ตอนนี้เขาไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินแล้ว อยู่ในแจกันสมบัติทวีปก็กล้าเดินกร่าง แน่นอนว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ตัวเขาเองต้องอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่มชุดขาวด้วย
เถ้าแก่ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือเฉินเสี่ยวหย่งเซียนหลิวหลีที่ไม่อาจทำตามแผนการที่วางไว้ในแคว้นไฉ่อีได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับตราประทับเทียนซือเทพอภิบาลเมืองที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองจินเฉิงเก็บซ่อนไว้ไปได้ แถมยังเกือบจะต้องกายดับมรรคาสลาย แม้แต่ถ้วยหลิวหลีใบนั้นก็ยังเกือบจะรักษาไว้ไม่อยู่ โชคดีที่ใต้เท้าราชครูและศาลาคลื่นมรกตต่างก็ไม่ได้ถือสาในข้อบกพร่องเล็กน้อยนี้ของเขา และนี่ก็เป็นเรื่องปกติ ราชครูใหญ่ชุยเป็นบุคคลบนยอดเขาที่ปณิธานอยู่กับการฮุบกลืนแผ่นดินของหนึ่งทวีป ไหนเลยจะมามัวคิดเล็กคิดน้อยกับผลได้ผลเสียของหนึ่งคนหนึ่งเวลาหนึ่งสถานที่ แต่หลังจากที่เด็กหนุ่มชุดขาวหาที่ซ่อนตัวของเขาพบ เซียนหลิวหลีก็ยังคงถูกหลอกอย่างน่าอนาถอยู่ดี น่าอนาถมากแค่ไหน ก็อนาถถึงขั้นที่ว่าถูกอีกฝ่ายวางแผนเล่นงานไปเสียทุกด้าน ตอนนี้เขารู้แค่ว่า ‘เด็กหนุ่ม’ แซ่ชุยผู้นี้ก็คือผู้รับผิดชอบของสายลับเดนตายทั้งหมดที่อยู่ทางทิศใต้ของต้าหลี
ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจของซ่งจี๋ซินแผ่กระเพื่อม พอได้รับประโยคนั้นแล้วก็เริ่มเดินไปทางเรือนด้านหลัง
เพิ่งจะเลิกผ้าม่านขึ้น เซียนหลิวหลีก็รีบเอ่ยว่า “ลูกค้า ด้านหลังเข้าไปไม่ได้นะ”
ซ่งจี๋ซินจึงยิ้มเอ่ย “ข้าชื่อซ่งมู่”
เซียนหลิวหลีคิดแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เชิญนายท่านตามสบาย”
ซ่งจี๋ซินหันหน้าไปทางหน้าประตู “ไม่ไปด้วยหรือ?”
จื้อกุยหันหน้ามายิ้มให้ “อย่าดีกว่า”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้นางกลัวคนแค่สามคน คนหนึ่งตายไปแล้ว อีกคนหนึ่งไม่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ ครึ่งหนึ่งของคนสุดท้ายก็อยู่ในเรือนด้านหลังนั่น
ซ่งจี๋ซินจึงเดินไปยังเรือนด้านหลังเพียงลำพัง เขาเดินไปทางห้องหลักที่ประตูใหญ่เปิดอ้าด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเนิบช้า ก่อนจะเดินเข้าไปก็จัดระเบียบชุดของตัวเองให้เรียบร้อย
เขาซ่งจี๋ซินสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ มาจากการตัดสินใจร่วมกันของคนผู้นั้นที่อยู่ในห้อง กับซ่งจ่างจิ้งท่านอาของเขา
ส่วนมารดาและ ‘พี่ชาย’ ที่เป็นฮ่องเต้คนนั้น คงจะไม่ถือสาหากชื่อของเขาจะถูกบันทึกแล้วก็ลบออกจากทำเนียบของฝ่ายพลเรือนในพระองค์อีกครั้ง
เดินข้ามธรณีประตูเข้าไป
เด็กหนุ่มชุดขาวดูราวกับกำลังทำให้ห้องโถงของเรือนหลักแห่งนี้กลายมาเป็นห้องหนังสือ บนโต๊ะแปดเซียนกาง ‘ภาพขี่ม้าเลียบสะพานริมหน้าผาในค่ำคืนหิมะตก’ เป็นเพียงเค้าโครงขาวดำ ทว่ากลับมีท่วงทำนองและภาพบรรยากาศสมจริง สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลงานจากฝีมือเทพ
และเขายังเปิดนิยายในยุทธภพของร้านหนังสือส่วนตัวที่จัดพิมพ์อย่างหยาบๆ ไว้เล่มหนึ่ง ใช้ที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์รูปสัตว์ตัวน้อยทับเอาไว้ บนหน้าหนังสือมีอักษรสีแดงเขียนคำอธิบายไว้หลายจุด
ซ่งจี๋ซินประสานมือคารวะ “ซ่งมู่คารวะท่านราชครู”
ชุยตงซานฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ สองขาเกี่ยวพันไว้ด้วยกัน ท่วงท่าเกียจคร้าน เขาหันหน้ามามองซ่งจี๋ซินแล้วยิ้มกล่าวว่า “จากลาที่เมืองเล็กนานหลายปี ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งแล้ว”
ซ่งจี๋ซินเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “หากไม่เป็นเพราะท่านราชครูมีเมตตา ซ่งจี๋ซินก็ไม่มีโอกาสได้กลายเป็นเชื้อพระวงศ์ของต้าหลี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้รับตำแหน่งอ๋องมาอยู่พื้นที่ศักดินาอย่างนครมังกรเฒ่าเลย”
ชุยตงซานเอ่ยด้วยถ้อยคำที่ราวกับว่าหากไม่ทำให้คนตกใจจะไม่ยอมเลิกรา “ปีนั้นอันที่จริงฉีจิ้งชุนได้มอบสิ่งของไว้ให้กับทั้งเจ้าและจ้าวเหยา จ้าวเหยาน่ะ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด จึงต้องทำการค้ากับข้าครั้งหนึ่ง เขายอมตัดใจสละตราประทับตัวอักษรชุนชิ้นนั้น ผลได้ผลเสียของเรื่องครานั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจน ส่วนเจ้า ฉีจิ้งชุนมอบตำราเหล่านั้นไว้ให้ เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่เก็บมาใส่ใจ คร้านจะเปิดอ่าน อันที่จริงฉีจิ้งชุนล้วนทิ้งความรู้ความเข้าใจของตัวเองที่ได้จากลัทธิขงจื๊อและสำนักนิติธรรมไว้ให้เจ้าในตำราเหล่านั้น ขอแค่เจ้ามีความจริงใจมากพอก็ย่อมมองเห็น ฉีจิ้งชุนไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ ความหวังที่เขามีต่อเจ้าไม่น้อยเลย ภายนอกขงจื๊อภายในนิติธรรม เป็นสิ่งที่ใครควรเรียนรู้? หากเจ้าได้ความรู้เหล่านั้นไปครอง บางทีท่านอาของเจ้าและข้าอาจทำให้มังกรบนชุดของเจ้ามีเล็บเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเล็บก็เป็นได้”
สีหน้าของซ่งจี๋ซินยังคงเป็นปกติ
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “สภาพจิตใจดีกว่าจ้าวเหยาอยู่มาก ก็ไม่แปลกที่ปีนั้นจ้าวเหยาเลื่อมใสเจ้ามาตลอด เวลาเล่นหมากล้อมก็ยิ่งสู้เจ้าไม่ได้”
ชุยตงซานชี้ไปที่ม้านั่งตัวหนึ่ง
ซ่งจี๋ซินจึงนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว
ชุยตงซานยังคงนอนฟุบตัวบนโต๊ะตลอดเวลา ยิ้มเอ่ยราวกับกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป “ซ่งอวี้จางตายไปไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ วิธีการสร้างสะพานแบบคานของอดีตฮ่องเต้สกปรกต่ำช้า เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีลูกหลานมังกรของสกุลซ่งต้าหลีตายไปมากขนาดนั้น ทว่าขุนนางผู้ตรวจการอย่างซ่งอวี้จางกลับไม่เพียงแต่ไม่หยุดเมื่อพอสมควร รีบขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับเจ้า ใช้ชีวิตบั้นปลายของตัวเองอยู่ในกรมพิธีการไปให้ดี กลับเห็นองค์ชายอย่างเจ้าเป็นบุตรชายนอกสมรสของตัวเอง หากแบบนี้ยังไม่เรียกว่ารนหาที่ตาย แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่ารนหาที่ตายได้อีก?”
แก้มของซ่งจี๋ซินขยับเล็กน้อย น่าจะเกิดจากการกัดฟันเบาๆ
ชุยตงซานหัวเราะร่า จุ๊ปากพูด “เจ้าซ่งจี๋ซินใจใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะได้นั่งหรือไม่ได้นั่งบนบัลลังก์มังกร สายตาของเจ้ามองไปไกลยิ่งกว่านั้น ทว่าจิตใจของเจ้าก็คับแคบเช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจปล่อยวางซ่งอวี้จางเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วลูกเล็กๆ ได้”
มือทั้งสองของซ่งจี๋ซินกำหมัดแน่น เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หม่าขู่เสวียนตอแยสาวใช้ของเจ้าไม่ยอมเลิกรา ทำให้เจ้าไม่สบอารมณ์มากเลยใช่ไหม?”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “ข้ารู้ว่าจื้อกุยไม่ได้คิดอะไรกับเขา แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้คนสะอิดสะเอียน ดังนั้นรอวันใดที่สถานการณ์ในใต้หล้าอนุญาตให้ข้าสังหารหม่าขู่เสวียนได้แล้ว ข้าจะต้องลงมือฆ่าเจ้าเศษสวะตรอกซิ่งฮวาผู้นี้กับมือตัวเอง”
ชุยตงซานโบกมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เศษสวะ? อย่าได้พูดจาวางโตไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ ลูกหลานสกุลซ่งต้าหลีอย่างเจ้า ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ต่างหาก ถึงจะเป็นเศษสวะในสายตาของหม่าขู่เสวียน แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาเจินอู่จะต้องปกป้องหม่าขู่เสวียนอย่างสุดชีวิต นอกจากนี้ความเร็วในการฝึกตนของหม่าขู่เสวียนก็อยู่ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณทั้งทวีปตลอดมา ดังนั้นคำว่าสถานการณ์ที่เจ้าพูดถึงนี้ บางทียิ่งถ่วงเวลาล่าช้าเท่าไร เจ้าก็ไม่มีโอกาสมากเท่านั้น”
ซ่งจี๋ซินส่ายหน้า “ประกายเฉียบมคมเกินไป เดินไปบนทางสุดโต่งย่อมเกิดเหตุพลิกผัน ในเมื่อข้าเป็นอ๋องเจ้าเมืองของโลกมนุษย์ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยต่อสู้เอาชีวิตกับเขา การฆ่าคนบนโลกใบนี้ นอกจากหมัดแล้ว ยังมีวิธีอีกมาก”
หม่าขู่เสวียนที่อยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งสังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองคนติด ครั้งหนึ่งคือค่อยๆ วางแผนทีละก้าวปั่นหัวอีกฝ่าย อีกครั้งหนึ่งก็แทบจะเรียกได้ว่าเดิมพันด้วยชีวิต เลือกที่จะใช้สมบัติก้นกรุที่มีมากมายไร้ที่สิ้นสุดของตนมาสั่นสะเทือนคู่ต่อสู้
พรสวรรค์ในการฝึกตนที่หม่าขู่เสวียนแสดงออกมาท่ามกลางการเข่นฆ่าทั้งสองครั้ง พอจะทำให้มองเห็นได้เลือนๆ ว่าเขาจะกลายมาเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งด้านการฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปอย่างสมศักดิ์ศรี
ก่อนหน้าหม่าขู่เสวียน ลูกรักแห่งสวรรค์บนภูเขาที่ได้รับการยอมรับจากผู้คน ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้า อีกคนหนึ่งคือเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ
หากไม่เป็นเพราะถูกความรักพันธนาการ บนภูเขาก็มีคำกล่าวหนึ่งที่สืบทอดกันมาเนิ่นนานว่า หากหลี่ถวนจิ่งสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบได้เมื่อไหร่ เขาก็จะมีโอกาสได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน หรือแม้กระทั่งขอบเขตบินทะยาน! ถึงเวลานั้นสำนักโองการเทพย่อมไม่มีทางกำราบสวนลมฟ้าได้อยู่ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูเขาตะวันเที่ยงเลย ดังนั้นบุญคุณความแค้นในปีนั้นของหลี่ถวนจิ่ง แท้จริงแล้วมีเรื่องวงในซับซ้อนมากมาย ย่อมไม่ใช่แค่การดึงภูเขาตะวันเที่ยงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเมื่อหลี่ถวนจิ่งลาจากโลกนี้ไป ความจริงเหล่านี้ก็ล้วนกลายเป็นหมอกควันที่ลอยผ่านหายไป ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ภูเขาตะวันเที่ยงที่ถูกหลี่ถวนจิ่งหนึ่งคนหนึ่งกระบี่สยบกำราบมานาน ในที่สุดก็ได้ลืมตาอ้าปาก เริ่มหันกลับมาเป็นฝ่ายข่มทับสวนลมฟ้าได้บ้างแล้ว หากไม่เป็นเพราะหวงเหอเจ้าสวนคนใหม่เริ่มปิดด่าน ทำให้กองกำลังของแต่ละฝ่ายต้องรอเขาออกจากด่าน มีเพียงหลิวป้าเฉียวคนหนึ่งที่ต้องคอยประคับประคองสวนลมฟ้าไว้อย่างยากลำบาก เหล่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่าทั้งหลายที่ถูกภูเขาตะวันเที่ยงทำให้อัดอั้นมานานจนไฟโทสะสุมเต็มท้องก็คงหันมาท้าประลองกระบี่กับสวนลมฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่าไปแล้ว
ชุยตงซานใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะเบาๆ จมสู่ภวังค์ของความคิด
ซ่งจี๋ซินไม่ได้มีท่าทางร้อนใจใดๆ
เขาไม่เคยรู้สึกว่าได้เป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลีแล้วจะมีคุณสมบัติมายืดอกเชิดหน้าต่อหน้าคนผู้นี้ และในความเป็นจริงแล้วต่อให้เปลี่ยนชุด นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็คงจะเหมือนกัน
ชุยตงซานมองไปนอกห้อง อยู่ดีๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “นกที่ถือกำเนิดอยู่ในกรง ย่อมนึกว่าการกางปีกบินเป็นอาการป่วยอย่างหนึ่ง”
“ไก่จิกอาหารอยู่บนพื้น มีเงาของเหยี่ยวบินผ่านมาบนท้องฟ้า ก็จะเริ่มเป็นกังวลว่าข้าวเปลือกจะถูกแย่งไป”
ซ่งจี๋ซินขบคิดความหมายที่ลึกซึ้งของสองประโยคนี้อย่างละเอียด
ชุยตงซานถอนหายใจ “ไม่พูดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์พวกนี้แล้ว ครั้งนี้ที่เดินทางมา นอกจากเพื่อผ่อนคลายอารมณ์แล้ว ยังมีธุระอีกอย่างหนึ่งที่อยากบอกกับเจ้า อ๋องเจ้าเมืองอย่างเจ้าจะเอาแต่อยู่ในนครมังกรเฒ่าตลอดไปไม่ได้ หลังจากนี้ศึกใหญ่ครั้งที่สองของต้าหลีพวกเรากำลังจะเปิดฉากอย่างแท้จริงแล้ว เจ้าไปที่ราชวงศ์จูอิ๋ง รับผิดชอบดูแลเรื่องการสร้างเมืองหลวงแห่งที่สองด้วยตัวเอง แล้วก็ถือโอกาสนี้สานสัมพันธ์กับสำนักโม่ด้วย การศึกที่ใช้สงครามเลี้ยงสงคราม หากหยุดอยู่แค่ที่การแย่งชิง จะไม่มีความหมายใดๆ เลย”
ซ่งจี๋ซินถามเสียงเบา “ขอถามท่านราชครู ครั้งที่สองที่ว่านี้คือ?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่มีความเสียหายที่สามารถซ่อมแซมและสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ล้วนถือเป็นการรนหาที่ตายเอง นี่ไม่ใช่วิถีทางที่ยาวนาน”
ซ่งจี๋ซินเป็นคนฉลาด เขาจึงพอจะเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในถ้อยคำของราชครูผู้นี้ได้
ชุยตงซานเอ่ยต่อว่า “เส้นทางการลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี การที่ทำลายทุกกฎเกณฑ์ ทุกระบบกฎหมายของราชวงศ์ทั้งหมดที่เคยมีมา ก็เป็นเพียงแค่สนามรบบนหลังม้าเท่านั้น หลังจากนี้ผู้ฝึกยุทธต้าหลีที่ต้องพลิกตัวลงจากหลังม้าควรจะป่าวประกาศกฎหมายของต้าหลีพวกเราออกไปอย่างไร ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญในความสำคัญอีกที กฎหมายเป็นสิ่งไร้ชีวิต มันถูกวางอยู่ตรงนั้น ดังนั้นกุญแจสำคัญจึงอยู่ที่ตัวคน ความดีเลวของกฎหมาย ครึ่งหนึ่งอยู่บนเอกสาร อีกครึ่งอยู่บนตัวคน ทางทิศเหนือควรทำอย่างไร ทางทิศใต้ควรทำอย่างไร ก็คือการทดสอบครั้งแรกระหว่างอ๋องเจ้าเมืองอย่างเจ้ากับฮ่องเต้ อย่าได้เห็นพวกเสาคานหลักของแคว้นซึ่งรวมถึงนายท่านผู้เฒ่ากวนของต้าหลีเป็นคนโง่ แต่ละคนต่างก็เบิกตากว้างมองดูพวกเจ้าสองคนอยู่ทั้งนั้น”
ซ่งจี๋ซินเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ขอบคุณท่านราชครูที่ชี้แนะ”
ชุยตงซานหัวเราะ “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดทั้งๆ ที่อดีตฮ่องเต้ตั้งใจจะให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้ ทว่าก่อนเขาจะตายกลับสั่งให้ท่านอาของเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทน? ยืนกรานจะทำให้ทุกคนเห็นว่าเขามีความคิดจะมอบตำแหน่งให้น้องชายตัวเองให้ได้?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!