีกว่าเจ้า ดีกว่ามากนัก”
เด็กหนุ่มสีหน้าซีดขาว
เพราะว่าศิษย์พี่เล็กผู้นี้
คือเจ้าลัทธิลู่เฉิน เจ้าของป๋ายอวี้จิงคนปัจจุบัน
ต่อให้เด็กหนุ่มจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋า
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์พี่เล็กที่ใช้ฝ่ามือเดียวตบให้ตนเป็นกองเนื้อเละๆ เด็กหนุ่มจึงเกิดความเคารพหวาดเกรงจากใจจริง
ตอนแรกที่ออกมาจากป๋ายอวี้จิง ลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เคยเผชิญความลำบากเล็กๆ น้อยๆ ระดับล่างสุดมาแล้ว แล้วก็เคยเสวยสุขอย่างคนตระกูลเซียนในป๋ายอวี้จิงมาก่อน จากนั้นยังได้ตายไปหนึ่งครั้ง หลังจากนี้ก็ควรจะเรียนรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ดีๆ ได้อย่างไร ควรจะลงไปเดินเส้นทางสายกลางระหว่างบนภูเขากับล่างภูเขาบ้างแล้ว”
ตอนนั้นเขาถามลู่เฉิน “ศิษย์พี่เล็ก ต้องใช้เวลาหลายปีหรือไม่?”
ตอนนั้นลู่เฉินตอบว่า หากเรียนได้เร็ว เวลาไม่กี่สิบปีก็เพียงพอแล้ว แต่หากเรียนได้ช้า หลายร้อยปีถึงหนึ่งพันปีก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
สุดท้ายลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “วางใจเถอะ หากตายไป มรรคกถาของศิษย์พี่เล็กนับว่าไม่เลว สามารถช่วยเจ้าได้อีกครั้ง”
ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่นักพรตเด็กหนุ่มตายแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ เรือนกายเนื้อหนังมังสาร่างนี้ของเขาก็เรียกได้ว่าเป็นกระดูกเต๋าแต่กำเนิดอย่างที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้ หากฝึกตนจะสามารถพัฒนาไปได้พันลี้ภายในหนึ่งวัน ‘เกิดมา’ ก็เป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตสามช่องโพรงต่างก็มีอาวุธเซียนสามชิ้นวางอยู่นิ่งๆ รอให้เขาไปหล่อหลอมมันช้าๆ
ตามคำบอกของลู่เฉินศิษย์พี่เล็ก นั่นคือของขวัญที่ศิษย์พี่ทั้งสามท่านเตรียมไว้ให้เขา ให้เขารับไปอย่างสบายใจ
นอกจากนี้ สมบัติชิ้นที่แย่ที่สุดของนักพรตเด็กหนุ่มก็คือชุดคลุมอาคมอาวุธกึ่งเซียนที่มีชื่อว่า ‘เมล็ดบัว’ ซึ่งเขาสวมใส่อยู่ตอนนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!