กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 530

สรุปบท บทที่ 530.1 ทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่ว: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 530.1 ทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่ว – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 530.1 ทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่ว ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่เฉินผิงอันชักเท้ากลับมาจากธารน้ำก็พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ มือขวาของเขาสั่นสะท้าน บนมือมีฝุ่นผงจำนวนมากที่ร่วงเผลาะลงมา

ตอนนั้นมือขวาของเฉินผิงอันถูกนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ใช้วิชาอภินิหารของลัทธิพุทธพันธนาการเอาไว้ นี่ก็คือเศษธุลีจากการที่ผลกรรมซึ่งรัดพันอยู่ถูกกระเทือนให้สลายหายไป

ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่ใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตเต็มที ขนาดฉีจิ่งหลงก็ยังให้คำวิจารณ์เกี่ยวกับการลอบฆ่าที่ริมลำคลองว่า ‘อันตรายอย่างถึงที่สุด’ บางทีสาเหตุครึ่งหนึ่งอาจเป็นเพราะวิชาอภินิหารของลัทธิพุทธวิชานี้

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้สองมือวักน้ำมาล้างหน้า มองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ เขาเอียงศีรษะ ใช้ฝ่ามือถูตอหนวดบางๆ ที่อยู่ตรงคาง เริ่มรู้สึกเป็นกังวลว่าตนจะกลายเป็นชายฉกรรจ์เคราดกอย่างสวีหย่วนเสียหรือไม่

เฉินผิงอันยื่นมือลงไปในน้ำ แบฝ่ามือออกแล้วกดลงเบาๆ กระแสน้ำไหลในลำธารพลันหยุดนิ่ง แต่ต่อมาก็ไหลรินไปเป็นปกติเหมือนเดิม

เฉินผิงอันเปลี่ยนท่าฝ่ามือ วาดฝ่ามือหมุนเป็นวงกลม กระแสน้ำวนตรงฝ่าเท้ายิ่งนานก็ยิ่งขยายใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็หยุดการกระทำนี้ลง น้ำในลำธารจึงเริ่มกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

เมื่อก่อนตอนที่เดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์พร้อมกับจางซานเฟิง เคยเห็นนักพรตหนุ่มผู้นั้นยกมือทำท่าทางบางอย่างอยู่กับตัวเองเป็นประจำ จะกำเป็นหมัดก็ไม่กำ จะแบฝ่ามือก็ไม่แบ ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด เฉินผิงอันจึงลองเรียนรู้ท่ามือเหล่านั้นมาอย่างผิวเผิน เพียงแต่มักจะรู้สึกว่าตัวเองยังทำไม่ถูก อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งอ่อนด้อยของวิชาหมัด ต่อให้มีจางซานเฟิงร้อยคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินผิงอัน แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นเรื่องของการเรียนวิชาหมัด เฉินผิงอันเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมาโดยตลอด ก็เหมือนปีนั้นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นท่าหมัดรากฐานของจ้งชิว เฉินผิงอันได้เห็นแล้วลองร่ายออกมา ก็ไม่เพียงแต่เหมือนทางภาพลักษณ์ภายนอก ยังเหมือนทางจิตวิญญาณอยู่อีกหลายส่วน ทว่าวิชาหมัดของจางซานเฟิง เฉินผิงอันกลับเรียนไม่เป็นเสียที

เวลานี้เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดลึก คิดแค่ว่าวิชาหมัดของจางซานเฟิงเป็นวิชาหมัดของผู้ฝึกตนบนภูเขา เป็นวิชาที่ใช้หล่อเลี้ยงลมปราณโดยเฉพาะ จึงจำเป็นต้องมีมรรคกถาเต๋าประกอบด้วย

การที่ผู้ฝึกยุทธของยุทธภพชั้นล่างสุดถูกเรียกอย่างเยาะเย้ยว่านักต่อสู้ ก็เพราะว่าเป็นแค่กระบวนท่าหมัด วิธีการใช้เล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่เคยรู้ถึงความหมายที่แท้จริง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สิ่งที่พิถีพิถันอย่างแท้จริงก็ยังคงเป็นเส้นทางการเดินของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้น หากลึกลงไปยิ่งกว่านั้นก็คือคำว่าปณิธานอันศักดิ์สิทธิ์ นั่นจะเป็นขอบเขตที่ยิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ กระบวนท่าหมัดแบบเดียวกัน ปณิธานหมัดกลับมีความแตกต่าง วิชาหมัดแบบเดียวกันที่เรียนมาจากอาจารย์คนเดียวกัน แต่กลับอาจเกิดภาพบรรยากาศที่แตกต่างกันไปดั่งบุตรทั้งเก้าของมังกร นี่คือหลักการเดียวกับการที่คนบนโลกมองภูเขามองสายน้ำ มองลมมองหิมะแล้วเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวที่บอกว่าอาจารย์พาเข้าสำนัก ฝึกฝนอยู่ที่ตัวเอง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวมายืดเส้นยืดสายไปหนึ่งรอบ

หลอมจิตแห่งวีรบุรุษได้ก็คือกุญแจสำคัญของขอบเขตหก

คำว่าจิตวีรบุรุษนั้น ไม่ใช่สิ่งของที่จับต้องได้จริง แต่เป็นตำแหน่งที่เอาไว้ใช้ฝึกฝนหล่อเลี้ยงลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กับจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ ความหมายของมันยิ่งใหญ่ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับโอสถทองของผู้ฝึกตน

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันบอกว่าตัวเองอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุขอบเขตอีกแค่สองความหมาย ตอนนี้มีจิตแห่งวีรบุรุษหนึ่งดวงแล้ว ก็เหลือแค่ความหมายอย่างสุดท้ายนั่นแล้ว ในความเป็นจริงแล้วระดับความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายและจิตวิญญาณเฉินผิงอันนั้นสามารถทัดเทียมได้กับขอบเขตร่างทองมานานแล้ว การขัดเกลาจากหมัดของชุยเฉิง กับการประมือกับจูเหลี่ยน การหล่อหลอมท่ามกลางบ่อสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ บวกกับการเข่นฆ่าสังหารหลายครั้งบนเส้นทางของการเดินทางไกล แน่นอนว่ายังมีการฝึกหมัดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นการฝึกตนอยู่ด้านนอกของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง

ทว่าข้อเล็กๆ นี้กลับมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นคอขวดใหญ่ ห่างจากขอบเขตร่างทองก็คือปราการธรรมชาติขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

แต่เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน ยิ่งคอขวดใหญ่เท่าไรก็ยิ่งดี เพราะโอกาสที่จะช่วงชิงขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยิ่งมีมากเท่านั้น

คำว่าแข็งแกร่งที่สุดนี้ เมื่อก่อนเฉินผิงอันแทบไม่เคยคิดถึง ปีนั้นที่เป็นขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นก็เพราะถูกหมัดแต่ละหมัดของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วหล่อหลอมออกมา ไม่เกี่ยวสักนิดเลยว่าเฉินผิงอันจะต้องการหรือไม่ เมื่ออยู่บนมือของชุยเฉิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ เจ้าเฉินผิงอันไม่อยากได้ก็จะไม่เอาได้หรือ?

หนึ่งในเส้นสายของเส้นทางหัวใจเฉินผิงอัน ปลายด้านหนึ่งของเส้นหนึ่งในนั้นก็คือเป็นอย่างที่ผู้เฒ่าเหยาเคยพูดไว้ ‘อะไรที่ควรเป็นของเจ้าก็คว้าไว้ให้ดี อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้าก็อย่าแม้แต่จะคิด’ สรุปโดยรวมแล้วก็หนีไม่พ้นสี่คำบนกรอบป้ายของลัทธิพุทธซุ้มก้ามปูที่บอกว่า ‘อย่าแสวงหาสิ่งนอกกาย’ แล้วก็ขยายความออกไปได้เป็นเหตุผลที่ว่า ‘ชะตาแปดฉื่อ อย่าไขว่คว้าหนึ่งจั้ง’ และเฉินผิงอันก็มองมันเป็นหลักการเหตุผลที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน นี่ก็คือเส้นทางหัวใจที่น้ำมาคลองก็สำเร็จ ดังนั้นทุกคำพูดและทุกการกระทำท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานของเฉินผิงอันจึงได้รับอิทธิพลที่ซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว

ยกตัวอย่างเช่นโชคชะตาบู๊ของนครมังกรเฒ่าที่ถูกเฉินผิงอันต่อยกลับไป อีกทั้งยังต่อยกลับไปถึงสองครั้งติด นอกจากนี้เฉินผิงอันก็แทบไม่ยินดีที่จะเข้าไปแสวงหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล แต่ชอบ ‘เก็บตกสมบัติเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นชิ้นไม่เป็นอัน’ มากกว่า

ก็เหมือนกับคนธรรมดาบนโลกมองธารน้ำที่จะมองเห็นแค่กระแสน้ำไหล ไม่มีทางเห็นไปถึงใต้ท้องน้ำ

เฉินผิงอันเองก็เคยเป็นคนหนึ่งในนั้น นี่คือหลักการเหตุผลที่เฉินผิงอันค่อยๆ คิดจนกระจ่างหลังจากที่พิศคนพิศมรรคา ฝึกฝนและถามใจตัวเองอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้

เข้าใจคนอื่นคือผู้รอบรู้ เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง

ยากมากนัก

ดังนั้นความรู้ที่ผ่านการอนุมานขบคิดใคร่ครวญมาครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายนำมาสรุปรวบรวม ถึงจะกลายมาเป็นหลักการเหตุผลที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง

เฉินผิงอันกลับไปนั่งลงข้างริมธารน้ำอีกครั้ง

เขามองไปทางทิศใต้

ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

เขาถึงได้หัวเราะออกมา

แล้วทำท่ามือเหมือนเขกมะเหงก

ไม่รู้ว่าตอนนี้เผยเฉียนที่อยู่ในโรงเรียนเรียนหนังสือเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

……

เรือข้ามทวีปแห่งหนึ่งที่มาจากสำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูกจอดเทียบท่าบนภูเขาหนิวเจี่ยวเขตการปกครองหลงเฉวียนช้าๆ

สตรีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น สวมหมวกคลุมใบหน้า ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ข้างกายมีผู้ปกป้องมรรคาที่แผ่ภาพบรรยากาศของโอสถทองคนหนึ่งติดตามมาด้วย

ก็คือสุยจิ่งเฉิงที่เดินทางข้ามทวีปลงใต้ และหรงช่างผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง

เมื่อเรือข้ามฟากขับเคลื่อนเข้ามาในอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป สุยจิ่งเฉิงก็มักจะออกจากห้องมาก้มหน้าลงมองภูเขาแม่น้ำของต่างทวีปอยู่ตรงหัวเรือบ่อยๆ

ใต้ฝ่าเท้าก็คือราชวงศ์ต้าหลี

เว่ยป้อโบกมือ รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยน “แม่นางสุยไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้ ต่อจากนี้จะเดินเล่นที่ร้านผ้าห่อบุญของภูเขาหนิวเจี่ยวก่อนสักรอบ หรือจะตรงไปที่ภูเขาลั่วพั่วเลย?”

สุยจิ่งเฉิงตอบ “พวกเราไปที่ภูเขาลั่วพั่วก่อนก็แล้วกัน”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ แล้วจึงร่ายวิชาอภินาร พาสุยจิ่งเฉิงกับหรงช่างไปถึงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน

แล้วหรงช่างก็ต้องตกตะลึงอยู่ในใจอีกครั้ง

การเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนขององค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีผู้นี้น่าจะมีปัญหาไม่มาก ระดับของความสอดผสานกลมกลืนระหว่างภูเขาสายน้ำของเขาช่างชวนให้คนตกใจนัก

ย่อพื้นที่ภูเขาสายน้ำพันลี้ให้เล็กลง ถูกหอบหุ้มร่างให้เดินทางไปไกล หรงช่างค้นพบว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตนเล่มนั้นกลับไม่มีความเคลื่อนไหวสักเท่าไรเลย

เว่ยป้อเอ่ยขออภัย “ถึงอย่างไรก็เป็นภูเขาของเฉินผิงอัน ข้าไม่อาจส่งพวกเจ้าไปยังเรือนพักที่อยู่กึ่งกลางภูเขาได้โดยตรง คงต้องรบกวนให้แม่นางสุยกับเซียนกระบี่หรงเดินขึ้นเขากันไปเองแล้ว”

เรือนหลังหนึ่งตรงหน้าประตูภูเขา มีชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งที่ไม่ใส่รองเท้าวิ่งเท้าเปล่าออกมา พอเห็นสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าแล้วก็คร้านจะชำเลืองตามองบุรุษอีก

เว่ยป้อเอ่ยแนะนำว่า “ท่านผู้นี้คือพี่ใหญ่ต้าเฟิง เป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว”

เจิ้งต้าเฟิงยืนอยู่ข้างกายเว่ยป้อ ถูมือยิ้มกล่าว “คงเป็นแม่นางสุยกระมัง? อยากจะเข้าไปนั่งในบ้านของข้าก่อนหรือไม่ ข้ากับเว่ยป้อสามารถทำอาหารมื้อดึกให้เจ้าได้ ถือเสียว่าเป็นการช่วยรับรองแขกแทนเฉินผิงอัน ช่วยต้อนรับแม่นางสุยแทนเขา หลังจากกินอิ่มหนำสำราญแล้ว จะพักค้างแรมก็ไม่มีปัญหา บ้านของข้าใหญ่ ห้องหับก็เยอะแยะ อย่าว่าแต่แม่นางสุยคนเดียวเลย ต่อให้แม่นางสุยพาเพื่อนที่เป็นสตรีมาด้วยกันหลายๆ คนก็ไม่ต้องกลัว…ใช่แล้ว ข้าแซ่เจิ้ง แม่นางสุยสามารถเรียกข้าว่าพี่ใหญ่เจิ้งก็ได้ ไม่ต้องเห็นกันเป็นคนอื่นคนไกล”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง

เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจว่า “แม่นางสุยกับเซียนกระบี่หลงจะหยุดพักกินอาหารมื้อดึก หรือจะขึ้นเขาเดินทางต่อทันทีเลยก็ได้ทั้งนั้น”

ผลคือสุยจิ่งเฉิงกับหรงช่างเห็นบุรุษหลังค่อมคนนั้นกระทืบเท้าของเว่ยป้อหนึ่งที ยังคงพูดหน้ายิ้มไม่เปลี่ยน “แค่อาหารมื้อดึกมื้อเดียวเท่านั้น ไม่รบกวนๆ”

สุยจิ่งเฉิงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นไปบนภูเขาดีกว่า มีเรื่องบางอย่างยังต้องพูดกับท่านเทพภูเขาเว่ยอย่างละเอียด จดหมายลับที่ส่งมากับกระบี่บินไม่อาจเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก”

เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจหนึ่งที ปลายเท้าออกแรงขยี้บนรองเท้าของเว่ยป้อหนักๆ ซ้ำอีกครั้ง เว่ยป้อสีหน้าเป็นปกติ พูดกับสุยจิ่งเฉิงว่า “ตกลง”

หรงช่างที่มองดูอยู่เกือบจะมีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก จิตแห่งกระบี่ไม่มั่นคง

—-

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!