กู้โย่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อันที่จริงยังสามารถเพิ่มท่าฟ้าดินเข้าไปด้วยได้”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เดินโดยใช้หัวทิ่มพื้น?”
กู้โย่วเห็นว่าคนหนุ่มคล้ายจะคิดว่าสามารถทำเช่นนี้ได้จริงๆ ก็ตบไหล่เฉินผิงอันหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “เจ้าอย่าได้ฝึกหมัดจนทึ่มทื่อไปเสียเล่า ผู้ฝึกยุทธอย่างเราๆ ท่องอยู่ในยุทธภพก็ช่วยรักษาหน้าตาตัวเองไว้หน่อยได้ไหม? หากเจ้าฝึกหมัดด้วยวิธีนี้ สตรีเห็นคนหนึ่งก็ตกใจวิ่งหนีไปคนหนึ่ง แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ คนที่ฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขาจะไม่มีสาวงามในยุทธภพคอยชื่นชมเลื่อมใสได้อย่างไร!”
กู้โย่วพูดเรื่องเหล่านี้จบก็เอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองไป สีหน้าคล้ายกำลังหวนระลึกถึงเรื่องในอดีต
คงเป็นเพราะทุกคนที่เดินท่องอยู่ในยุทธภพล้วนมีความเสียดายและความคิดคำนึงไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้อยู่เสมอกระมัง
เฉินผิงอันถูกฝ่ามือนั้นตบจนไหล่เอียงกะเท่เร่ เกือบจะทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น
รอจนเฉินผิงอันยืดตัวขึ้นตรง คนที่สวมชุดตัวยาวสีเขียวผู้นั้นก็ทะยานร่างขึ้นจากพื้น ล่องลอยไปไกลอย่างไร้เสียงแล้ว
เฉินผิงอันจ้องมองตามไปไม่ยอมถอนสายตากลับอยู่เป็นนาน
เฉินผิงอันรู้ดีว่า
การไปครั้งนี้ของกู้โย่ว คือการกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ
แต่บางที ภูเขาวานรคำรามอาจจะไม่มีเซียนกระบี่จีเยว่อยู่อีกแล้วก็ได้
นี่ก็คือชีวิตคน
เฉินผิงอันหยิบเอาหีบไม้ไผ่มาวางลงบนพื้น นั่งแปะลงไปบนนั้น แล้วจึงหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา ค่อยๆ ดื่มเหล้าช้าๆ
ไม่ได้รีบร้อนเดินทาง รอให้พละกำลังกลับคืนมาสักสองสามส่วนก่อนค่อยว่ากัน
เจอกับสามหมัดนี้ หากสามารถฟื้นคืนกลับสู่ตบะขอบเขตหกในช่วงแรกได้ภายในเวลาหนึ่งเดือนก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่ได้เดินทางอยู่แล้ว เฉินผิงอันจึงถือโอกาสนี้คิดเรื่องบางอย่าง
เกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ผู้อาวุโสชุยเคยพูดอย่างกว้างๆ ให้ฟัง
ขอบเขตเจ็ดขอบเขตแปดตายที่บ้านเกิด ขอบเขตยอดเขาตายที่แคว้น ขอบเขตสิบปลายทางตายที่ทวีป
บนเส้นทางของการฝึกตน ต้องมีความจริงใจ
ก็เหมือนอย่างที่กู้โย่วเอ่ย การแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่นในหลายๆ ครั้ง ตนเองมักจะไม่รู้ตัวเสมอ
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเรื่องหนึ่ง
นึกมาถึงท้ายที่สุด เฉินผิงอันที่ถือประคองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในมือก็เหม่อลอยไปเล็กน้อย
มีชีวิตอยู่ ทิศไกลที่อยากเดินทางไป ยังคงรอคอยตนอยู่ห่างไปไกล ดีจริงๆ
เพียงแต่ว่าคนบางคนที่อยู่ห่างไกล หากวันหน้าได้พบเจอตนแล้ว บางทีอาจไม่ค่อยดีใจสักเท่าไร
ใกล้หน่อยก็ตระกูลหม่าตรอกซิ่งฮวา ไทเฮาต้าหลี
ห่างไปไกลหน่อยก็คือวานรย้ายขุนเขาแห่งภูเขาตะวันเที่ยง สกุลสวี่นครลมเย็น
และยังมีบางอย่างที่จำเป็นต้องดูซ้ำอีกหน่อย
ยังมีเรื่องบางอย่างที่ซ่อนอำพรางไว้เบื้องหลังลึกล้ำ
เรื่องราวต่างๆ สถานที่แต่ละแห่ง
เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่านิสัยชอบจดลงบนสมุดบัญชีเล่มเล็กของเผยเฉียนที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขานั้น แท้จริงแล้วเหมือนกับอาจารย์ของนาง
เพียงแต่ว่าคนหนึ่งใช้พู่กันกับกระดาษมาจดบันทึก อีกคนหนึ่งแค่จดจำไว้ในใจ
……
ต่อให้เป็นพื้นที่ราบเรียบที่กว้างไกลแค่ไหน ก็ยังต้องได้พบเจอภูเขาอยู่ดี
กู้โย่วพลิ้วกายลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง
คนชุดดำหกคนที่สวมหน้ากากสีขาวหิมะ เหลือเพียงคนเดียวทื่นอยู่ที่เดิม อีกห้าคนที่เหลือล้วนแยกย้ายกันไปสี่ทิศอย่างรวดเร็ว พยายามอยู่ให้ห่างไกลจากที่แห่งนี้
โชคดีที่ผู้เฒ่าสวมชุดตัวยาวสีเขียวสวมรองเท้าผ้าผู้นั้นไม่มีความคิดจะตามไปไล่ฆ่า
ผู้ฝึกตนของภูเขาเกอลู่ที่ยืนอยู่ที่เดิมกุมหมัดโค้งกายคารวะ “คารวะผู้อาวุโสกู้”
กู้โย่วถาม “จัดขบวนใหญ่ขนาดนี้เชียว เพื่อฆ่าคนหรือ? อย่าว่าแต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่กำลังจะฝ่าทะลุคอขวดคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก็ยังไม่พอให้พวกเจ้าฆ่า ภูเขาเกอลู่ไม่รักษากฎเกณฑ์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? หรือจะบอกว่า แท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่เคยรักษากฎ ก็แค่เก็บกวาดได้สะอาดเอี่ยมเท่านั้น?”
คนที่คุมเชิงอยู่กับกู้โย่วก็คือผู้นำนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มนี้ ในฐานะผู้ฝึกตนก่อกำเนิด เผชิญหน้ากับผู้เฒ่าชุดเขียวคนนี้ บริเวณโดยรอบหน้ากากอันนั้นของเขากลับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ในอดีตกู้โย่วผู้ฝึกยุทธผู้ปกป้องราชวงศ์ต้าจ้วน เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อย่างมาก นอกจากนี้ขอแค่เป็นคนที่เขาเลือกออกหมัดสังหารแล้วล่ะก็ จะต้องขุดลึกลงไปใต้ดินสามฉื่อ ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก
หากภูเขาเกอลู่ทำให้กู้โย่วขุ่นเคืองใจ นั่นก็ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่ว่ามีคนหกคนตายไปบนภูเขาลูกนี้เท่านั้น
นักฆ่าภูเขาเกอลู่ผู้นี้ส่ายหน้าเอ่ยว่า “กฎของภูเขาเกอลู่ แน่นอนว่านับตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของพวกเราตั้งขึ้นมา ก็ไม่เคยมีการแหกกฎมาก่อน…”
นาทีถัดมา กู้โย่วเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งกุมลำคอของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้น แล้วยกตัวเขาขึ้นในชั่วพริบตา กู้โย่วไม่คิดจะเงยหน้าด้วยซ้ำ เพียงแค่มองตรงๆ ไปเบื้องหน้า “ใครขยับก่อน ตายก่อน”
อีกห้าคนที่เหลืออยู่ซึ่งออกห่างจากภูเขาลูกนั้นไปค่อนข้างไกลแล้วพลันหยุดแน่นิ่ง ไม่ส่งเสียงใดๆ เหมือนจักจั่นในหน้าหนาว
กู้โย่วพูดเนิบช้า “หากก่อนที่ข้าจะออกหมัด พวกเจ้าล้อมสังหารคนผู้นี้ นั่นก็ช่างเถิด กฎเกณฑ์ของภูเขาเกอลู่จะมีค่าสักเท่าไรกันเชียว? แต่หลังจากที่ข้ากู้โย่วออกหมัดแล้ว พวกเจ้าไม่ได้รีบไสหัวไป ยังกล้ามีความคิดหวังจะเก็บตกของดีอยู่ที่นี่ คงเห็นข้าเป็นคนโง่สินะ? กว่าจะมีชีวิตอยู่มาถึงขอบเขตก่อกำเนิดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่ามันบ้าง?”
กู้โย่วขมวดคิ้ว เพียงแค่หิ้วตัวก่อกำเนิดน่าสงสารที่ไม่มีความคิดจะตอบโต้ผู้นั้นเอาไว้ แต่กลับไม่ได้ลงมือสังหารอีกฝ่ายทันที ราวกับว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่เก็บตัวเงียบมานานหลายปีผู้นี้กำลังลังเลว่าควรจะเว้นชีวิตใครสักคนให้ไปรายงานข่าวต่อภูเขาเกอลู่ดีหรือไม่ หากเก็บตัวไว้ แล้วควรเลือกใครถึงจะค่อนข้างเหมาะสม กู้โย่วไม่อำพรางปราณสังหารบนร่างตัวเองแม้แต่น้อย มันเข้มข้นจนเหมือนจะจับต้องได้จริง พายุลมกรดแผ่ล้นออกไป ในรัศมีสิบจั้ง พืชหญ้าดินโคลนล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงที่ปลิวว่อนคละคลุ้ง
ชุดคลุมอาคมบนร่างของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่อยู่ในมือของผู้เฒ่าเกิดเสียงฉีกขาดถี่ยิบดังมาเป็นระลอก
กู้โย่วดีดนิ้วง่ายๆ หนึ่งที
นักฆ่าของภูเขาเกอลู่ที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งก็ถูกลมกรดหนึ่งเสี้ยวทะลุหน้าผากจนเป็นรู ตายคาที่ทันที
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองต้องตายไปทั้งอย่างนี้
กู้โย่วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “จิตขยับก็ถือว่าเป็นการขยับ ความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนี้ อยู่ในหูของข้าผู้อาวุโสก็ดังเหมือนรัวกลอง ค่อนข้างจะหนวกหูไปสักหน่อย”
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนี้ไม่อาจเปิดปากพูดได้แล้ว จึงได้แต่ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสกู้ หากท่านฆ่าพวกเราทั้งหกคน ต่อให้ท่านมีวิชาหมัดเลิศล้ำขนาดไหน สามารถปกป้องคนหนุ่มผู้นั้นได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้ตลอดไป ภูเขาเกอลู่ของพวกเราไม่ได้มีขุนเขาอันเป็นที่ตั้งที่แน่นอน ผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายเร่ร่อนไม่อยู่กับที่ แน่นอนว่าผู้อาวุโสกู้สามารถไล่ฆ่าพวกเราได้ตามใจชอบ ใครก็ไม่อาจขัดขวางการออกหมัดของผู้อาวุโส หากปล่อยให้ผู้อาวุโสเจอเข้าคนหนึ่ง แน่นอนว่าก็ต้องตายคนหนึ่ง ทว่าระหว่างนี้ ขอแค่คนหนุ่มผู้นั้นไม่ได้อยู่ข้างกายผู้อาวุโส ต่อให้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่วัน เขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน! ข้ารับรองได้เลย!”
กู้โย่วเอ่ยถาม “ภูเขาเกอลู่ที่เป็นดั่งหนูวิ่งข้ามถนน เอามาข่มขู่ข้าผู้อาวุโสได้ด้วยหรือ? ใครมอบความกล้านี้ให้เจ้า? จีเยว่แห่งภูเขาวานรคำราม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!