ทางฝั่งเรือนเล็กบนภูเขา
จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อรับฟังการบอกเล่าอย่างละเอียดจากสุยจิ่งเฉิงที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นประสบการณ์ที่เฉินผิงอันพบเจอมาระหว่างการเดินทางข้ามผ่านภูเขาแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว
เว่ยป้อก็เก็บไม้เท้าเดินป่าอันนั้นไป เตรียมจะนำไปส่งมอบให้กับชุยตงซานผ่านภูเขาพีอวิ๋นของเขา เพราะนี่จะเหมาะสมยิ่งกว่าให้จูเหลี่ยนใช้สถานะของภูเขาลั่วพั่วส่งออกไป
นอกจากไม้เท้าเดินป่าแล้ว ตัวของสุยจิ่งเฉิงเองยังพกจดหมายลับไว้หนึ่งฉบับ ถ้อยคำที่เฉินผิงอันกำชับให้นางพูดกับผู้อาวุโสชุย สุยจิ่งเฉิงไม่ยินดีจะพูดต่อหน้าจูเหลี่ยนกับเว่ยป้อ
หาใช่ว่าไม่เชื่อใจจูเหลี่ยนกับเว่ยป้อ เพียงแต่นี่มาจากนิสัยของตัวนางเอง
ในเรื่องนี้ นางเหมือนกับเฉินผิงอันมากจริงๆ
เว่ยป้อรับจดหมายฉบับนั้นมาไว้
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ต่อจากนี้ ก่อนหน้าที่จะได้พบกับผู้อาวุโสชุยที่ถูกผู้อาวุโสบรรยายเสียจนเลิศล้ำมหัศจรรย์ผู้นั้น นางก็แค่ต้อง ‘ท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำ’ ในแจกันสมบัติทวีปให้สบายใจภายใต้การคุ้มครองของศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นเซียนกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งก็พอ
แต่นางคิดว่าจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วและเขตการปกครองหลงเฉวียนก่อนสักช่วงเวลาหนึ่ง
ถึงอย่างไรก็มีข้ออ้างตั้งมากมาย ยกตัวอย่างเช่นต้องเจอกับเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของผู้อาวุโสเสียก่อน ไปเที่ยวเล่นที่ร้านค้าตระกูลเซียนของท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว แล้วก็ยังมีภูเขาพีอวิ๋นของเทพภูเขาเว่ย จะไม่ไปเป็นแขกเลยได้อย่างไร? ในอดีตที่นี่ก็คือถ้ำสวรรค์หลีจูหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่งเชียวนะ ไม่ควรจะต้องไปเดินเที่ยวเล่นสักหน่อยหรือ? ถึงขั้นยังสามารถไปเยือนเมืองหลวงต้าหลีที่อยู่ทางเหนือก่อนก็ยังได้ แล้วค่อยนั่งเรือข้ามฟากของตำหนักฉางชุนกลับมายังท่าเรือหนิวเจี่ยว แล้วก็สามารถหยุดพักอยู่ที่นี่ได้อีกระยะเวลาหนึ่ง
สุยจิ่งเฉิงถูกเด็กหญิงหน้าตาน่ารักดุจหยกสีชมพูอ่อนที่ผ่านการแกะสลักอย่างประณีตพาไปยังเรือนที่พัก
เว่ยป้อกลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋นก่อนรอบหนึ่งเพื่อเอาไม้เท้าเดินป่าและจดหมายลับไปส่ง แล้วจึงกลับมาที่เรือนของจูเหลี่ยนอีกครั้ง
จูเหลี่ยนกำลังก้าวเท้าเนิบช้าใคร่ครวญเรื่องบางอย่าง
เว่ยป้อไม่ได้รบกวน ทำเพียงรินชาให้กับตัวเองหนึ่งถ้วย
ลองยกตัวอย่างเปรียบเทียบกันดู ตบะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำสามารถเปิดเผยได้ผ่านร่างทอง ส่วนตบะของผู้ฝึกตนนั้นกลับสามารถใช้ปราณวิญญาณจำนวนมากน้อยที่สะสมอยู่ในช่องโพรงลมปราณมาวัดระดับ
ถ้าอย่างนั้นในสายตาของเว่ยป้อ คนสี่คนที่ออกมาจากม้วนภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงเจ้าลัทธิมาร สุยโย่วเปียนเซียนกระบี่หญิง แน่นอนว่าแต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยสีสันแตกต่างกันไป อีกทั้งยังเป็นคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดของโลกมนุษย์พื้นที่มงคลดอกบัวด้วย แต่หากพูดถึงแค่สภาพจิตใจ อันที่จริงล้วนไม่มีใครสามารถสู้จูเหลี่ยนที่ ‘สมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่อง’ ‘กลั่นหลอมกระชับแน่น’ ได้ มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเศรษฐีชนชั้นสูง ด้านหนึ่งก็แอบเรียนวรยุทธ อีกด้านหนึ่งก็ศึกษาตำราไปตามความชอบ เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ตั้งแต่ยังเยาว์ อดทนทำหน้าที่เป็นผู้เรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์ หลังจากอยู่ในวงการขุนนางเงียบๆ มาหลายปี ก็เริ่มเข้าสู่ราชสำนักอย่างเป็นทางการ หนทางในวงการขุนนางราบรื่น เจริญก้าวหน้า เพียงไม่นานก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูลได้ ภายหลังหันเข้าสู่ยุทธภพ พเนจรไปสุดขอบฟ้า ก็ยิ่งมีท่วงท่าที่องอาจเลิศล้ำ เล่นสนุกกับชีวิตคน และยังเคยผ่านจุดที่ต่ำที่สุดในยุทธภพของหมู่บ้านร้านตลาดมาแล้ว สุดท้ายในขณะที่แผ่นดินกำลังจะล่มสลาย ก็ได้กลายเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ หวนกลับคืนสู่ราชสำนัก สมัครเข้ากองทัพลงสนามรบ ละทิ้งวรยุทธที่ไร้ศัตรูทัดทานทิ้งไป ใช้เพียงแค่สถานะของแม่ทัพบุ๋น ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวมาประคับประคองสถานการณ์อันวุ่นวาย และสุดท้ายก็ย้อนกลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง เปลี่ยนจากคุณชายผู้สูงศักดิ์ไปเป็นคนบ้าวรยุทธที่พยศยากจะกำราบ
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมต่อให้จูเหลี่ยนมาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วก็ยังไม่มีความสนใจอะไรมากนัก สำหรับจูเหลี่ยนแล้ว ใต้หล้าก็ยังคงเป็นใต้หล้า ก็แค่เปลี่ยนจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาเป็นใต้หล้าไพศาลที่อาณาเขตกว้างใหญ่กว่าเท่านั้น จิตใจคนยังคงเป็นจิตใจคนเหมือนเดิม ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรไปได้มากกว่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือ จูเหลี่ยนไม่เคยเอาจริงเอาจังอย่างแท้จริงมาก่อน
สุยโย่วเปียนนั้นหวังว่าจะใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่มาบินทะยานอย่างแท้จริงสักครั้ง
เว่ยเซี่ยนมีจิตใจของคนเป็นจักรพรรดิ จึงมีความทะเยอทะยาน หวังจะลุกผงาดกลับมาอีกครั้ง อยากจะควบคุมกองกำลังทหารและอำนาจได้มากกว่าจักรพรรดิของพื้นที่มงคลคนหนึ่ง
หลูป๋ายเซี่ยงหวังว่าจะเริ่มก้าวเดินอยู่ในยุทธภพใหม่อีกครั้ง ค่อยๆ เก็บสะสมกำลังทรัพย์ สุดท้ายก่อสำนักตั้งพรรค สักวันหนึ่งจะหลุดพ้นจากภูเขาลั่วพั่ว มีสำนักเป็นของตัวเอง ใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมาหลุบตาลงมองเทพเซียนบนภูเขาอย่างโอหัง
คนทั้งสามต่างก็มีความต้องการเป็นของตัวเอง ต่างก็ตามหามหามรรคาของตัวในใต้หล้าแห่งใหม่
แล้วจูเหลี่ยนล่ะ
ไร้ความต้องการ ไร้ความปรารถนา
แท้จริงแล้วจิตใจของจูเหลี่ยนไร้พันธนาการของมหามรรคามานานแล้ว
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากจูเหลี่ยนดึงหน้ากากที่สวมอยู่ออก อาศัยใบหน้านั้นมาหาข้าวกินก็สามารถกินได้จนอิ่มหนำ แล้วนับประสาอะไรกับที่จูเหลี่ยนไม่เคยให้ความใส่ใจด้านพิณ หมากล้อม พู่กันและภาพวาด แต่กลับยังเชี่ยวชาญได้ถึงขนาดนี้
พูดประโยคน่าฟังหน่อย จูเหลี่ยนที่เรียกได้ว่าพรสวรรค์เลิศล้ำเป็นเอก หากหันไปฝึกตนอย่างสุยโย่วเปียน ขอบเขตของเขาก็สามารถก้าวรุดหน้าพันลี้ในหนึ่งวัน ฝ่าทะลุขอบเขตเหมือนผ่าลำปล้องไม้ไผ่ได้เช่นเดียวกัน
จูเหลี่ยนคืนสติ เขาหยุดเดินแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ขอโทษที คิดเรื่องบางอย่างจนเหม่อลอยไปหน่อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!