บนลำน้ำมีเรือแจวลำหนึ่งเลียบกระแสธาราลงมาเบื้องล่าง ลมพัดเอนเอียงกับเม็ดฝนโปรยปราย มีผู้เฒ่าชาวประมงสวมงอบและเสื้อกันฝนนั่งอยู่บนหัวเรือ แหงนหน้าดื่มสุรา ด้านหลังมีหญิงนักขับร้องหน้าตางดงามอยู่สองคน พวกนางต่างก็สวมเสื้อตัวบาง ท่วงท่านั่งชดช้อย ในอ้อมอกของสตรีผู้หนึ่งกอดผีผา เสียงดนตรีทึบอื้ออึงสลับกับแผ่วพลิ้วฟังอึงอล คนหนึ่งถือกรับสีแดง ส่งเสียงร้องอ่อนหวานคลอไปกับเสียงดนตรี มองดูเหมือนว่ามีเสียงมากมายดังสลับกันฟังจอแจ ทว่าในความวุ่นวายกลับมีระเบียบ ช่วยส่งเสริมกันและกันให้โดดเด่น
นายบ่าวสามคนที่อยู่บนเรือเล็กย่อมต้องเป็นผู้ฝึกตนทุกคน
มีผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งทะยานลมข้ามผ่านผิวน้ำแล้วเรียกอาวุธอาคมชิ้นหนึ่งออกมา ประกายแสงเรืองรองก็ไหลรินเหมือนผ้าแพรต่วนสีขาวที่พุ่งเข้ากระแทกใส่เรือแจวลำเล็ก ปากก็สบถด่าไปด้วยว่า “หนวกหูจะตายอยู่แล้ว! แสร้งทำเป็นนายท่านใหญ่ที่กำลังดื่มเหล้าอะไรกัน น้ำในลำคลองสายนี้มากพอจะให้เจ้าดื่มจนอิ่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงเลยล่ะ!”
ผลคือผู้เฒ่าชาวประมงคนนั้นเพียงแค่ยกมือขึ้นโบกชายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง ผ้าแพรต่วนสีขาวที่พุ่งมาด้วยพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามก็ไม่เพียงแต่ไม่สามารถพลิกเรือน้อยให้คว่ำ กลับยังผลุบหายเข้าไปในชายแขนเสื้อของชาวประมงทั้งหมด มันส่งเสียงร้องอื้ออึงอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ
ผู้ฝึกลมปราณคนนั้นมีสีหน้าเหมือนคนที่บิดาตาย เขาพลันหยุดลอยตัวนิ่ง เอ่ยอ้อนวอนว่า “เทพเซียนผู้เฒ่าโปรดคืนกระบี่บินให้ข้าด้วย”
ชาวประมงผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “โขกหัวขอร้องข้าสิ”
ผู้ฝึกลมปราณไม่พูดไม่จาก็พลิ้วกายลงบนพื้นผิวลำคลอง ใช้ลำคลองต่างพื้นดิน โขกหัวดังปังๆ จนสะเก็ดน้ำเป็นกลุ่มๆ แตกกระจาย
เรือลำน้อยเหมือนลูกธนูดอกหนึ่งที่พุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว หลังจากเจ้าลูกสุนัขที่ตาไร้แววผู้นั้นโขกศีรษะครบสามครั้งแล้ว ชาวประมงเฒ่าถึงได้สะบัดชายแขนเสื้อเอาเม็ดกระบี่สีขาวหิมะเม็ดหนึ่งมากำไว้ในมือ แล้วขว้างไปด้านหลัง
หลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่เก็บเม็ดกระบี่แห่งชะตาชีวิตมาแล้วก็พุ่งตัวไปยังตอนบนของเส้นทางน้ำ หลังออกห่างมาได้ไกลพอสมควรแล้ว เขาก็หัวเราะร่าเสียงดัง “ตาแก่ หากสตรีสองคนนั้นเป็นลูกสาวของเจ้า ข้าก็จะเป็นลูกเขยเจ้าแล้วกัน คนเดียวไม่รังเกียจว่าน้อยไป สองคนก็ไม่รังเกียจว่ามากไป…”
ดรุณีน้อยที่อุ้มผีผาอยู่ในอ้อมอกหัวเราะหยันเสียงเย็น นางพลันดึงสายผีผา แรงดีดทรงพลัง ประหนึ่งสายลมที่พัดพาเม็ดฝนให้พร่างพรม
ผิวน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือลำเล็กระเบิดออกกลายเป็นร่องน้ำขนาดใหญ่ยักษ์เส้นหนึ่งที่ลามไปถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนนั้น ผู้ฝึกกระบี่เห็นท่าไม่ดีก็ทะยานลมลอยตัวขึ้นสูง หมายจะออกห่างจากผิวน้ำ คิดไม่ถึงว่าสตรีเรือนกายอ้อนแอ้นที่ถือกรับไม้แดงไว้ในมือผู้นั้นจะยกมือขึ้นเบาๆ แล้วตบหนึ่งครั้ง ม่านฝนกลางอากาศสูงก็มีกายธรรมของกรับไม้แดงที่ใหญ่ราวขุนเขาร่วงลงมาหนึ่งอัน พุ่งเข้ากระแทกแสกหน้าผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ตบให้เขาร่วงลงไปในลำคลองอย่างแรง รอจนเรือแจวลำนั้นลอยห่างไปไกลได้หลายสิบลี้แล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่น่าสงสารถึงได้ปีนขึ้นฝั่ง นอนหงายแหงนหน้าขึ้นฟ้า หอบหายใจหนักหน่วง ไม่กล้าพูดจายั่วยุคนสามคนบนเรืออีก
เนื่องจากฝนตกลงมา สุยจิ่งเฉิงจึงเข้ามานั่งในศาลาริมน้ำ นางลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ได้ปลดหมวกคลุมหน้าลง หันหน้าไปมองภาพผู้เฒ่าชาวประมงที่ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ผู้นั้น ส่วนการประลองเวทของเทพเซียนที่เกิดขึ้น หลังจากผ่านมรสุมเป็นตายมาสองครั้ง อันที่จริงจิตใจของสุยจิ่งเฉิงก็ไม่ได้เกิดคลื่นเคลื่อนไหวใดๆ มากนัก
เฉินผิงอันเพียงแค่ชำเลืองตามองผิวน้ำแวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับ ถึงอย่างไรนี่ก็สมกับเป็นอุตรกุรุทวีปอยู่แล้ว หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในแจกันสมบัติทวีปหรือใบถงทวีป ผู้ฝึกกระบี่จะไม่มีทางลงมือ ต่อให้ลงมือแล้ว ชาวประมงผู้นั้นก็ไม่มีทางคืนกระบี่บินให้
แต่ฉีจิ่งหลงกลับจ้องมองอยู่นานไม่ยอมถอนสายตากลับ บางทีอาจกำลังรอคอยให้ฝนหยุดตก จากนั้นก็จะบอกลาจากไป
เฉินผิงอันถาม “ในฐานะที่ท่านหลิวเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับครุ่นคิดเป็นกังวลกับเรื่องทางโลกมากขนาดนี้ จะไม่ถ่วงเวลาการฝึกตนหรือ?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าต้องใช่ นี่ก็คือความต่างระหว่างข้ากับพวกคนที่อยู่สองอันดับแรก ข้ากับพวกเขามีพรสวรรค์พอๆ กัน แม้จะบอกว่าโชควาสนาก็มีความต่าง แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังแพ้พวกเขาในเรื่องการดึงความสนใจไปทำเรื่องอื่นอยู่ดี คนหนึ่งในนั้นยังเคยโน้มน้าวข้า บอกว่าให้คิดถึงเรื่องด้านล่างภูเขาให้น้อยลง ตั้งใจฝึกวิชากระบี่ รอจนเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ค่อยคิดถึงมันก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สิ่งที่ได้มาและเสียไปในวันนี้ อาจเป็นสิ่งที่ได้มาและเสียไปในวันพรุ่งนี้”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ขอให้สมพรปากท่าน”
เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านหลิวเป็นกังวลกับเรื่องนอกกายเหล่านี้ เป็นเพราะตัวเองมีความรู้สึกร่วมจึงเกิดความคิดขึ้นมาหรือ?”
ฉีจิ่งหลงผงกศีรษะ “ข้ามีชาติกำเนิดธรรมดา มาจากครอบครัวที่พอมีจะกินในหมู่ชาวบ้านทั่วไป แต่ชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดมาตั้งแต่เด็ก หลังจากขึ้นมาอยู่บนภูเขาก็ยากที่จะเปลี่ยนความเคยชินนี้ไปได้ บนเส้นทางของการฝึกตนนั้นเงียบเหงา มักจะต้องหาเรื่องอะไรทำเสมอ อีกทั้งในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน ก็ย่อมต้องมีข้อดีบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นความทรงจำจะดีมากขึ้นกว่าเดิม แล้วยังไม่ต้องกลุ้มเรื่องเงินค่าหนังสือ ดังนั้นทุกครั้งที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ เวลาที่เดินทางกลับข้าก็จะต้องซื้อตำราบางอย่างติดมือกลับไปด้วยเสมอ”
เฉินผิงอันถาม “ท่านหลิวมีข้อสรุปเกี่ยวกับความดีเลวของจิตใจคนหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงหัวเราะทันใด “ตอนนี้ยังไม่มี หากอยากจะเข้าใจเรื่องความดีเลวของจิตใจคนอย่างชัดเจน แต่กลับมีเส้นแบ่งดีเลวมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก็ง่ายที่จะทำให้ตัวเองสับสนจับทุกอย่างมาปนกัน ความรู้ที่ได้เรียนรู้มาในภายหลังก็ยากที่จะเป็นกลางและเที่ยงตรง”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ใช่ เมื่อมีอารมณ์ความรู้สึกเจือปนเข้าไปก็ย่อมต้องเกิดความเอนเอียง”
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “เมื่อความรู้เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความเอนเอียงเสี้ยวนี้ก็จะเป็นเหมือนต้นกำเนิดธารน้ำสายเล็ก บางที่สุดท้ายแล้วอาจจะกลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างชอบใจ “ท่านหลิวช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าอีกอย่างหนึ่งแล้ว”
ฉีจิ่งหลงไม่ได้ถามอะไรให้มากความ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองไปทางลำคลองที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากนอกศาลา กระแสธาราไหลไปทางทิศตะวันออก ไม่หยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน
นี่ก็คือสาเหตุที่เฉินผิงอันตัดสินใจจะหล่อหลอมชูอี
แน่นอนว่าเกาเฉิงแข็งแกร่งมาก ถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่แสวงหาอิสระเสรีอย่างสมบูรณ์
ไม่พูดถึงว่าความตั้งใจเดิมของเกาเฉิงคืออะไร ยังไม่ต้องสนใจว่านั่นเป็นปณิธานหรือความทะเยอะทะยาน แต่ในเรื่องเรื่องหนึ่ง เฉินผิงอันมองเห็นเส้นสายที่เล็กบางอย่างถึงที่สุด
ตอนที่อยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋น เฉินผิงอันเคยทำหน้าที่เป็นทวยเทพประทับบัลลังก์สูงตัดสินความดีความเลวของคน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง บวกกับการที่ได้พบหยางหนิงซิ่งที่ชายหาดโครงกระดูก นักพรตหนุ่มของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนผู้นี้ได้ใช้ความคิดชั่วร้ายที่กลั่นรวมเป็นเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งจำแลงร่างเป็นบัณฑิต
เมื่อเอาสองอย่างนี้มารวมกัน
และพอทบทวนกระดานหมากอย่างต่อเนื่อง เฉินผิงอันก็ยิ่งมั่นใจในข้อสรุปหนึ่ง นั่นก็คือเกาเฉิงในเวลานี้ยังอยู่ห่างไกลเกินว่าจะมีสภาพจิตใจของเจ้าแห่งนครเฟิงตู อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มี
แน่นอนว่าตัวเฉินผิงอันเองก็ยิ่งไม่มี แต่เฉินผิงอันพอจะมองเห็นได้คร่าวๆ แล้วก็พอจะเดาออกว่าระดับความสูงเช่นนั้นควรจะมีภาพบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ตระการตามากเพียงไหน
เทพนั่งเหมือนศพ ไม่มีความรู้สึก
เกาเฉิงในตอนนี้ยังมีอารมณ์รักโลภโกรธหลง ในใจของเจ้านครจิงกวานท่านนี้ยังมีความไม่พอใจ และยังยึดติดอยู่กับอัตตา
ต่อให้ความรู้สึกเหล่านี้จะเล็กจ้อยมาก แต่ต่อให้เล็กแค่ไหน เล็กเหมือนเมล็ดงา แต่แล้วอย่างไรเล่า? ถึงอย่างไรมันก็ยังคงอยู่ตลอดเวลา เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ก็ยังคงหยั่งรากฝังลึก ทิ้งไว้ในสภาพจิตใจของเกาเฉิง
ดังนั้นหากเมื่อใดที่เกาเฉิงได้กลายเป็นเจ้านครของนครเสี่ยวเฟิงตูแห่งใหม่ กลายเป็นเทพเทวดาบนสรวงสวรรค์ของฟ้าดินแห่งนั้น
เมื่อขนาดของนครเสี่ยวเฟิงตูแห่งนั้นขยายใหญ่มากขึ้น บัลลังก์เทพของเกาเฉิงสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลผ่านไปไม่หยุดยั้ง ภูตผีในนครเสี่ยวเฟิงตูเพิ่มมากขึ้น ความลำเอียงน้อยนิดเหล่านี้ในใจของเกาเฉิงก็จะขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง หรือถึงขั้นอาจเกิดความเอนเอียงที่ใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด
นี่ก็คือคำกล่าวของฉีจิ่งหลงที่บอกลำธารกลายเป็นลำน้ำขนาดใหญ่
บางทีเกาเฉิงอาจจะมีโอกาสแก้ไขความเอนเอียงน้อยนิดเหล่านั้นในขณะที่ขอบเขตสูงยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!