เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เกี่ยวกับเป้าประสงค์ของสามลัทธิ ท่านหลิวมีความเข้าใจอย่างไร?”
ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “บางอย่างก็ยังตื้นเขินอยู่มาก ลัทธิพุทธไม่ยึดติดสิ่งใด ต้องการให้ทุกคนวางมีดในมือลง แล้วเหตุใดถึงมีการแบ่งแยกเถรวาทกับมหายาน? ในช่วงเวลาที่วิถีทางโลกไม่ค่อยดี การข้ามผ่านตัวเองอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ ต้องข้ามผ่านคนอื่นด้วย ลัทธิเต๋าแสวงหาความสงบสุข หากคนบนโลกมนุษย์สามารถสงบสะอาด ไร้ความปรารถนาไร้ความต้องการ แน่นอนว่าโลกต้องสงบสุข ทุกผู้ทุกคนไร้ทุกข์ไร้กังวลได้นานเป็นพันเป็นหมื่นปี น่าเสียดายที่มรรคกถาของมรรคาจารย์เต๋าสูงส่งเกินไป ดีนั้นก็ดีจริงอยู่ แต่น่าเสียดายที่สติปัญญาของผู้คนเปิดออก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด คนฉลาดกระทำเรื่องที่ฉลาดมีมากขึ้นทุกที มรรคกถาย่อมต้องว่างเปล่า ลัทธิพุทธยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดจนแทบจะกลบทับห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์ น่าเสียดายที่ภิกษุผู้ถ่ายทอดพระธรรมไม่ได้เข้าใจหลักพระธรรมอย่างเที่ยงแท้ทุกคนเสมอไป ในสายตาของมรรคาจารย์เต๋าไร้คนนอก ต่อให้หมาและไก่ได้บินขึ้นสรรค์ไปด้วย แต่จะพาไปได้มากน้อยแค่ไหน? มีเพียงลัทธิขงจื๊อเท่านั้นที่ยากลำบากมากที่สุด หลักการเหตุผลในตำราสลับซับซ้อน แม้จะบอกว่าโดยภาพรวมแล้วเป็นเหมือนร่มเย็นของต้นไม้ใหญ่ แต่น่าเสียดายที่สามารถทำให้คนร่มเย็นได้ก็จริง แต่หากเงยหน้ามองไปจริงๆ กลับดูเหมือนว่าทุกที่ล้วนมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ง่ายที่จะทำให้คนร่วงตกลงไปยังเมฆหมอก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถามว่า “หากข้าจำไม่ผิด ท่านหลิวไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ถ้าอย่างนั้นบนเส้นทางของการฝึกตน ท่านแสวงหาคำว่า ‘หมื่นอาคมบนโลกมิอาจพันธนาการข้า’ หรือว่า ‘ทำตามใจปรารถนาได้โดยที่ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์’?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “อย่างแรกยากที่จะแสวงหาสาเหตุ และตัวข้าเองก็ไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไร ดังนั้นจึงเป็นอย่างหลัง ก่อนหน้านี้ท่านเอ่ยคำว่า ‘จิตดั้งเดิมไม่เปลี่ยน หลักการเหตุผลแปรเปลี่ยน’ ประโยคนี้ลึกกินใจของข้า คนเราล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง วิถีทางโลกก็กำลังเปลี่ยนแปลง แม้แต่ประโยคโบร่ำโบราณที่พวกเราเอ่ยว่า ‘ไม่สะทกสะท้านดุจขุนเขา’ แต่อันที่จริงขุนเขาก็กำลังแปรเปลี่ยน ดังนั้นประโยคนี้ของท่านที่บอกว่าทำตามใจปรารถนาได้โดยไม่ละเมิดกฎ จึงเป็นขอบเขตที่อริยะสมควรมีซึ่งลัทธิขงจื๊อเชิดชูมาโดยตลอด น่าเสียดายที่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นั่นก็ยังเป็นความอิสระที่มีขอบเขตอย่างหนึ่ง หันกลับมามองผู้ฝึกตนมากมายบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่ใกล้กับยอดเขาก็ยิ่งพยายามแสวงหาความอิสระอย่างสมบูรณ์โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ใช่ว่าข้ารู้สึกว่าคนพวกนี้ล้วนเป็นคนเลว ไม่มีคำพูดที่ง่ายดายขนาดนี้ ในความเป็นจริงแล้วคนที่สามารถมีอิสระได้อย่างสมบูรณ์อย่างแท้จริงก็ล้วนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ ทั้งนั้น”
ฉีจิ้งหลงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ผู้แข็งแกร่งที่ได้เสวยสุขกับอิสระอย่างเต็มที่พวกนี้ ทุกคนล้วนมีจิตใจที่หนักแน่นอย่างถึงที่สุด มีตบะที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด โดยไม่มีข้อยกเว้น หรือควรจะพูดว่าทั้งด้านการฝึกจิตใจและพละกำลังล้วนถึงขีดสุดทั้งสิ้น”
หลังจากได้รับคำตอบ เฉินผิงอันก็ถามคำถามหนึ่งที่ตอนนั้นเขาไม่สามารถถามมันได้จากสุยจิ่งเฉิง “หากจะบอกว่าวิถีทางโลกคือโต๊ะเก้าอี้ที่โยกคลอนหละหลวมตัวหนึ่ง ผู้ฝึกตนไม่ได้อยู่ในขอบเขตของโต๊ะและเก้าอี้นั้นแล้ว ควรจะทำอย่างไร?”
ฉีจิ่งหลงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ประคับประคองมันไปก่อน หากมีใจแล้วก็มีกำลัง ถ้าอย่างนั้นก็สามารถค่อยๆ เอาตะปูตัวสองตัวตอกลงไปอย่างระมัดระวัง หรือไม่ก็นั่งลงด้านข้างแล้วซ่อมแซมมัน”
อารมณ์ของฉีจิ่งหลงพลันบังเกิด เขามองไปยังผืนน้ำที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลลงสู่มหาสมุทรแล้วพูดอย่างสะท้อนใจว่า “เป็นอมตะไม่ต้องตาย อันที่จริงเป็นเรื่องที่ร้ายกาจมากเรื่องหนึ่ง แต่มันจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่งจริงๆ หรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
ไม่ใช่ว่าต้องเป็นแค่คนดีที่ถึงจะใช้เหตุผลได้
อันที่จริงคนเลวก็ทำได้เหมือนกัน หรืออาจถึงขั้นเชี่ยวชาญกว่าด้วยซ้ำ
เพื่อหลีกเลี่ยงศึกและให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอด เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นถึงได้บังคับทะเลเมฆ วางท่าว่าจะปล่อยให้น้ำท่วมกลบทับอาณาเขต
เฉินผิงอันที่กังวลว่าจะเดือดร้อนผู้บริสุทธิ์จึงได้แต่หยุดมือ
นี่ก็คือเหตุผลของเจ้าแห่งทะเลสาบ เฉินผิงอันจำเป็นต้องฟัง
ตอนที่สุยจิ่งเฉิงอยู่ท่ามกลางคลื่นมรสุมของศาลา นางเดิมพันว่าเฉินผิงอันจะติดตามพวกเขามา หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์อับจน เขาจะลงมือช่วยเหลือ
นี่ก็คือเหตุผลที่สุยจิ่งเฉิงกำลังอธิบาย
เฉินผิงอันก็กำลังฟังอยู่เช่นกัน
ในศาลา รองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่และหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นคือคนสองคนที่สถานะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าต่างก็เอ่ยถ้อยคำที่ความหมายคร่าวๆ เหมือนกันออกมาตามจิตใต้สำนึก
สุยซินอวี่เอ่ยว่า ‘ที่นี่คืออาณาเขตของแคว้นอู่หลิง’ เป็นการเตือนพวกโจรในยุทธภพกลุ่มนั้นว่าอย่าได้ก่อเรื่อง นี่ก็คือการคาดหวังการปกป้องอย่างที่มองไม่เห็นจากกฎเกณฑ์
และกฎเกณ์ที่ว่านี้ได้ซ่อนแฝงบารมีอำนาจ คุณธรรมในยุทธภพของฮ่องเต้และราชสำนักแคว้นอู่หลิงเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังยืมใช้หมัดของหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอู่หลิงโดยที่มองไม่เห็นอีกด้วย
ในอาณาเขตของแคว้นจินเฟย เหตุการณ์ก่อนและหลังในเมืองเล็กบนยอดเขาภูเขาเจิงหรง เฉินผิงอันเลือกที่จะนิ่งดูดายสองครั้ง ไม่ได้สอดมือเข้าแทรก เซียนกระบี่คนหนึ่งก็มองเขาอยู่เงียบๆ เท่ากับว่าเป็นการยอมรับเหตุผลของเขาเฉินผิงอัน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีชีวิตรอดมาสองครั้ง
ตอนที่อยู่ในเมืองสุยเจี้ยก่อนหน้านี้ องค์เทพร่างทองในศาลเทพอัคคีท่านหนึ่งที่ทั้งๆ ก็รู้ดีว่าไร้ความหมายใดๆ แต่ก็ยังเลือกที่จะกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญเพื่อช่วยเหลือเฉินผิงอัน เพราะสิ่งที่เฉินผิงอันทำ เทพอัคคีรู้สึกว่าเหตุผล มีกฎเกณฑ์
หมัดของตู้เม่าแห่งใบถงทวีปใหญ่หรือไม่? แต่เมื่อเขาคิดจะออกไปจากใบถงทวีป เขาเองก็จำเป็นต้องเคารพกฎเกณฑ์เหมือนกัน หรือควรจะพูดว่าต้องมุดลอดช่องว่างของกฎเกณฑ์ถึงจะเดินทางมาถึงแจกันสมบัติทวีปได้
หมัดของหูซินเหวยคนในยุทธภพแคว้นอู่หลิงเล็กหรือไม่? แต่ก่อนที่จะต้องตาย เขาเองก็เลือกจะใช้กฎเกณฑ์ที่ว่าตนเองทำผิดไม่เดือดร้อนคนในครอบครัว เหตุใดถึงพูดเช่นนี้? นั่นก็เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ที่จริงแท้แน่นอนของแคว้นอู่หลิง ในเมื่อหูซินเหวยพูดอย่างนี้ นั่นก็แสดงว่ากฎเกณฑ์นี้มีการใช้กันมาปีแล้วปีเล่า ใช้ปกป้องสตรี เด็กและคนชราจำนวนนับไม่ถ้วนในยุทธภพ คนใหม่ในยุทธภพที่ฉายประกายคมกริบทุกคน เหตุใดถึงต้องประสบพบเจอแต่อุปสรรค ต่อให้สุดท้ายจะเข่นฆ่าจนเปิดเส้นทางเลือดให้กับตัวเองได้เส้นหนึ่ง แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากกว่าไม่ใช่หรือ? เพราะว่านี่เป็นการตอบแทนอย่างเงียบเชียบที่กฎเกณฑ์มีต่อหมัดของพวกเขา และพวกคนในยุทธภพที่โชคดีจนได้เดินขึ้นบนยอดเขาเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องกลายไปเป็นคนแก่ที่ถูกปกป้อง กลายมาเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่เฝ้าปกป้องกฎเกณฑ์โดยอัตโนมัติ
ด้านหน้ามีศาลาชมทิวทัศน์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมตลิ่ง
เฉินผิงอันหยุดเดิน กุมหมัดกล่าวว่า “ท่านหลิวช่วยไขข้อข้องใจให้แก่ข้าแล้ว”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็ต้องขอบคุณท่านเฉินด้วยที่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า แววตาใสกระจ่าง พูดอย่างจริงใจว่า “เรื่องราวหลายอย่าง ข้าคิดได้ แต่ก็พูดได้ไม่กระจ่างแจ้งเท่าท่านหลิว”
ฉีจิ่งหลงโบกมือ “จะคิดอย่างไร กับทำอย่างไร ยังคงเป็นเรื่องสองเรื่อง”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนถามหยั่งเชิงว่า “เลี้ยงเหล้าท่านได้ไหม?”
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ข้าไม่เคยดื่มเหล้า”
เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้น่าสนใจยิ่งกว่าการที่คนทั้งสองพูดคุยกันด้วยถ้อยคำที่สูงทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ แล้วก็ต่ำลงมาในดินโคลนเสียอีก
เฉินผิงอันรั้งแขนคนผู้นั้นเอาไว้ “ไม่เป็นไร ขอแค่ได้ลองดื่มเหล้าสักครั้ง วันหน้าฟ้าดินก็ไร้พันธนาการแล้ว”
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ช่างเถิดๆ หากไม่ได้จริงๆ ท่านเฉินดื่มเหล้า ส่วนข้าก็ดื่มชาแทน”
คนทั้งสามมาถึงศาลาริมน้ำที่ใช้ก้อนหินล้อมทับ วางโครงสร้างอยู่บนลำคลองสายใหญ่
คนทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้ามกัน สายลมจากผิวน้ำพัดโชยมาเป็นระลอก สุยจิ่งเฉิงถือไม้เท้าเดินป่ายืนอยู่นอกศาลา ไม่ได้เข้าไปข้างในด้วย
ฉีจิ่งหลงอธิบายว่า “ข้ามีสหายคนหนึ่งชื่อว่าลู่จัว เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสหวังตุ้นแห่งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว เขาส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ข้า บอกว่าข้าอาจจะคุยกับท่านได้รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นข้าก็เลยลองมาเสี่ยงดวงที่นี่”
เฉินผิงอันปลดงอบวางไว้ด้านข้าง พยักหน้าเอ่ยว่า “ท่านกับนักพรตหญิงคนนั้นเปิดศึกกันบนยอดเขาตี่ลี่ เหตุใดถึงตีกันได้? ข้านึกว่าพวกท่านสองคนจะถูกชะตากันเสียอีก ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นเพื่อน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่าเกิดศึกตัดสินเป็นตายเช่นนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!