ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันที่ไม่เอ่ยอะไรสักคำก็กลับเข้าไปในห้อง
สุยจิ่งเฉิงไม่มีอะไรทำก็เลยหมุนบิดใบบัวที่ยังคงเป็นสีเขียวปลั่งใบนั้นต่อ
ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “จะถือสาหรือไม่หากข้าจะเอ่ยถ้อยคำบางอย่างที่เกี่ยวพันกับการฝึกตนของเจ้า หาใช่ว่าข้าจงใจจะสืบเสาะไม่ แต่เป็นเพราะทั้งการหายใจทำสมาธิ การโคจรลมปราณของเจ้า ล้วนทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคย”
สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า “ถือสิ”
เพียงแต่ว่านางหันหน้าไปชำเลืองมองตรงห้องนั้นแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านหลิว ท่านลองพูดมาเถอะ”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วิชาการเข้าฌานทำสมาธิของเจ้า เหมือนกับหลี่อวี๋เซียนซือ ไท่เสียหยวนจวินที่เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายของฮว่อหลงเจินจวินอย่างมาก”
สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างกังขา “ท่านหลิว เดี๋ยวนะ แม้ว่าข้าจะไม่รู้กฎเกณฑ์มากมายบนภูเขา แต่ติดตามผู้อาวุโสเดินทางมาตลอดทางนี้ก็รู้ดีว่าเจินเหรินของลัทธิเต๋ามีขอบเขตแค่เซียนดิน ทว่าหากเป็นหยวนจวิน อย่างน้อยก็ต้องเป็นขอบเขตหยกดิบของห้าขอบเขตกลางไม่ใช่หรือ เป็นเพราะหลี่อวี๋เซียนซือมีพรสวรรค์ดีเกินไป เป็นครามที่เกิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม เป็นศิษย์ที่เหนือกว่าอาจารย์อย่างนั้นหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องน่าสนใจบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปเรา ฮว่อหลงเจินจวินท่านนั้นเป็นเซียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ข่าวลือบางอย่างบอกว่า…ช่างเถิด เรื่องนี้ไม่อาจพูดส่งเดชได้ ข้าคงไม่พูดถึงแล้ว แต่สรุปก็คือเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้มีขอบเขตสูงมาก สูงมากอย่างถึงที่สุด ก็แค่ใช้ยศเจินเหรินมาโดยตลอดก็เท่านั้น อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าเขาชอบนอนหลับมาก สามารถฝึกตนและบรรลุมรรคาได้ในความฝัน ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ส่วนหลี่อวี๋นั้นคือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฮว่อหลงเจินจวิน เนื่องจากการรับลูกศิษย์ของเทพเซียนผู้เฒ่าขึ้นอยู่กับความชอบของเขาเอง ไม่ได้ดูที่พรสวรรค์ ไม่ดูที่ฐานกระดูก ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาล้วนจะต้องพาคนสองคนกลับไปด้วยเสมอ เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพจารย์มีมากถึงสี่สิบห้าสิบคน ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ก็มีทั้งคนอย่างหลี่อวี๋เซียนซือที่ได้เลื่อนขั้นเป็นหยวนจวินแห่งลัทธิเต๋า แต่ว่าที่ว่ามากกว่านั้นกลับแก่ตายไปบนคอขวดใหญ่จุดต่างๆ ขอบเขตถ้ำสถิตไปจนถึงขอบเขตก่อกำเนิดจะมีค่อนข้างเยอะ ตอนนี้บนภูเขายังเหลือผู้สืบทอดอีกยี่สิบกว่าคนที่ฝึกตนกันต่อไป เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนแต่ละรุ่นมีความต่างทางอายุค่อนข้างมาก ขอบเขตก็ยิ่งต่างชั้นกันไกลโข ไท่เสียหยวนจวินท่านนี้ปิดด่านมาหลายปีแล้ว ทว่าสายของนางได้แตกกิ่งก้านสาขาออกไป มีลูกศิษย์อยู่บนภูเขาเยอะที่สุด ลูกศิษย์สามรุ่นนับจากนางมาก็มีถึงร้อยกว่าคน”
สุยจิ่งเฉิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
ผู้อาวุโสเคยบอกว่าตัวอักษรที่สลักบนปิ่นทองชิ้นหนึ่งในสามชิ้นนั้น มีคำว่า ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’!
สุยจิ่งเฉิงรีบสงบจิตใจของตัวเอง
ความคิดในใจเริ่มตีกันวุ่นวาย
ฉีจิ่งหลงหันหน้ามาชำเลืองตามองสุยจิ่งเฉิงด้วยสายตาซับซ้อน ช่างเถิด เรื่องบางอย่างมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่อาจพูดโพล่งออกไปได้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ให้ท่านเฉินผู้นั้นปวดหัวไปแล้วกัน
อันที่จริงรากฐานมหามรรคาของสุยจิ่งเฉิงไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น นางจะต้องเป็นลูกศิษย์ที่ไท่เสียหยวนจวิน หลี่อวี๋เซียนซือหมายตาอย่างแน่นอน ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าความเป็นไปได้นั้นทั้งมีสูงมาก แล้วก็มีน้อยนิดในขณะเดียวกัน เพราะก่อนหน้าที่หลี่อวี๋จะปิดด่านซึ่งเป็นด่านใหญ่ตัดสินเป็นตาย นางได้รับลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ฐานกระดูกดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งมาไว้แล้ว ตอนนี้อายุยังไม่ถึงสี่สิบปี แต่กลับกลายเป็นตัวเลือกที่จะได้เสียบแทนคนหนุ่มสาวผู้โดดเด่นสิบคนรุ่นถัดไปของอุตรกุรุทวีปหากมีใครตกอันดับไป
ผู้ฝึกตนบนภูเขา ยิ่งอยู่บนยอดเขามากเท่าไร เรื่องของการให้สถานะอาจารย์และศิษย์ก็ยิ่งไม่อาจทำแบบขอไปทีได้มากเท่านั้น
อีกอย่างถึงอย่างไรท่านเฉินผู้นั้นก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่แท้จริง จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะมองความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่บนร่างของสุยจิ่งเฉิงออก เพียงแต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายเสมอไป
ไม่ว่าจะอย่างไร ดูจากปณิธานกระบี่อ่อนจางที่อยู่บนร่างของสุยจิ่งเฉิงขุมนั้น ฉีจิ่งหลงก็พอจะเดาออกถึงเบาะแสเสี้ยวหนึ่ง วิธีการฝึกตนเช่นนี้อันตรายเกินไป แล้วก็ค่อนข้างจะเป็นปัญหา หากจัดการไม่เหมาะสมจะเกี่ยวพันไปถึงรากฐานมหามรรคา
ฉีจิ่งหลงถึงขั้นที่พอจะไล่ตามเส้นสายเส้นนี้ รวมไปถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนของอุตรกุรุทวีป จนได้ข้อสรุปที่มากกว่าเดิม
แต่ว่าเรื่องราวมากมายบนภูเขา รู้ได้ แต่ไม่อาจพูดออกมาได้
ส่วนลูกศิษย์คนเล็กของหยวนจวินท่านนั้นอย่างกู้โม่นั้น ฉีจิ่งหลงเคยเจอนางครั้งหนึ่งระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ พรสวรรค์ของนางดีเยี่ยมอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่านิสัยกลับออกจะเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อย
สายของไท่เสีย ล้วนเป็นแบบนี้เสมอมา
ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมาร ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ตัวตายมรรคาดับสลายจะนับเป็นอะไรได้
ขอแค่มีเหตุผล ต่อให้เจอกับผู้ฝึกตนที่ขอบเขตสูงกว่าสองสามขอบเขต เทียนซือต่างแซ่ทุกคนในสายของไท่เสียก็ล้วนจะออกกระบี่เหมือนกัน
และในประวัติศาสตร์ก็มีผู้ฝึกตนเซียนดิน รวมไปถึงเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนมากมายที่เงื้อกระบี่สังหารผู้ฝึกตนน้อยแห่งลัทธิเต๋าที่ไม่รู้กาลเทศะเหล่านั้น เดิมนึกว่าเรื่องจะจบลงอย่างเงียบเชียบ ทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนถูกไท่เสียหยวนจวินหรือไม่ก็เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางไล่ฆ่าอย่างไม่มีข้อยกเว้น หากมีผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาที่สามารถสกัดขวางหรือโจมตีให้พวกเขาถอยร่นได้ก็ไม่เป็นไร ท่ามกลางประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีของฮว่อหลงเจินจวินนี้ เคยมีสองครั้งที่เขาลงจากภูเขา ครั้งหนึ่งตบให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตสิบสองคนหนึ่งตายอย่างง่ายๆ และการลงมืออีกครั้งก็สังหารเซียนกระบี่ขอบเขตสิบสองที่คิดว่ามีความสามารถมากพอจะปกป้องตัวเองได้ให้ตายไปโดยตรง ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เฒ่าไม่เคยมีความเสียหายแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าการเข่นฆ่าบนยอดเขาที่เดิมทีควรจะรุนแรงจนฟ้าดินเปลี่ยนสี กลับกลายเป็นว่าไม่มีคลื่นเคลื่อนไหวใดๆ
ตะวันจันทราผลัดเปลี่ยน กลางวันกลางคืนสลับผัน
เมื่อเฉินผิงอันเดินออกจากห้องมาเป็นครั้งที่สอง สุยจิ่งเฉิงก็รีบออกจากห้องตัวเองทันที
คราวนี้ฉีจิ่งหลงไม่ได้พูดอะไร
เฉินผิงอันยังคงนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว ใบบัวที่วางไว้บนม้านั่งยาวตัวนั้น หลังจากปราณวิญญาณสลายหายไปแล้วก็ปรากฏลางว่าจะเหี่ยวแห้ง สีสันไม่เป็นสีเขียวขจีสดปลั่งเหมือนเดิมอีกต่อไป
สุยจิ่งเฉิงไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ เพียงแค่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล
สะโอดสะองดุจดอกผุดตาน
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ขนาดเจ้ายังไม่เป็นกังวล แล้วข้าจะต้องกังวลอะไร”
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “รบกวนเจ้าแล้ว”
คำตอบของฉีจิ่งหลงกระชับเรียบง่าย “ไม่ต้องเกรงใจ”
เฉินผิงอันถาม “ท่านหลิว เกี่ยวกับการกำราบวานรในใจของลัทธิพุทธ เจ้ามีความเข้าใจเป็นของตัวเองหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า “เข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน ไม่มีค่าพอให้พูดถึง วันหน้าหากเข้าใจได้ถึงจุดที่สูงยิ่งกว่านี้แล้วค่อยจะบอกให้เจ้าฟังอีกครั้ง”
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ข้าเคยเจอกับภิกษุสมณศักดิ์สูงที่บรรลุพระธรรมอยู่คนหนึ่ง ดังนั้นพอจะมีความคิดบางอย่างอยู่บ้าง ลองมาคุยกันดูดีไหม?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “แบบนี้ย่อมดีที่สุด”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง งอนิ้วทั้งห้าเหมือนตะขอแล้วค้างนิ่งไม่ขยับ เหมือนกำลังพันธนาการวัตถุอะไรบางอย่าง “แบบนี้เรียกว่ากำราบหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “หากเริ่มต้นก็เป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่หากว่าเป็นผลลัพธ์สุดท้าย ก็ไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบนัก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้ปลายนิ้วยันพื้นที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวซึ่งอยู่ข้างสระบัวเอาไว้ จากนั้นก็วาดเส้นสองเส้นตื้นๆ ขึ้นมา ก่อนจะวาดเส้นอีกหลายเส้นแผ่ออกไปสี่ด้านแปดทิศ
สุดท้ายเขายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาปาดลบเส้นทั้งหมด ทว่ากลับไม่ได้ลบเกลี้ยง ยังคงเหลือร่องรอยของเส้นเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้างก็เชื่อมโยง บ้างก็ขาดออกจากกัน
ฉีจิ่งหลงถามว่า “นี่ก็คือสภาพจิตใจของพวกเรา? จิตใจดุจวานรและม้าพยศที่วิ่งตะบึงไปสี่ทิศ มองดูเหมือนว่าได้ย้อนกลับมาจุดเดิมของจิตดั้งเดิม แต่ขอแค่ไม่ทันระวัง อันที่จริงร่องรอยอื่นๆ บนเส้นทางหัวใจก็ไม่ได้ถูกเช็ดทิ้งได้สะอาดอย่างแท้จริง?”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร เขาลุกขึ้นเดินไปใช้มือขวาวักน้ำกอบมือเล็กๆ มาจากบ่อ แล้วเดินกลับมายืนใกล้กับวงกลมนั้น มือซ้ายอีกข้างหนึ่งหยิบเอาน้ำหนึ่งหยดมาหยดลงตรงใจกลางของวงกลม
ฉีจิ่งหลงเพ่งสายตามองไป
จากนั้นเฉินผิงอันก็ทรุดตัวนั่งยอง เอามือข้างหนึ่งปาดออกไปเบาๆ
บนพื้นกระดานหินเขียว มองดูเหมือนว่าไม่มีหยดน้ำเหลืออยู่แล้ว แต่ท่ามกลางร่องรอยที่อ่อนจางนั้นกลับยังมีน้ำเส้นเล็กๆ ที่ไหลลามไปสี่ทิศ อีกทั้งยังสั้นยาวไม่เท่ากัน ไกลใกล้ไม่เหมือนกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!