บทที่ 533.1 มาดองอาจในการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 533.1 มาดองอาจในการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เฉินผิงอันพลันลืมตาโพลง ขมวดคิ้วมุ่น เกือบจะหลุดด่าพ่อล่อแม่ออกไปแล้ว
ตอนนี้เป็นช่วงกลางดึกแล้ว ดวงจันทร์ลอยสูงอยู่กลางนภา
การนอนครั้งนี้หลับสนิทไปหน่อย
อีกอย่างหากเจ็บจนถึงขั้นที่ทำให้เฉินผิงอันอยากด่าแม่เช่นนี้ ก็น่าจะเจ็บมากจริงๆ
เลือดสดทั้งร่างหยุดไหลแล้ว ดินในหลุมใหญ่เกาะตัวเป็นโคลนเหนียว เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยก็เจ็บปวดปานจะขาดใจ
แต่เฉินผิงอันก็ยังสูดลมหายใจเข้าลึก พอจะทำความเข้าใจกับสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองได้คร่าวๆ ก็พลันลุกพรวดขึ้นนั่ง
รอบด้านไม่มีอะไรผิดปกติ
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นขอบเขตยอดเขาผู้นั้น เหตุใดถึงได้ลงมือ แต่กลับไม่ได้ฆ่าคน เฉินผิงอันคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
หรือว่าเป็นเพราะขนบธรรมเนียมของอุตรกุรุทวีป แค่รู้สึกขวางหูขวางตาท่าเดินนิ่งของตน ก็เลยปล่อยหมัดใส่เสียอย่างนั้น?
ริมขอบของหลุมใหญ่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “หลับเต็มอิ่มแล้วรึ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ลุกขึ้นยืนช้าๆ
แม้แต่ท่าหมัดก็ยังไม่ได้ตั้ง แต่ปณิธานหมัดบนร่างกลับยิ่งบริสุทธิ์และเก็บรวบไว้ภายใน
ตรงริมขอบของหลุมใหญ่มีคนสวมชุดยาวสีเขียวสวมรองเท้าผ้าปรากฏตัว ก็คือผู้ฝึกยุทธเฒ่าคนนั้น
อู๋เฝิงเจี่ย ผู้ดูแลเฒ่าที่อำพรางตัวตนปิดบังชื่อแซ่อยู่ในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวมานานหลายปี บางทีหากไม่พูดถึงหลี่เอ้อร์ที่จู่ๆ ก็ลุกผงาดขึ้นมาบนโลก เขาก็คือหนึ่งในสามผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบประจำท้องถิ่นของอุตรกุรุทวีป กู้โย่วแห่งราชวงศ์ต้าจ้วน
เหตุใดหลายๆ แคว้นโดยรอบซึ่งรวมถึงราชวงศ์ต้าจ้วนเองด้วยถึงมีเพียงตำหนักเกล็ดทองที่มีแค่ก่อกำเนิดอ่อนแอคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์โดดเด่นอยู่สำนักเดียว? และเหตุใดตำหนักเกล็ดทองถึงได้อ่อนด้อยจนถึงขั้นที่ว่าถูกหรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมองเป็นภูเขาสวะที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อ?
ก็เพราะผู้ฝึกยุทธอย่างกู้โย่วใช้สองหมัดต่อยให้เทพเซียนบนภูเขาของหลายสิบแคว้นแตกฮือ ถูกคนผู้นี้ขับไล่ออกไปจากขอบเขตแทบทุกคน
กู้โย่วเคยเอ่ยว่า ฟ้าดินกว้างใหญ่ เทพเซียนไสหัวไป
เอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมก็จำเป็นต้องมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ ถึงจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ปณิธานหมัดบนร่างของเจ้านับว่ายังพอใช้ได้ ฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวมาเกินล้านครั้งแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เกือบจะหนึ่งล้านหกแสนหมัดแล้ว”
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “มีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวตระกูลเล็ก ตอนอายุน้อยได้ตำราวิชาหมัดผุๆ เล่มหนึ่งมา ก็เลยเห็นเป็นสมบัติล้ำค่า ฝึกมันมาตั้งแต่เด็ก?”
เห็นเพียงส่วนน้อยก็อนุมานไปได้ไกล
ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงคนใดก็ตามบนโลกไม่มีทางฝึกเรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นชาติกำเนิดของคนหนุ่มผู้นี้ต้องไม่ค่อยดีเท่าไรเป็นแน่
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เพิ่งจะฝึกวิชาหมัดตอนอายุประมาณสิบสี่ปี”
ผู้เฒ่ารู้สึกปลื้มใจเล็กน้อย “เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ยาก เพราะการออกหมัดก็คือการฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย ขอแค่มีความมานะยืนหยัดสักหน่อย ล้านหมัดก็ล้วนสามารถทำสำเร็จได้ ความยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือยืนหยัดฝึกท่าเดินนิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา”
เฉินผิงอันมึนงงสับสนมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
แต่ผู้เฒ่าไม่มีจิตคิดสังหารตนอย่างแน่นอน และในความเป็นจริงแล้วพอกินหมัดของผู้เฒ่าเข้าไป เขาก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาลอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้
ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้อยู่ที่ร่างกายหรือจิตวิญญาณ แต่อยู่ที่ปณิธานหมัด อยู่ที่ใจคน
บัดนี้เฉินผิงอันกุมหมัดเบาๆ แล้วก็คลายออกเบาๆ รู้สึกว่าคำว่าแข็งแกร่งที่สุดของขอบเขตหกเป็นของในกระเป๋าของตัวเองแล้ว สำหรับเฉินผิงอันแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก
ผู้เฒ่าเอ่ย “ข้าชื่อกู้โย่ว”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจทันใด รากฐานวิชาหมัดของตนมาจากตำราวิชาหมัดที่กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิงมอบให้ตนในปีนั้น ดังนั้นเขาจึงถามไปตามตรงว่า “วิชาหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้น?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “น่าจะเป็นลูกหลานตระกูลกู้ของข้าที่กระจายกันไปสี่ทิศแล้วพกพาไปยังบ้านเกิดของเจ้า ในอดีตเจอกับหายนะใหญ่ครั้งนั้น ตระกูลที่เดิมทีก็ไม่ใหญ่อยู่แล้วจึงแตกแยกกระจัดกระจาย ดั่งนกกาแตกฮือบินหนีหาย”
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “พออายุยืนยาวก็ยากที่จะเกิดใจพะวงห่วงหาคนในครอบครัวได้มากเกินไป ลูกหลานย่อมมีโชคของลูกหลาน ไม่อย่างนั้นจะยังทำอย่างไรได้อีก? ตาไม่เห็นก็สบายใจ เพราะไม่อย่างนั้นอาจต้องโมโหจนตายทั้งเป็นก็ได้”
เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “เฉินผิงอันแห่งแจกันสมบัติทวีปคารวะผู้อาวุโสกู้”
กู้โย่วยิ้มกล่าว “ให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งคุ้มกันเจ้านอนหลับอยู่เป็นครึ่งๆ วัน เจ้านี่ก็มีหน้ามีตาไม่น้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง
กู้โย่วกวักมือ “จะเดินไปกับเจ้าสักช่วงระยะทางหนึ่ง ข้ายังมีธุระให้ต้องไปทำ ไม่มีเวลามามัวพูดคุยกับเจ้ามากนัก”
เฉินผิงอันเดินโซเซขึ้นเนินไป แล้วจึงไปเดินเคียงไหล่อยู่กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางท่านนั้น
กู้โย่วเอ่ย “ได้เป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดมากี่ครั้ง?”
เฉินผิงอันกล่าว “สองครั้ง แบ่งเป็นตอนขอบเขตสามกับขอบเขตห้า”
กู้โย่วส่ายหน้า “ถ้าพูดเช่นนี้ก็ห่างชั้นจากเฉาสือคนวัยเดียวกันที่อยู่ในแผ่นดินกลางมากนัก ไอ้หมอนี่แข็งแกร่งในทุกๆ ครั้ง ไม่เพียงเท่านี้ ยังแข็งแกร่งที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนอีกด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จะดีจะชั่วประมาณขอบเขตเก้าขอบเขตสิบก็ยังพอจะมีโอกาส”
กู้โย่วหันหน้ามามองอย่างกังขา “คนที่สอนวิชาหมัดให้เจ้าคือชุยเฉิงแห่งแจกันสมบัติทวีป? ไม่อย่างนั้นเด็กอย่างเจ้า เดิมทีก็ไม่ควรจะมีนิสัยใจคอเช่นนี้”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันตอบ “ไม่ใช่ว่ากลัวตายจริงๆ แต่เป็นเพราะไม่อาจตายได้ ถึงได้กลัวตาย ฟังดูเหมือนกัน แต่อันที่จริงกลับไม่เหมือน”
กู้โย่วนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “มีเหตุผลมาก”
ในความเป็นจริงแล้ว นี่ก็คือจุดที่ทำให้กู้โย่วรู้สึกว่าแปลกประหลาดยากจะเข้าใจมากที่สุด
ตอนที่ผู้ฝึกยุทธหนุ่มรู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขาสามารถพูดได้ว่า ‘ตายไปแล้ว’ นั้น กลับกลายเป็นว่านั่นคือช่วงเวลาที่ปณิธานหมัดของเขาโชติช่วงมากที่สุด
นี่ไม่ใช่แค่การ ‘กลัวตาย’ แบบปกติทั่วไปแล้ว
ดังนั้นกู้โย่วมั่นใจมากเลยว่า หากคนหนุ่มผู้นี้ตายไป แล้วตนปลดปล่อยดวงวิญญาณของเขาไป
ถ้าอย่างนั้นฟ้าดินแห่งนี้ก็จะมีผีวัตถุหยินที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดปรากฏขึ้นทันที ไม่เพียงแต่ไม่ถูกพายุลมกรดพัดพาให้สลายหายไป กลับยังเท่ากับว่าเป็นการแสวงหาการมีชีวิตรอดท่ามกลางความตายด้วย
รักตัวกลัวตายจนเกินจริงถึงขั้นนี้ คนหนุ่มจะต้องมีห่วงมากแค่ไหนกัน?
แต่คำพูดเหล่านี้ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
เขาปรากฎตัวครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้ผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่เคยเดินทางผ่านเมืองเล็กของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวคนนี้
ได้เคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายอย่างแท้จริงมาก่อน เพราะนั่นถึงจะสามารถทำให้ปณิธานหมัดที่อยู่ใกล้กับคอขวดของเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม
กู้โย่วพูดด้วยความหวังดีว่า “พอไปถึงทางทิศเหนือแล้ว เจ้าต้องระวังตัวสักหน่อย ไม่พูดถึงเจ้าเฒ่าประหลาดทางเหนือผู้นั้น ยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาอีกคน ต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร มักจะฆ่าคนตามใจชอบเสมอ อีกทั้งเจ้ายังเป็นคนต่างถิ่น พอตายไปยังต้องทิ้งโชคชะตาบู๊ไว้ในอุตรกุรุทวีป หากพวกเขาคิดจะฆ่าเจ้าก็เป็นเรื่องง่ายๆ แค่ไม่กี่หมัดเท่านั้น หากเจ้าไม่เรียนรู้วิชาหลบหนีชั้นยอดอย่างจวนตัว ไม่อย่างนั้นก็ห้ามเปิดเผยขอบเขตวิถีวรยุทธที่แท้จริงของตนออกมาง่ายๆ ช่วยไม่ได้ คนดีคนเลวล้วนไม่เคยหยุดยั้งการฝึกตนเดินขึ้นเขา ผู้ฝึกยุทธเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ฝ่ายหนึ่งแสวงหาปณิธานหมัดที่บริสุทธิ์ อีกฝ่ายหนึ่งแสวงหาความแท้จริงของจิตแห่งเต๋า พันธนาการของกฎเกณฑ์ แน่นอนว่ายังต้องมี แต่ผู้ฝึกตนทุกคนที่เดินไปบนตำแหน่งสูง มีใครบ้างที่เป็นคนโง่ พวกเขาล้วนเชี่ยวชาญการหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ทั้งนั้น”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้าจะระวังแล้วระวังอีก”
กู้โย่วหยุดเดิน มองไปยังทิศไกล “ดีใจมากที่หมัดเขย่าขุนเขาถูกเจ้ารับเอาไปเรียน อีกทั้งยังมีหวังว่าจะนำพาความรุ่งโรจน์มาให้ บอกตามตรง ต่อให้ข้าจะเป็นคนเขียนวิชาหมัดนี้เอง แต่ก็ต้องเอ่ยประโยคหนึ่งว่า วิชาหมัดเล่มนี้ไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลยจริงๆ มากสุดก็มีความหมายเพียงแค่นั้นเอง”
เฉินผิงอันพูดเสียงทุ้มหนัก “ผู้อาวุโสกู้ ข้ารู้สึกจากใจจริงว่าวิชาหมัดเขย่าขุนเขามีความหมายยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุด!”
ต่อให้ปีนั้นที่เผชิญหน้ากับชุยเฉิงอยู่บนเรือนชั้นสองของภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันก็ยังเคารพเลื่อมใสวิชาหมัดที่อยู่เคียงข้างเขามาวิชานี้มากอยู่ดี
กู้โย่วหันหน้ามามอง ยิ้มกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าพูดจาน่าฟังเช่นนี้ ข้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็ไม่มีสมบัติตระกูลเซียนอะไรมามอบให้เจ้าหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “สามหมัดก็เพียงพอแล้ว หากมากกว่านี้คงรับไม่ไหว”
กู้โย่วตบไหล่เฉินผิงอัน “สามหมัดขอบเขตเก้าของกู้โย่ว แน่นอนว่ามีน้ำหนักพอใช้ได้แล้ว”
กู้โย่วพลันเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า บรรพบุรุษของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาอย่างข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วสามารถเอาท่าเดินนิ่ง ยืนนิ่งและนอนนิ่งสามอย่างมาฝึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยตอบโต้
—-
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!