ฉีจิ่งหลงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มกล่าวว่า “เซี่ยสือเทียนจวินของอุตรกุรุทวีปพวกเราถูกท้ารบมาสามครั้งแล้ว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ยากที่จะแพ้ได้”
ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนจริงๆ นั่นแหละ เพราะถึงอย่างไรฉีเทียนจวินของสำนักโองการเทพแห่งแจกันสมบัติทวีปก็ไม่มีทางลงมือ การประมือกันสามครั้ง เป็นการท้ารบของเซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะในช่วงแรกเริ่มสุดที่สะดุดตาที่สุด แม้ว่าเว่ยจิ้นจะแพ้แล้ว แต่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่เป็นเช่นนี้ วันหน้าจะต้องประสบผลสำเร็จสูงมาก สูงมากๆ! แต่ได้ยินมาว่าเขาไปที่ภูเขาห้อยหัว จะไปฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ ยิ่งประสบผลสำเร็จมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันหัวเราะ
ฉีจิ่งหลงถามอย่างประหลาดใจ “เคยเจอมาก่อน?”
เฉินผิงอันตอบ “เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว”
ตอนนั้นสายตาที่เว่ยจิ้นมองเฉินผิงอัน เฉยเมยอย่างยิ่ง
แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่านั่นคือคนดีและเซียนกระบี่ที่ดีคนหนึ่ง และเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของเว่ยจิ้นมากขึ้น
ฉีจิ่งหลงเงียบงันไปครู่หนึ่ง “ใช่แล้ว ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง นอกจากภูเขาพีอวิ๋นแล้ว ภูเขาใหญ่อีกสี่ลูกใหม่ของต้าหลีล้วนได้รับการแต่งตั้งเรียบร้อยแล้ว”
ในใจเฉินผิงอันสะท้านไหว
การหล่อหลอมวัตถุแห่งชีวิตที่เป็นห้าธาตุ
ชุยตงซานได้แบกจอบเล่มเล็กไปขุดเอาดินห้าสีของขุนเขาต้าหลีมาให้เขาห้าถุงใหญ่
ดินทับถมเป็นภูเขา ลมฝนจึงถือกำเนิด หากหล่อหลอมสำเร็จก็สามารถสร้างรูปแบบใหญ่ดีงามที่ภูเขาสายน้ำแอบอิงกันได้
ทางเลือกมากมายบนเส้นทางชีวิตคนมักจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
ก็เหมือนกับเรื่องของการหล่อหลอมดินห้าสีของขุนเขาต้าหลีนี้ เดิมทีนี่เป็นความคิดแรกที่เฉินผิงอันล้มเลิกเลยด้วยซ้ำ ภายหลังได้พูดคุยอย่างเปิดใจกับชุยตงซานและชุยฉานมาสองครั้ง เฉินผิงอันกลับกลายเป็นว่ายิ่งยืนกรานในความคิดนั้น ต่อให้ระหว่างที่อยู่บนเรือข้ามฟากซึ่งมุ่งหน้ามายังอุตรกุรุทวีปจะได้เจอกับสตรีอำมหิตที่เปลี่ยนจากเหนียงเนียงต้าหลีมาเป็นไทเฮาของต้าหลีผู้นั้น เฉินผิงอันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงความคิด
ดังนั้นสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันในตอนนี้ก็คือทางเลือกสองอย่าง หนึ่งคือถือโอกาสนี้โดยสารเรือข้ามฟากของท่าเรือหัวมังกร คุ้มกันสุยจิ่งเฉิงไปส่งที่สำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูก แล้วหลอมดินห้าสีอยู่ที่นั่น ปลอดภัย แต่กลับเปลืองเวลา
อีกหนึ่งทางเลือกก็คือเพื่อไม่ให้การเดินทางไปเยือนลำน้ำสายใหญ่ถูกถ่วงเวลาล่าช้า ก็หาโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือหัวมังกร หรือไม่ก็เดินทางอ้อมไปอีกสักหน่อย ไปหาภูเขาห่างไกลเงียบสงบที่ไร้เงาผู้คนแล้วปิดด่าน
ดูเหมือนฉีจิ่งหลงจะจับสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของเฉินผิงอันได้ เขาลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าลงจากภูเขามาครั้งนี้ก็เพื่อมาพูดคุยกับท่าน พอได้พูดคุยกันแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำอีก”
คนบางคนที่ต้องช่วยเหลือคนอื่น กลับกลายเป็นเวลาจะต้องใช้เวลาครุ่นคิดทบทวนมากยิ่งกว่า
เฉินผิงอันก็เป็นเช่นนี้ไม่ต่างกัน
ความรู้เชื่อมโยงสื่อถึงได้กัน นิสัยใจคอก็คล้ายคลึง
นี่ก็คือคนบนเส้นทางเดียวกัน
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเปลี่ยนนิสัยที่ระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอดของตน ด้วยการถามว่า “หากข้าจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่ท่าเรือหัวมังกร ต้องการให้คนช่วยคุมหลังเฝ้าพิทักษ์ให้แก่ข้า ท่านหลิวจะยินดีหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ได้สิ”
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “ระหว่างที่ทำการหลอม อาจเกิดความเคลื่อนไหวไม่น้อย อีกอย่างข้าเองก็มีศัตรูอยู่ในอุตรกุรุทวีปด้วย ยกตัวอย่างเช่นตำหนักเกล็ดทองของราชวงศ์ต้าจ้วน”
ฉีจิ่งหลงกล่าว “เรื่องเล็ก”
เฉินผิงอันยกมือตบไหล่ฉีจิ่งหลงทันใด “คนอย่างเจ้าไม่ชอบดื่มเหล้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างจนใจ “การโน้มน้าวให้คนอื่นดื่มเหล้าเป็นเรื่องที่ทำลายภาพพจน์ของคนอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ประโยคนี้ วันหน้าเจ้าเอาไปพูดกับอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งให้มากๆ แล้วกัน อืม หากมีโอกาส ยังมีมือดาบอีกคนหนึ่งด้วย”
ฉีจิ่งหลงโคลงศีรษะจนใจ
ไปถึงท่าเรือหัวมังกร เข้าพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ด้านหน้าแขวนกรอบป้ายคำว่า ‘นกกระเต็น’
เฉินผิงอันใช้เงินมือเติบเช่าเรือนพักอักษรตัวเทียนหลังหนึ่งมาจากโรงเตี๊ยมอย่างที่หาได้ยาก และในเรือนหลังนั้นยังมีบ่อดอกบัวอยู่บ่อหนึ่ง ใบบัวที่โผล่พ้นผิวน้ำใหญ่เท่ากระถาง หลังจากฝนตกผ่านพ้นไปบนใบบัวจึงยังมีหยดน้ำกลมๆ เหมือนไข่มุกสีขาวเกาะอยู่เต็มไปหมด ลมเย็นสดชื่นพัดพาความหอมลอยโชยมา ชวนให้จิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบาย
ทุกครั้งที่ฉีจิ่งหลงลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์จะต้องใช้นามแฝงในทำเนียบวงศ์ตระกูล พอไปถึงสถานที่ที่มีผู้คนจอแจก็จะร่ายเวทอำพรางตา
ตอนนี้ฉีจิ่งหลงยกม้านั่งยาวตัวหนึ่งมานั่งอยู่ริมสระดอกบัว สุยจิ่งเฉิงเองก็ทำตามเขา นางปลดหมวกคลุมหน้าลง ย้ายม้านั่งตัวยาวมา ในมือถือไม้เท้าเดินป่า นั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล แล้วก็เริ่มสูดลมหายใจทำสมาธิ
ริมสระดอกบัวมีเรือเล็กๆ ผูกไว้
ฉีจิ่งหลงทำเพียงแค่จ้องมองสระดอกบัวอย่างสงบนิ่ง มือทั้งคู่กำเป็นหมัดเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า
เฉินผิงอันเริ่มปิดด่านแล้ว
ฉีจิ่งหลงเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด อีกทั้งยังเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล นอกจากอ่านตำราทำความเข้าใจกับหลักการเหตุผลแล้ว ยามที่ฝึกตนอยู่บนภูเขา คำว่าแบ่งสมาธิไปทำเรื่องอื่นของฉีจิ่งหลงนั้นก็แค่เปรียบเทียบกับสองคนในอันดับแรกเท่านั้น
อันที่จริงฉีจิ่งหลงเล่าเรียนวิชาหลากหลาย แต่ทุกวิชาล้วนเชี่ยวชาญชำนาญ ปีนั้นลำพังเพียงแค่อาศัยค่ายกลแห่งหนึ่งที่วาดขึ้นอย่างง่ายๆ ก็สามารถทำให้หยางหนิงเจินแห่งตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนไม่อาจฝ่าทะลุค่ายกลออกมาได้ ต้องรู้ว่าขอบเขตและวิชาคาถาของหยางหนิงเจินในตอนนั้นเหนือกว่าน้องชายอย่างหยางหนิงซิ่งที่เป็นตัวอ่อนเต๋ามาตั้งแต่กำเนิดเหมือนกันมากนัก นั่นถึงทำให้หยางหนิงเจินเปลี่ยนเป็นหันมาเรียนวรยุทธ ขณะเดียวกันก็เท่ากับว่าละทิ้งอำนาจในการสืบทอดตำหนักนภากาศของหน่วยฉงเสวียนไป แต่หยางหนิงเจินกลับสามารถฝึกฝนจนมีเส้นทางวิถีวรยุทธที่อนาคตยาวไกลได้จริงๆ นี่ต้องเรียกว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย
ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องของการปิดด่าน ฉีจิ่งหลงจึงคุ้นเคยมากที่สุด
ไม่ว่าความเคลื่อนไหวของเฉินผิงอันจะรุนแรงมากแค่ไหน ริ้วคลื่นลมปราณจะกระเพื่อมแรงเท่าไร ก็ล้วนหนีออกไปจากเรือนหลังนี้ไม่พ้น
เพราะฉีจิ่งหลงคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
มีเค้าลางว่าฝนจะตกลงมาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้น่าจะเป็นพายุฝนที่ตกกระหน่ำ
จิตใจของสุยจิ่งเฉิงไม่ใคร่จะสงบนิ่งนัก นางจึงหยุดการเข้าฌาน พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หัวคิ้วขมวดมุ่น
ฉีจิ่งหลงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้
สุยจิ่งเฉิงพึมพำว่า “เคยได้ยินผู้อาวุโสเอ่ยคำสุภาษิตบอกว่า ฝนร้อนน้อยเหมือนเงิน ฝนร้อนใหญ่เหมือนทอง”
สุยจิ่งเฉิงยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ข้ารู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ต้องมาจากปากของบัณฑิต อีกทั้งยังต้องเป็นบัณฑิตประเภทที่เรียนหนังสือไม่ได้ดี เป็นขุนนางตำแหน่งไม่ใหญ่อย่างแน่นอน”
ฉีจิ่งหลงถึงได้เปิดปากเอ่ยว่า “มีเหตุผล”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!