ภูมิประเทศของแคว้นเป่ยเยี่ยนราบเรียบ หลังจากที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็ขยันขันแข็งในการปกครองบ้านเมือง อีกทั้งยังมีสถานที่เลี้ยงม้าอยู่สองแห่ง จึงเป็นเหตุให้พลังการต่อสู้ของกองทัพม้าเหนือกว่าแคว้นจิ่งหนันและแคว้นอู่หลิงอยู่มาก ขยับขึ้นไปเหนืออีกนิดก็คือแคว้นลวี่อิงที่นับแต่โบราณมาก็มีเรื่องเล่าของเซียนแพร่หลายมากมาย ในบทประพันธ์และนิยายเรื่องเล่าแปลกประหลาดส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวพันกับภูตน้ำและเจียวหลง
สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมใบหน้า อีกทั้งยังมีชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่สวมใส่ไว้บนร่าง แม้ว่าจะเป็นช่วงที่อากาศร้อนแผดเผา ดวงตะวันส่องแสงแรงกล้า แต่ยามขี่ม้าเดินทางเวลากลางวันก็ยังคงไม่เป็นปัญหามากนัก กลับกันกลายเป็นว่าคนต้องคอยดูแลม้ามากกว่า
วันนี้คนทั้งสองหยุดม้าอยู่ใต้ร่มไม้ริมตลิ่ง น้ำในลำคลองใสกระจ่าง รอบด้านไร้ผู้คน นางจึงปลดหมวกคลุมหน้าลง ถอดรองเท้าถุงเท้า เมื่อเอาเท้าทั้งสองจุ่มเข้าไปในน้ำ นางก็พรูลมหายใจออกมายาวๆ
ผู้อาวุโสนั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล เขาหยิบพัดพับไผ่หยกเล่มหนึ่งออกมา แต่กลับไม่ได้โบกพัดเอาลมเย็นเข้าใส่ตัว เพียงแค่คลี่หน้าพัดแล้วโบกเบาๆ ด้านบนมีตัวอักษรเหมือนจอกแหนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ผู้อาวุโสเล่าให้ฟังว่าเป็นตัวอักษรตระกูลเซียนที่ดึงมาจากเรือยันต์วิเศษลำหนึ่งของจวนบนภูเขาที่มีชื่อว่าสวนน้ำค้างวสันต์
อันที่จริงสุยจิ่งเฉิงค่อนข้างเป็นกังวลกับอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโส ไหล่ข้างซ้ายถูกธนูที่แข็งแกร่งของผู้ฝึกตนลูกหนึ่งแทงทะลุจนเป็นรู แล้วยังถูกค่ายกลยันต์รัดพันร่าง สุยจิ่งเฉิงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เหตุใดผู้อาวุโสถึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ได้ ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ผู้อาวุโสเพียงแค่นวดคลึงมือข้างขวาบ่อยๆ เท่านั้น
สุยจิ่งเฉิงหันหน้ามาถาม “ผู้อาวุโส เป็นนักฆ่าที่อาจารย์ของเฉาฟู่และตำหนักเกล็ดทองส่งตัวมาหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บอกได้แค่ว่านี่คือความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุด ลักษณะพิเศษของนักฆ่ากลุ่มนั้นบอกให้รู้อย่างชัดเจนว่ามาจากพรรคของผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป แม้จะเรียกว่าพรรค แต่นอกเหนือจากชื่อว่าภูเขาเกอลู่แล้ว กลับไม่มีภูเขาที่เป็นรากฐานที่ตั้งอย่างแท้จริง นักฆ่าทุกคนล้วนถูกเรียกขานว่าคนไร้หน้า ผู้ฝึกตนของสามลัทธิเก้าสาขาร้อยสำนักล้วนสามารถเข้าร่วมได้ แต่ได้ยินมาว่ามีกฎเกณฑ์ค่อนข้างมาก จะเข้าร่วมอย่างไร จะฆ่าคนอย่างไร รับเงินมากน้อยเท่าไร ล้วนมีกฎเกณฑ์”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ภูเขาเกอลู่ยังมีกฎที่ใหญ่ที่สุดอยู่อีกข้อหนึ่ง รับเงินมา ส่งนักฆ่าไปลงมือ จะฆ่าแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่สำเร็จก็จะรับเงินค่ามัดจำแค่ครึ่งเดียว ไม่ว่าคนจะบาดเจ็บล้มตายไปมากแค่ไหนก็ตาม เงินอีกครึ่งที่เหลือก็จะไม่มีทางไปทวงจากผู้จ้าง และหลังจากจบเรื่องแล้ว ภูเขาเกอลู่ก็จะไม่มีทางลงมือกับคนที่นักฆ่าลอบสังหารแล้วไม่สำเร็จก ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าภูเขาเกอลู่จะมาลอบโจมตี”
สุยจิ่งเฉิงถอนหายใจหนึ่งครั้ง พูดอย่างเสียใจและรู้สึกผิดว่า “จะว่าไปแล้วก็ยังคงเป็นเพราะข้าอยู่ดี”
อย่าเห็นว่าตลอดทางมานี้ผู้อาวุโสมีท่าทีผ่อนคลายสบายๆ แต่สุยจิ่งเฉิงที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมกลับรู้ดีว่าการลอบฆ่าคราวนั้น ผู้อาวุโสรับมือได้ไม่ง่ายนัก
เฉินผิงอันหุบพัด พูดเนิบช้าว่า “บนเส้นทางของการฝึกตน โชคและเคราะห์มักมาพร้อมกันเสมอ ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ล้วนทนทรมานผ่านพ้นกันมาเช่นนี้ อุปสรรคอาจมีเล็กมีใหญ่ แต่ความเล็กใหญ่ของเรื่องทุกข์ยากแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไปตามบุคคล ข้าเคยเจอคู่รักบนภูเขาที่เป็นห้าขอบเขตล่างคู่หนึ่ง ผู้ฝึกตนหญิงไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดได้เสียทีเพียงเพราะขาดเงินเกล็ดหิมะไม่กี่ร้อยเหรียญ หากยังถ่วงเวลาล่าช้าต่อไป เรื่องดีก็จะกลายเป็นเรื่องร้าย และยังอาจเป็นภัยที่อันตรายถึงชีวิต คนทั้งสองจึงได้แต่เสี่ยงอันตรายเข้าไปในชายหาดโครงกระดูกทางทิศใต้เพื่อเอาชีวิตไปเดิมพันกับทรัพย์สินเงินทอง ตลอดเส้นทางนั้นสองสามีภรรยาต้องได้รับความทุกข์ทรมานทางจิตใจ เจ้าว่าพวกเขาไม่ลำบากหรือ? ไม่เพียงแต่ใช่ ยังเป็นความลำบากที่ไม่เล็กอีกด้วย ไม่ได้ผ่อนคลายไปกว่าตลอดทางที่เจ้าเดินทางมานับตั้งแต่ในศาลานั้นเลย”
สุยจิ่งเฉิงหัวเราะทันใด “ผู้อาวุโสไปเจอพวกเขาโดยบังเอิญก็เลยช่วยพวกเขาใช่ไหม?”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร
สุยจิ่งเฉิงรู้คำตอบได้ทันที
เฉินผิงอันใช้พัดพับชี้ไปที่สุยจิ่งเฉิง
นางยิ้มอย่างเข้าใจ ขยับขานั่งขัดสมาธิ หลับตาลง สงบจิตใจแล้วเริ่มเข้าฌานทำสมาธิ ฝึกตนตามคาถาวิชาเซียนที่บันทึกอยู่ใน ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนั้น
ยามที่ผู้ฝึกตนเข้าฌานทำสมาธิ บริเวณรอบด้านจะมีริ้วคลื่นลมปราณกระเพื่อมอย่างแผ่วเบา ยุงและแมลงไม่อาจเข้าใกล้ สามารถต้านทานไอร้อนและความหนาวได้ด้วยตัวเอง
แม้ว่าสุยจิ่งเฉิงจะยังฝึกตนได้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็พอจะมีเค้าโครงของภาพบรรยากาศเหล่านั้นแล้ว นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ก็เหมือนกับปีนั้นที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขาอยู่ในเมืองเล็ก ถึงแม้ว่าท่าหมัดจะยังไม่มั่นคง แต่ปณิธานหมัดกลับไหลรินไปทั่วร่าง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นผู้ปกป้องมรรคาของหม่าขู่เสวียนที่มาจากภูเขาเจินอู่ผู้นั้นที่มองออกในปราดเดียว ดังนั้นจึงบอกว่าพรสวรรค์ของสุยจิ่งเฉิงดีมากจริงๆ เพียงแต่ไม่ทราบว่าเหตุใดพอยอดฝีมือที่เดินทางผ่านมาในปีนั้นมอบของสามชิ้นให้นางแล้วก็เงียบหายไปเลย ไม่มีข่าวคราวมาตลอดสามสิบกว่าปี และเห็นได้ชัดว่าปีนี้สุยจิ่งเฉิงต้องพบเจอกับหายนะใหญ่บนเส้นทางการฝึกตน ตามหลักแล้วยอดฝีมือคนนั้นที่ต่อให้จะอยู่ไกลไปเป็นพันเป็นหมื่นลี้ แต่ก็น่าจะยังรับสัมผัสถึงความลี้ลับมหัศจรรย์นี้ได้บ้าง
เกี่ยวกับรูปโฉมและน้ำเสียงของยอดฝีมือคนนั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาด ตัวเขาเองก็คล้ายคลึงกับสมุดเล่มเล็กที่สุยจิ่งเฉิงสามารถมองเห็นแต่ไม่อาจอ่านได้ออก ไม่อย่างนั้นลมปราณก็จะยุ่งเหยิงวุ่นวาย หัวสมองมึนงงดวงตาพร่าเลือน
เมื่อหลายปีก่อนสุยจิ่งเฉิงเคยสอบถามคนเฒ่าคนแก่ในจวน พวกเขาต่างก็บอกว่าจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว แม้แต่สุยซินอวี่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่เล่าเรียนมาตั้งแต่เด็ก เวลาเห็นอะไรผ่านตาแล้วไม่เคยลืมก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น
เฉินผิงอันรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่เวทอำพรางตาบนภูเขาทั่วไปแล้ว
หลังจากสุยจิ่งเฉิงลืมตาขึ้น เวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม มีแสงรัศมีเรืองรองไหลวนอยู่ทั่วร่าง ชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ก็มีปราณวิญญาณเอ่อล้นออกมา ประกายแสงสองขุมจึงช่วยขับดันกันและกันให้โดดเด่น ประหนึ่งน้ำและไฟที่ผสานเข้าด้วยกัน เพียงแต่ว่าคนธรรมดาจะมองเห็นเป็นเพียงความพร่าเลือน แต่เฉินผิงอันกลับสามารถมองเห็นได้มากกว่านั้น เมื่อสุยจิ่งเฉิงหยุดการโคจรลมปราณ ภาพเหตุการณ์ประหลาดบนร่างก็หายวับไปในทันใด เห็นได้ชัดว่าชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ตัวนั้นเป็นสิ่งที่ยอดฝีมือตั้งใจคัดสรรมาให้นาง ทำให้การฝึกวิชาเซียนที่บันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กของสุยจิ่งเฉิงสามารถเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์เท่าตัว เรียกได้ว่าเขาเองก็ตั้งใจและหวังดีต่อนางมากจริงๆ
ภาพปรากฎการณ์สูงส่งยาวไกล แสงสว่างเจิดจ้าพร่าตา
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีความคิดโน้มเอียงไปในทางที่ว่ายอดฝีมือคนนั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อสุยจิ่งเฉิง
เพียงแต่ว่าก็ยังต้องดูกันไปทีละก้าว เพราะถึงอย่างไรบนเส้นทางการฝึกตน ระมัดระวังหนึ่งหมื่นเรื่อง ทว่าทุกเรื่องที่ทำมาก็อาจจะเสียเปล่าเพียงเพราะการไม่ระวังเพียงเรื่องเดียว
คนทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่ได้จงใจอำพรางร่องรอย กลับกันยังทิ้งเบาะแสมาตลอดทาง ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในเมืองเล็กของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว หากเดินทางกันไปเช่นนี้จนไปถึงแคว้นลวี่อิงแล้วยอดฝีมือท่านนั้นยังไม่ปรากฏตัว เฉินผิงอันก็ได้แต่ส่งสุยจิ่งเฉิงขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนไปยังสำนักพีหมาที่อยู่บนชายหาดโครงกระดูก แล้วค่อยให้นางเดินทางไปยังท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวของแจกันสมบัติทวีป อิงตามความต้องการของสุยจิ่งเฉิงเอง ให้นางไปเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของชุยตงซาน ติดตามชุยตงซานฝึกตน เชื่อว่าภายหลังหากมีวาสนาต่อกันจริงๆ สุยจิ่งเฉิงย่อมต้องได้พบเจอกับยอดฝีมือคนนั้นและสืบสานวาสนาอาจารย์และศิษย์ต่อกันอีกครั้งอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!