กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 524

สรุปบท บทที่ 524.2 พบเจอเจียวหลงบนบกริมตลิ่งลำคลองใหญ่: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 524.2 พบเจอเจียวหลงบนบกริมตลิ่งลำคลองใหญ่ – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 524.2 พบเจอเจียวหลงบนบกริมตลิ่งลำคลองใหญ่ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

หยุดท่าหมัดแล้วเฉินผิงอันก็เริ่มจับพู่กันวาดยันต์ วัสดุของกระดาษยันต์ล้วนเป็นกระดาษสีเหลืองที่ธรรมดาที่สุด เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนักพรตห้าขอบเขตล่างทั่วไปที่อย่างมากสุดก็ได้แต่ใช้ผงเงินผงทองบดมาทำเป็น ‘น้ำหมึก’ วาดยันต์ เฉินผิงอันได้ซื้อผงชาดบนภูเขามาจากถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์ไม่น้อย ขวดไหกองกันเป็นพะเนิน ส่วนใหญ่ราคาขวดละสองถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ไหกระเบื้องขนาดใหญ่ที่แพงที่สุดมีมูลค่าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ระหว่างที่เดินทางมานี้ เฉินผิงอันใช้ยันต์หลากหลายสีสันไปไม่ต่ำกว่าสามร้อยแผ่น ศึกการลอบโจมตีในหุบเขาก็ได้ช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าบางครั้งการเอาชนะด้วยจำนวนก็มีเหตุผลเหมือนกัน

สุยจิ่งเฉิงมีโชคไม่เลว นางกวาดค้นเจอตำราลับสองเล่มมาจากร่างของอาจารย์ค่ายกลผู้นั้น เล่มหนึ่งเป็นตำราภาพยันต์ อีกเล่มหนึ่งคือการอธิบายถึงวิชาค่ายกลที่หน้าขาดหายไป และยังมีตำราอีกเล่มหนึ่งที่เป็นเหมือนสมุดบันทึกซึ่งเขียนตามความเข้าใจของตัวเอง บันทึกสิ่งที่อาจารย์ค่ายกลบรรลุมานับตั้งแต่ที่เรียนวิชายันต์อย่างละเอียด เฉินผิงอันให้ความสำคัญกับสมุดบันทึกเล่มนี้มากที่สุด

แน่นอนว่ายังมีเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างระดับขั้นไม่ต่ำบนร่างของชายฉกรรจ์ร่างกำยำอีกชิ้นหนึ่ง รวมไปถึงคันธนูขนาดใหญ่และลูกธนูอักขระยันต์ทั้งหมด

บวกกับมีดอักขระสองเล่มของนักฆ่าหญิงซึ่งแยกกันสลักคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ กับ ‘แสงสายัณห์’

น่าเสียดายที่ไม่มีเงินเทพเซียนแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว

ศึกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ใกล้เคียงกับการล้อมฆ่าในพื้นที่มงคลดอกบัวมากที่สุด

ทำให้เฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับได้รับผลประโยชน์มหาศาล

เคยมีวันหนึ่งอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงทบทวนกระดานหมากล้อมกับสุยจิ่งเฉิง สุยจิ่งเฉิงถามอย่างประหลาดใจว่า “ที่แท้ผู้อาวุโสก็เป็นคนถนัดซ้าย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ว่าหลังจากข้าฝึกวิชาหมัด ออกจากเมืองเล็กที่เป็นบ้านเกิดมาได้ไม่นานเท่าไรก็แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้ถนัดซ้ายมาโดยตลอด”

ผู้ฝึกกระบี่บนผิวน้ำที่เป็นผู้นำนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มนั้นเลือกที่จะสังเกตสถานการณ์อยู่เงียบๆ ก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้นคนผู้นี้จึงตรวจสอบการกระจายตัวของศพทหารแคว้นเป่ยเยี่ยนที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้นซ้ำอีกครั้ง บวกกับที่มือที่เฉินผิงอันกำดาบแทงแม่ทัพทหารม้าแคว้นเป่ยเยี่ยนเป็นมือขวา เขาถึงได้มั่นใจว่าตัวเองได้มองเห็นความจริง แล้วจึงบอกให้นักฆ่าของภูเขาเกอลู่ที่มีวิชาอันเป็นสมบัติก้นกรุร่ายวิชาอภินิหารของลัทธิพุทธออกมากักกันมือขวาของเฉินผิงอันเอาไว้ ความแข็งแกร่งของวิชาลับนี้ รวมไปถึงโรคร้ายที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง สามารถดูออกจากการที่จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังได้รับอิทธิพลจากมันอยู่ไม่น้อย

อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้เลยว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาจะมีวิชาลับที่แปลกประหลาดเช่นนี้ด้วย

ดังนั้นมองดูเหมือนเฉินผิงอันจับผลัดจับผลูโชคดี ทำให้การคิดคำนวณของอีกฝ่ายผิดพลาด

แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่ก็คือวิธีการที่เฉินผิงอันใช้ท่องยุทธภพ นั่นคือตั้งสมมติฐานว่าตัวเองตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ถูกล้อมสังหารอยู่ตลอดเวลา

สุยจิ่งเฉิงอดไม่ไหวจริงๆ จึงถามว่า “ผู้อาวุโสเป็นแบบนี้ไม่เหนื่อยหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เคยชินจนกลายเป็นธรรมชาติไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า การใช้เหตุผลที่ซับซ้อน มองดูเหมือนเปลืองแรงกายแรงใจ แต่อันที่จริงหากคุ้นชินแล้วกลับจะกลายเป็นว่ายิ่งผ่อนคลาย ถึงเวลานั้นเมื่อเจ้าออกหมัดออกกระบี่อีกครั้งก็จะยิ่งเข้าใกล้ขอบเขตที่ว่าฟ้าดินไร้พันธนาการมากขึ้น ไม่เพียงแค่ว่าหนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่ของเจ้ามีพลังพิฆาตมากน้อยแค่ไหน แต่เป็น…ฟ้าดินให้การยอมรับ ผสานสอดคล้องกับมหามรรคา”

สุยจิ่งเฉิงในเวลานั้นต้องไม่เข้าใจแน่ว่า ‘ฟ้าดินไร้พันธนาการ’ เป็นท่วงท่าที่องอาจมากแค่ไหน ยิ่งไม่เข้าใจว่าคำกล่าวที่ว่า ‘ผสานสอดคล้องกับมหามรรคา’ นี้มีความหมายลึกซึ้งยาวไกลเท่าไร

วันที่สอง ม้าสองตัวก็ทยอยไปเยือนศาลเทพภูเขาศาลเทพวารีสองแห่งที่เป็นเพื่อนบ้านกัน แล้วจึงออกเดินทางต่ออีกครั้ง

ห่างจากแคว้นลวี่อิงที่ตั้งอยู่บนชายหาดตะวันออกของอุตรกุรุทวีปอีกไม่ไกลแล้ว

ม้าทั้งสองตัวเหยาะย่างไปอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ฟ้าดินคือเตาเผาขนาดใหญ่ ดวงอาทิตย์คือถ่านที่คอยหุงต้ม หมื่นสรรพสิ่งถูกหล่อหลอม มนุษย์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกงัวเงียเหมือนจะหลับ อยู่ๆ ก็ได้ยินถ้อยคำของผู้อาวุโสอย่างที่หาได้ยาก นางจึงรีบทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า “ผู้อาวุโส นี่คือคำกล่าวของตระกูลเซียนหรือ? มีความหมายลึกซึ้งอะไรหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เป็นประโยคหนึ่งที่เพื่อนรักของข้าได้ยินมาจากอาจารย์ที่สอนพวกเราเผาเครื่องปั้น ตอนนั้นพวกเราต่างก็อายุไม่มาก จึงคิดแค่ว่ามันเป็นประโยคที่น่าสนใจประโยคหนึ่ง ผู้เฒ่าไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับข้า และในความเป็นจริงแล้ว หากจะพูดให้ถูกก็คือเขาแทบไม่เคยเต็มใจอยากจะพูดกับข้า ต่อให้ไปหาดินที่เหมาะในการทำเครื่องปั้นจากในภูเขาลึกด้วยกัน อาจต้องอยู่ในภูเขานานสิบวันหรือครึ่งเดือน พวกเราสองคนก็คุยกันไม่เกินสองสามคำเท่านั้น”

สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างตกตะลึง “สำนักของผู้อาวุโสยังต้องเผาเครื่องปั้นอีกหรือ? บนภูเขามีจวนตระกูลเซียนที่เป็นเช่นนี้ด้วยหรือไร?”

เฉินผิงอันเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว เขาพยักหน้ารับ “มีสิ”

สุยจิ่งเฉิงถามอย่างระมัดระวัง “หากเป็นเช่นนี้ เพื่อนสนิทคนนั้นของผู้อาวุโสจะไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนสูงยิ่งกว่าท่านอีกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเป็นเรื่องพรสวรรค์ในการฝึกตนก็บอกได้ยาก แต่ความสามารถในการเผาเครื่องปั้น ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไล่ตามเขาไม่ทัน เขามองแค่ไม่กี่ครั้งก็ทำเป็นแล้ว แต่ข้าอาจต้องคลำทางอยู่หลายเดือน สุดท้ายก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่ดี”

สุยจิ่งเฉิงถามอีก “ผู้อาวุโส เป็นเพื่อนกับคนแบบนี้จะไม่รู้สึกกดดันหรือ?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ

ม้าทั้งสองข้ามผ่านชายแดนแคว้นเป่ยเยี่ยนและแคว้นลวี่อิงเข้ามา ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งนั้นอยู่ห่างไปอีกแค่สองร้อยกว่าลี้เท่านั้น

ท่าเรือมีชื่อว่าท่าเรือหัวมังกร เป็นพื้นที่ส่วนตัวของพรรคฝนธัญพืชซึ่งเป็นตระกูลเซียนลำดับต้นๆ ของแคว้นลวี่อิง เล่าลือกันว่าบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของพรรคฝนธัญพืชเคยประลองหมากล้อมกับฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นลวี่อิง เป็นฝ่ายแรกที่อาศัยความสามารถอันโดดเด่นในการเล่นหมากล้อม ‘พ่ายแพ้’ จนได้ภูเขาลูกหนึ่งมาครอง

สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมใบหน้า มือถือไม้เท้าเดินป่า กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แต่นางก็รู้สึกอัดอั้นตันใจเล็กน้อย ต่อให้ยอดฝีมืออย่างผู้อาวุโสแซ่ชุยจะมีวิชาอภินิหารเช่นนี้จริงๆ เป็นเซียนบนภูเขาจริงๆ แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?

สุยจิ่งเฉิงรู้ดีว่าการฝึกตนเป็นเรื่องที่ต้องเผาผลาญเวลามากแค่ไหน ถ้าอย่างนั้นอายุขัยของผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ยาวนานหลายรอบหกสิบปี หรืออาจถึงขั้นหลายร้อยปี จะเทียบกับสิ่งที่คนในยุทธภพประสบพบเจอมาได้จริงๆ หรือ? จะมีเรื่องราวมากขนาดนั้นเชียวหรือ? ไปอยู่บนภูเขาแล้ว ปิดด่านทีก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปี ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ก็ต้องพิถีพิถันเรื่องที่ว่าห้ามแตะต้องฝุ่นผงในโลกโลกีย์ เดินผ่านมาอย่างเดียวดาย แล้วย้อนกลับไปบนภูเขาอย่างไม่ให้เสียเวลา การฝึกตนให้มีชีวิตเป็นอมตะเช่นนั้นจะไร้ทุกข์ไร้กังวลได้จริงๆ หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนคนหนึ่งฝึกตนอย่างสงบแล้วบนเส้นทางการขึ้นเขาจะไม่มีหายนะจริงๆ เสียหน่อย เพราะก็อาจจะต้องตัวตายและมรรคาดับสลายได้เหมือนกัน มีหน้าด่านมากมายกั้นขวาง คอขวดยากจะฝ่าทะลุ คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจทัศนียภาพบนภูเขาได้ ต่อให้จะงดงามตระการตาแค่ไหน แต่รอจนได้เห็นมาหลายสิบปีหลายร้อยปีจะไม่รู้สึกเบื่อเลยจริงๆ หรือ?

จิตใจสุยจิ่งเฉิงวุ่นวายหงุดหงิดเล็กน้อย

เฉินผิงอันหยุดเดิน ก้มลงหยิบหินสองสามก้อนขึ้นมาแล้วโยนลงในลำคลอง

สุยจิ่งเฉิงหันหน้าเข้าหาผืนน้ำ ลมแรงพัดให้ผ้าโปร่งของหมวกคลุมหน้าแนบติดใบหน้าของนาง ชุดกระโปรงก็สะบัดพลิ้วไปรวมกันในแถบหนึ่ง

เส้นทางริมน้ำสายนี้มีคนเดินกันไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่เดินทางสัญจรผ่านท่าเรือหัวมังกร

มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งขี่ม้าผ่านมา พอเห็นนางเข้าดวงตาก็เป็นประกายวาบ เขาดึงบังเหียนรั้งม้าหยุดกะทันหัน แล้วตบหน้าอกตัวเองอย่างแรงพลางหัวเราะร่าเสียงดังว่า “แม่นางคนนี้ ไม่สู้ติดตามนายท่านใหญ่อย่างข้าไปลิ้มรสเผ็ดร้อนดีกว่า! เจ้าหนุ่มหน้าขาวข้างกายเจ้าผู้นี้ มองดูแล้วน่าจะไม่ได้ความสักเท่าไร”

สุยจิ่งเฉิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ชายฉกรรจ์ทะยานตัวขึ้นแล้วพลิ้วกายลงข้างกายสุยจิ่งเฉิง มือหนึ่งตวัดลงมาในแนวเฉียงหมายตบสะโพกกลมมนของนาง

ไม่รอให้เขาทำสำเร็จ นาทีถัดมาชายฉกรรจ์ก็ร่วงตกลงไปในลำคลอง

เป็นเพราะถูกเฉินผิงอันจับหัวแล้วผลักออกไปเบาๆ ร่างของเขาก็ลอยกระแทกลงไปในลำคลองอย่างแรง

หินก้อนนี้ทำให้ลูกน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นรีบตะกายน้ำว่ายขึ้นไปยังแม่น้ำตอนบน ปากก็ร้องโหยหวน จากนั้นก็เป่าปากหนึ่งครั้ง ม้าตัวนั้นก็เริ่มขยับกีบเท้าควบตะบึงไปด้านหน้า ไม่มีท่าทีว่าจะกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาให้เจ้านายแม้แต่น้อย

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!