หร่วนฉงที่หายตัวไปนานมาก ในที่สุดก็กลับคืนสู่บ้านของตัวเองเสียที เขาไปที่เพิงริมลำคลองหลงซวีมาก่อนรอบหนึ่ง ได้พบกับสวีเสี่ยวเฉียวลูกศิษย์ของตัวเอง จากนั้นก่อนจะไปยังภูเขาเสินซิ่วซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งของสำนักกระบี่หลงเฉวียน ก็ได้จัดการจับพวกภูตของจวนตระกูลเซียนภูเขาใหญ่ทางฝั่งตะวันตกที่พึ่งพาสำนักซึ่งไม่ยอมรักษากฎโยนออกไปนอกอาณาเขต แล้วหร่วนฉงถึงได้กลับไปยังภูเขาบ้านของตน ลูกศิษย์สิบสองคนที่รับมาตามหลังพวกต่งกู่ สวีเสี่ยวเฉียวได้ถูกศิษย์พี่รองอย่างต่งกู่เรียกให้มารวมตัวกัน แล้วให้พวกเขาออกกระบี่แสดงวรยุทธ หร่วนฉงมีสีหน้าไร้อารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็ไม่ได้ชี้แนะเวทกระบี่ที่เป็นรูปธรรมอะไรให้แก่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อกลุ่มนี้ เขานั่งอยู่บนม้านั่ง พอรับชมเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นไปหลอมกระบี่ต่อ ทำเอาพวกลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งเดิมทีเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันฮึกเหิมพากันกระวนกระวายไม่เป็นสุข
ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ชอบสวมชุดสีเขียวผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัว
แต่ศิษย์พี่สี่เซี่ยหลิงกลับอยู่ด้วย เขาถอนหายใจหนึ่งที แล้วจึงกลับไปฝึกตนที่เรือนของตัวเองต่ออีกครั้ง
พอหร่วนฉงปรากฏตัวก็มีคนทยอยกันมาเยือนสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างไม่ขาดสาย ด้วยหวังว่าจะได้รับความโปรดปรานจากจวนตระกูลเซียนที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อแห่งนี้
มีทั้งทายาทอายุน้อยที่ตระกูลผู้สูงศักดิ์ของต้าหลีคุ้มกันพามาส่ง แล้วก็มีเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เดินทางมาเพียงลำพัง และยังมีผู้ฝึกตนอิสระหลายคนที่หวังว่าจะได้กลายมาเป็นผู้ถวายงานหรือไม่ก็เค่อชิงบนภูเขา
ปลาและมังกรปะปนกัน
นี่ทำให้ลูกศิษย์ใหญ่ในนามของหร่วนฉงอย่างต่งกู่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจไม่น้อย
ต่งกู่ทั้งต้องทำหน้าที่เป็นอาจารย์ครึ่งตัวที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เหล่าเด็กรุ่นหลังร่วมสำนักทั้งสิบสองคนที่ชื่อยังไม่ได้รับการบันทึกลงในทำเนียบศาลบรรพจารย์ แล้วยังต้องดูแลเรื่องน้อยใหญ่ทั้งบนและล่างสำนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่คนทั้งสิบสองฝึกตนอยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว พรสวรรค์และสติปัญญามีสูงต่ำเท่าไร ต่างฝ่ายต่างก็พอจะรู้กันอยู่ในใจแล้ว และนิสัยใจคอของแต่ละคนก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมา บางคนคิดว่าพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่ของตนสู้คนอื่นไม่ได้ก็เลยเบนความสนใจไปในเรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้อื่น บางคนก้มหน้าก้มตามานะฝึกฝน แต่กลับยังไม่ได้ผล เวทกระบี่พัฒนาไปอย่างเชื่องช้า บางคนเวลาอยู่บนภูเขานอบน้อมถ่อมตน ทว่าลงจากภูเขากลับชอบโอ้อวดลำพองตนในฐานะลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ และยังมีตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ขอบเขตพัฒนาไปไกลพันลี้ได้ในวันเดียว นำโด่งทิ้งห่างจากคนรุ่นเดียวกันไปไกลที่ได้มาขอความรู้เรื่องวิชากระบี่ชั้นสูงของศาลลมหิมะจากต่งกู่เป็นการส่วนตัว
ส่วนพรรคตระกูลเซียนที่สร้างจวนอยู่บนภูเขาใหญ่แถบทิศตะวันตกทั้งหลายก็มักจะพากันแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนภูเขาเสินซิ่วเป็นประจำ แน่นอนว่าก็ยังต้องให้ต่งกู่ออกหน้าไปสานความสัมพันธ์ นั่นเป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองแรงกายและเวลาอย่างยิ่ง หร่วนซิ่วศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่มีทางสนใจเรื่องพวกนี้แน่นอน ศิษย์น้องสวีเสี่ยวเฉียวก็มีนิสัยเย็นชา ไม่ชอบเรื่องงานเลี้ยงหรือการเข้าสังคมมาตั้งแต่เกิด เซี่ยหลิงก็ยิ่งไม่ยินดีจะปั้นหน้ายิ้มพูดจาดีๆ กับใคร
หากไม่เป็นเพราะสำนักกระบี่หลงเฉวียนไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจในเรื่องของเงินทอง ต่งกู่ก็นึกอยากจะเปลี่ยนใจกลับคำ เป็นฝ่ายเปิดปากขอร้องหร่วนฉงผู้เป็นอาจารย์เรื่องการเปิดภูเขา จากนั้นก็จะได้ปิดด่านฝึกตนอย่างมีเหตุผลชอบธรรม ภายในร้อยปีต้องกลายเป็นก่อกำเนิด นี่ก็คือกฎข้อหนึ่งที่ต่งกู่ตั้งให้กับตัวเอง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่เหมือนกับสวีเสี่ยวเฉียวที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ของศาลลมหิมะมาตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ว่าต่งกู่จะเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาในทำเนียบของสำนักกระบี่หลงเฉวียน แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ อันที่จริงนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์อย่างมาก
หร่วนฉงไม่ถือสา ทว่าต่งกู่รู้สึกละอายใจในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ดังนั้นต่งกู่จึงคิดถึงวิธีการที่โง่เขลาที่สุด ในเมื่อไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ขอบเขตมาชดเชย
ส่วนเซี่ยหลิงผู้เป็นศิษย์น้องนั้น สามารถฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตขึ้นมาได้แล้ว ตอนนี้กำลังบำรุงด้วยความอบอุ่น ไม่เพียงเท่านี้ บรรพบุรุษสกุลเซี่ย หรือก็คือเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีปที่เผยบารมีของหนึ่งคนที่สามารถสยบหนึ่งทวีปผู้นั้น ได้ทยอยมอบสมบัติหนักบนภูเขาสองชิ้นให้กับหลานชายแห่งตรอกเถาเย่ผู้นี้ ชิ้นหนึ่งเป็นของที่เซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปคนหนึ่งทิ้งไว้ซึ่งมอบให้เซี่ยหลิงนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต มีนามว่า ‘ใบท้อ’ นั่นคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เซียนกระบี่ท่านนั้นทิ้งไว้หลังดับสิ้นจากโลกนี้ไป แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซี่ยหลิง แต่หากสามารถหลอมมันให้กลายมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ อานุภาพของสมบัติที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้จะมีมากน้อยเท่าไร ไม่ต้องคิดก็พอจะจินตนาการได้แล้ว
และยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกลูกหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘จันทร์เต็มดวง’ ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด
ต่งกู่รู้ดีอยู่แก่ใจตัวเองว่า ในสายตาของศิษย์น้องเซี่ยหลิงไม่มีศิษย์พี่อย่างเขาอยู่เลยแม้แต่น้อย ไม่ได้บอกว่าเซี่ยหลิงอาศัยที่พึ่งของตระกูลตนเองจึงมองไม่เห็นหัวใคร หยิ่งยโสโอหัง ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เวลาอยู่กับเขาต่งกู่ เซี่ยหลิงไม่เคยมีท่าทีไม่เคารพ และยิ่งไม่เคยนึกดูแคลนในตัวตนของต่งกู่ เวลาปกติขอแค่เป็นเรื่องที่เซี่ยหลิงสามารถช่วยได้ เขาล้วนไม่เคยบอกปัด ช่วงเวลาสำคัญในการฝึกตนบางช่วงหลังจากที่ต่งกู่เลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทอง เซี่ยหลิงก็ยิ่งเป็นฝ่ายเสนอตัวเป็นผู้ถ่ายทอดวิชากระบี่ให้เด็กรุ่นหลัง ไม่อาจหาข้อตำหนิใดๆ จากตัวเจ้าเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยผู้นี้ได้เลย
เพียงแต่ว่าเป็นเพราะฐานกระดูกและโชควาสนาของเซี่ยหลิงดีเกินไป บนภูเขา ในสายตาของเขามีเพียงหร่วนซิ่ว ล่างภูเขา เซี่ยหลิงก็จับจ้องแค่คนหนุ่มสาวเพียงหยิบมือซึ่งมีหม่าขู่เสวียนรวมเป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้น
มาถึงขอบเขตอย่างต่งกู่และเซี่ยหลิงนี้ การกินอาหารบนภูเขา แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ธัญพืชทั้งห้าที่ปะปนกันส่งเดชอีกต่อไป ส่วนใหญ่ล้วนต้องเป็นอาหารที่ปรุงตามตำราอาหารซึ่งสำนักโอสถหนึ่งในเมธีร้อยสำนักเรียบเรียงขึ้นอย่างตั้งใจ หนึ่งวันกินสามมื้อ อันที่จริงนี่สิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างมาก
เพียงแต่ว่ากิจการของสำนักกระบี่หลงเฉวียนนั้นยิ่งใหญ่ ทว่าลูกศิษย์มีน้อย อีกทั้งหร่วนฉงยังเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี ทุกปีล้วนสามารถได้รับเงินเดือนของเซียนซือก้อนใหญ่มาจากทางราชสำนักของต้าหลี ส่วนต่งกู่นั้น เนื่องจากเป็นขอบเขตโอสถทอง ในอดีตยังเคยเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนมาแล้วหนึ่งรอบ ไม่ได้ลงมือทำอะไรมากมาย แต่กลับได้คุณความชอบที่ไม่เล็กมาก้อนหนึ่ง หลังจบเรื่องจึงได้ป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กรมอาญาเป็นผู้มอบให้หนึ่งแผ่น ตอนนี้ยังได้แขวนชื่ออยู่ในหน่วยจานกานของต้าหลี ดังนั้นเขาเองก็มีเงินเดือนจากทางการก้อนใหญ่ที่จำนวนน่าตะลึงอยู่เช่นกัน
วันนี้หร่วนฉงออกจากห้องเตาหลอม ลงมือทำอาหารด้วยตัวเองหนึ่งโต๊ะ แล้วเรียกต่งกู่มาเพียงลำพัง
ต่งกู่ที่ได้เห็นอาหารบ้านๆ บนโต๊ะตัวนั้นก็รู้ทันทีว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ต้องมาด้วย
แล้วก็จริงดังคาด เพียงไม่นานหร่วนซิ่วก็เดินเข้ามาในห้อง นางเดินไปตักข้าวของตัวเอง แล้วนั่งลงข้างกายหร่วนฉง ส่วนต่งกู่แน่นอนว่าต้องนั่งหันหลังให้กับประตูห้อง ตรงข้ามกับอาจารย์อย่างหร่วนฉง
“ค่อยๆ กิน ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”
หร่วนฉงคีบเนื้อตุ๋นน้ำแดงชิ้นหนึ่งให้กับบุตรสาวอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็พูดกับต่งกู่ว่า “ได้ยินมาว่าอู๋ยวนที่เดิมทีเป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองถูกย้ายให้ไปอยู่จังหวัดใหม่แล้ว?”
ต่งกู่รีบวางตะเกียบลง แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “หลังจากที่เขตปกครองหลงเฉวียนเลื่อนขั้นเป็นจังหวัดหลงโจว ลูกศิษย์ของราชครูผู้นี้ก็ไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ว่าจังหวัดหลงโจวตามลำดับขั้นตอน แต่ถูกย้ายให้ไปรับตำแหน่งเดิม เป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองแถวบริเวณใกล้เคียงกับตีนเขาของขุนเขากลางแห่งใหม่ต้าหลีที่ตั้งอยู่บนอาณาเขตราชวงศ์จูอิ๋งเดิม อยู่ทางใต้ของสำนักศึกษากวานหูแห่งนั้น”
ทุกคนต่างก็เดากันออกว่าปีนั้นราชครูได้ฝากความหวังกับอู๋ยวนไว้มาก หวังให้เขามาบุกเบิกถิ่นฐานที่นี่ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะถูกสี่แซ่สิบตระกูลของเมืองเล็กร่วมมือกันผลักไสจนหมดสง่าราศี ถูกตอกกลับจนหน้าหงายอยู่หลายครั้ง แม้จะบอกว่าอำเภอได้เลื่อนเป็นเขตการปกครอง แต่ในใจใต้เท้าราชครูกลับไม่พอใจอยู่นานแล้ว ดังนั้นการที่เขตการปกครองได้เลื่อนเป็นจังหวัดในครั้งนี้ อันที่จริงอู๋ยวนที่ไม่มีคุณความดีก็มีคุณความเหนื่อยยากจึงถูกย้ายไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองให้รับตำแหน่งที่มองดูเหมือนเท่าเดิม แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการลดตำแหน่งให้ต่ำกว่าเดิม
เขตการปกครองหลงเฉวียนเลื่อนเป็นจังหวัดหลงโจว อาณาบริเวณกว้างใหญ่ ภายใต้การปกครองก็มีเขตอยู่สี่แห่งอย่างชิงสือ เป่าซี ซานเจียงและเซียงฮว่อ
เมืองเล็กยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของอำเภอไหวหวง
ตอนนี้นายอำเภอหยวนก็ได้ถือโอกาสเลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองชิงสือ ส่วนผู้ตรวจการเฉาของหน่วยตรวจการเตาเผามังกรก็ยังคงดำรงเป็นขุนนางตำแหน่งเดิม เพียงแต่ว่าทางฝั่งกรมพิธีการได้แอบเปลี่ยนระดับขั้นของขุนนางผู้ตรวจการท่านนี้ให้เท่าเทียมกับเจ้าเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง ดังนั้นคนหนุ่มของสองสกุลผู้เป็นเสาค้ำยันแคว้น อันที่จริงจึงถือว่าต่างก็ได้เลื่อนขั้นแล้ว เพียงแต่ว่าคนหนึ่งอยู่ในมุมสว่าง คนหนึ่งชื่อเสียงไม่โดดเด่นก็เท่านั้น
ผู้ว่าจังหวัดหลงโจวคือคนต่างถิ่นที่อยู่ในวงการขุนนางต้าหลีคนหนึ่ง มาจากแคว้นใต้อาณัติอย่างแคว้นหวงถิง มีนามว่าเว่ยหลี่ มีชาติกำเนิดที่ยากจน ตอนอยู่ในแคว้นหวงถิง ตำแหน่งขุนนางก็เป็นแค่เจ้าเมืองเขตเล็กๆ ระดับสี่ชั้นเอกเท่านั้น ผลกลับกลายเป็นว่าพอมาอยู่ต้าหลีดันได้เป็นขุนนางใหญ่สมชื่อสมตำแหน่ง นี่ทำให้ราชสำนักของต้าหลีรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ภายหลังจึงมีข่าวลือเล็กๆ แพร่มาจากเมืองหลวง ว่ากันว่าเขาเป็นคนที่เจ้ากรมขุนนางของต้าหลีเลือกตัวมาเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครคัดค้าน การกระทำแหกกฎที่เลื่อนขุนนางของแคว้นใต้อาณัติให้เป็นขุนนางคนสำคัญประจำท้องที่ของต้าหลีไม่สอดคล้องกับหลักพิธีการหรือ? ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ยังไม่ตรัสอะไร ทางฝั่งกรมพิธีการก็ไม่มีใครหาเรื่อง หากมีใครกล้ากระโดดออกมา คงคิดว่าเจ้ากรมผู้เฒ่ากวนกินหญ้าจริงๆ สินะ? ขุนนางของต้าหลีที่สู้กับราชครูชุยด้วยเหตุผลแล้วยังเถียงได้ชนะนั้น มีไม่กี่คนหรอก
นอกจากการเปลี่ยนแปลงในวงการขุนนางแล้ว เทพอภิบาลเมืองของอำเภอ เขตการปกครองและจังหวัดต่างก็มีการกำหนดจำนวนเอาไว้แล้ว เทพอภิบาลเมืองสองท่านของอำเภอและเขตการปกครองคือวิญญาณวีรบุรุษในท้องถิ่นที่จังหวัดใหญ่ใกล้เคียงสองจังหวัดเป็นผู้แนะนำมา แม้จะบอกว่าในบันทึกของฝั่งกรมพิธีการต้าหลีได้มีรายชื่อของพวกเขารอเสียบแทนตำแหน่งว่างขององค์เทพประจำศาลบุ๋น ศาลเทพอภิบาลเมืองและภูเขาแม่น้ำของแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปก็ไม่มีทางเอาตำแหน่งที่ดีเกินไปมามอบให้พวกเขาได้ ครั้งนี้อยู่ดีๆ ได้กลายเป็นเทพอภิบาลเมืองภายใต้การปกครองของจังหวัดหลงโจวจึงถือว่าเป็นงานดีดั่งชิ้นเนื้อติดมันที่ทำให้คนอิจฉา
ในฐานะเทพอภิบาลเมืองคนแรกของจังหวัดหลงโจวซึ่งตำแหน่งเทพสูงที่สุด การปรากฏตัวของเทพอภิบาลเมืองท่านนี้ก็ทำให้วงการขุนนางต้าหลีเกิดความครึกโครมไม่น้อยเช่นกัน ขุนนางสำคัญที่อยู่ศูนย์กลางหลายคนต่างก็ได้เห็นเรื่องตลกของเฉาหยวนสองแซ่เสาหลักของแคว้น
เพราะเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดไม่ใช่คนที่สองแซ่ใหญ่เป็นผู้แนะนำ แต่เป็นเทพแห่งผืนเดินเล็กๆ ของศาลเล็กบนภูเขาแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาหมั่นโถวซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดตัดระหว่างสองแม่น้ำอย่างซิ่วฮวาและชงตั้น
หร่วนฉงเอ่ยเนิบช้า “อู๋ยวนออกไปจากแผ่นดินของต้าหลี อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป”
ต่งกู่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องวงในของราชสำนักต้าหลี จึงไม่กล้าพูดอะไรส่งเดช
แต่การจากไปของอู๋ยวน ทำให้ต่งกู่รู้สึกเสียดายไม่น้อย เพราะเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้รู้จักวางตัวยิ่งนัก วิธีการที่เขาใช้คบค้าสมาคมกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ทำให้ต่งกู่รู้สึกชื่นชมอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!