เฉินผิงอันอยู่บนภูเขาลูกนั้นสองวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำเพียงแค่เดินโซเซฝึกเดินนิ่งเท่านั้น
ยามฟ้าสางของวันนี้ มีบุรุษหนุ่มชุดเขียวที่ลักษณะคล้ายชาวลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งทะยานลมมาถึง พอพบร่องลึกบนพื้นที่ราบกว้างเส้นนั้นแล้วก็พลันหยุดลอยตัวนิ่ง และเพียงไม่นานก็มองเห็นเฉินผิงอันที่อยู่บนยอดเขา ฉีจิ่งหลงพลิ้วกายลงบนพื้น ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งเดินทาง สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่คอขวดก่อกำเนิดคนหนึ่งมีสภาพกระเซอะกระเซิงได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องรีบเดินทางมากจริงๆ
เพียงแต่ว่าตั้งแต่ทะยานลมมาจนถึงพลิ้วกายลงพื้น ฉีจิ่งหลงกลับไม่ส่งเสียงใดๆ จนกระทั่งเขาสะบัดอาภรณ์เบาๆ ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ของยันต์ถึงได้สลายหายไปหมด แล้วถึงได้ปรากฏตัวออกมา
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ
เส้นเอ็นหัวใจที่ขึงตึงแน่นตลอดเวลาเส้นนั้นพลันคลายตัวลงได้หลายส่วน
ขอแค่ฉีจิ่งหลงปรากฏตัว จะแอบอู้ก็ไม่เป็นไร
ก่อนหน้านี้ที่จากลากันที่ท่าเรือหัวมังกร เฉินผิงอันได้นำกระบี่บินส่งข่าวหนึ่งในสองเล่มที่เก็บไว้ในกล่องเก็บกระบี่บินซึ่งจู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมามอบให้ตน มอบให้กับฉีจิ่งหลงไป ทั้งสองฝ่ายจะได้ติดต่อกันได้สะดวก เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เอามาใช้งานเร็วขนาดนี้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มนั้นถึงยอมตัดใจทุบป้ายอักษรทองชื่อเสียงอันดีงามของตนเพียงแค่เพื่อเล่นงานคนต่างถิ่นอย่างเขาคนเดียว
ทั้งสองฝ่ายจึงต้องแลกเปลี่ยนกระบี่บินส่งข่าวให้กันและกัน
คำตอบกลับของฉีจิ่งหลงนั้นเรียบง่ายมาก สั้นกระชับจนไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบ ‘รอเดี๋ยว อย่าเพิ่งตาย’
เวลานี้ฉีจิ่งหลงกวาดตามองไปรอบด้าน หลังจากเพ่งสังเกตอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้วก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเป็นคนสองกลุ่ม?”
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหีบไม้ไผ่ หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาแกว่ง
ฉีจิ่งหลงปวดหัวแปลบทันใด รีบพูดว่า “อย่าดีกว่า”
ตอนนี้บนร่างของเฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตาที่ ‘เก็บมาได้จากข้างทาง’ ชิ้นนั้น เขากรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก แล้วเอ่ยว่า “คนหนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ข้าไม่สะดวกจะเอ่ยนามของเขา เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าข้าเคยเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง เกี่ยวกับมดแดงย้ายภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คือคนเขียนตำราหมัดที่ข้าเล่าเรียน หลังจากที่ผู้อาวุโสหาตัวข้าเจอก็ตบรางวัลให้ข้าด้วยสามหมัด ข้าไม่ตาย เขายังช่วยข้าจัดการนักฆ่าของภูเขาเกอลู่อีกหกคนให้ข้าด้วย”
ฉีจิ่งหลงถาม “เป็นเขา?”
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ไม่เอ่ยคำใด
ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้ว
ฉีจิ่งหลงจึงไม่ถามให้มากความอีก
นักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มที่สองไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในบริเวณใกล้เคียงภูเขาลูกนี้มากนัก แต่กลับแสดงท่าทีชัดเจนว่าแม้จะต้องทำผิดกฎ แต่ก็จะลงมือให้จงได้ นี่หมายความว่าอีกฝ่ายได้มองเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง หรืออาจเป็นก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งมากด้วย มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ แล้วยังไม่ทิ้งร่องรอยของตัวเองเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธที่สามารถทำให้เฉินผิงอันบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้เพียงแค่เพราะเจอหมัดสามหมัดของเขา แล้วยังใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียวสังหารผู้ฝึกตนของภูเขาเกอลู่อีกหกคนได้อย่างง่ายดาย อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง
ต่อให้เริ่มนับคำนวณมาตั้งแต่แคว้นอู่หลิง แล้วทวนกระแสน้ำเดินทางไกลไปถึงแคว้นลวี่อิง จนมาถึงแคว้นฝูฉวีแห่งนี้ ก็ไม่มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนใดอยู่อีกแล้ว เมืองหลวงต้าจ้วนมีปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นสตรีอยู่คนหนึ่ง น่าเสียดายที่จำเป็นต้องไปคุมเชิงเปิดฉากเข่นฆ่าอยู่กับเจียวร้ายแห่งแม่น้ำอวี้ซีตัวนั้น แล้วพอเอามาเชื่อมโยงกับคำกล่าวถึงมดแดงของเฉินผิงอัน รวมไปถึงข่าวลือบางอย่างที่เล่าลือกันอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปในอดีต ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายจะเป็นใคร แน่นอนว่าก็ย่อมเหมือนหินที่ผุดขึ้นเมื่อน้ำลดลงแล้ว
เดาได้ง่ายมาก ต้องเป็นกู้โย่วอย่างไม่ต้องสงสัย
กู้โย่วผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยรับลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ ปรมาจารย์หญิงของเมืองหลวงต้าจ้วนผู้นั้นนับว่าเป็นลูกศิษย์ได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น ในเรื่องของการถ่ายวิชาหมัดของกู้โย่วนั้น แปลกประหลาดอย่างมากมาโดยตลอด
ทุกคนพากันพูดไปหลากหลาย
มีเพียงคำกล่าวเดียวที่ถือว่าน่าเชื่อถือมากที่สุด นั่นคือบอกว่า กู้โย่วเคยพูดเองว่า วิชาหมัดของข้า ใครก็ล้วนเรียนได้ แต่ใครก็ล้วนเรียนไม่สำเร็จ
ฉีจิ่งหลงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ช่วงนี้เจ้าน่าจะยังปลอดภัยดี ในเมื่อผู้อาวุโสท่านนั้นออกหมัดแล้ว แต่แทบจะไม่มีข่าวคราวใดๆ แพร่งพรายออกไป นี่หมายความว่าช่วงนี้ทางภูเขาเกอลู่ยังคงรอฟังผล จึงไม่มีทางส่งนักฆ่ากลุ่มใหม่ให้มาเล่นงานเจ้า ดังนั้นเจ้าก็ออกเดินทางไกลต่อไปได้ ข้าจะไปหาบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาของภูเขาเกอลู่แทนเจ้าเอง และจะพยายามเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้ แต่ก็บอกไว้ก่อนว่า กับภูเขาเกอลู่นั้น ข้ามั่นใจว่าจะทำให้พวกเขาหยุดมือได้ แต่ผู้บงการเบื้องหลังที่ออกเงินทำให้ภูเขาเกอลู่ยอมแหกกฎเพื่อตามตัวเจ้าให้เจอนั้น ตัวเจ้าเองยังต้องระวังให้มาก”
เฉินผิงอันยกสองมือกอดอก เอ่ยว่า “ท่องอยู่ในยุทธภพ ข้ามีประสบการณ์มากกว่าเจ้า”
ฉีจิ่งหลงถาม “คิดจะอยู่ที่นี่อีกสักกี่วัน?”
เฉินผิงอันพูดอย่างตรงไปตรงมา “ยังต้องการเวลาอีกสามวัน รอให้ร่างกายฟื้นฟูอีกสักหน่อยค่อยเร่งเดินทางต่อ”
ฉีจิ่งหลงก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มาถึงที่ตีนเขา จากนั้นก็เริ่มวาดยันต์เลียบตีนเขาไปเรื่อยๆ เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งจิ้มๆ ชี้ๆ ไป
ทุกครั้งที่วาดยันต์หนึ่งชิ้นเสร็จก็จะพุ่งตัวออกไปหลายสิบจั้ง ทำทุกอย่างได้คล่องแคล่วดุจสายน้ำไหล ไม่มีติดขัดเลยแม้แต่น้อย
อย่าลืมล่ะว่า วิถีแห่งยันต์ของฉีจิ่งหลงนั้นสามารถทำให้หยางหนิงเจินแห่งตำหนักนภากาศรู้สึกว่าตัวเองห่างชั้นเกินกว่าจะเอื้อมถึง แล้วก็ต้องรู้ว่าตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนนั้นคือหนึ่งในปฐมสำนักของพรรคยันต์แห่งอุตรกุรุทวีป
ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ฉีจิ่งหลงก็ย้อนกลับมาที่ยอดเขา “สามารถต้านทานการโจมตีของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดทั่วไปได้สามครั้ง ซึ่งเงื่อนไขก็คือต้องไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่มีอาวุธกึ่งเซียน”
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย “แค่เคยมองข้าวาดยันต์รอยหิมะบนผนังครั้งเดียวก็เรียนเป็นแล้วเจ็ดแปดส่วน ไม่เสียแรงที่เป็นเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีป เป็นชายหนุ่มมากความสามารถจริงๆ!”
ฉีจิ่งหลงคร้านจะสนใจเขา เตรียมจะจากไป
ไปเร็วหน่อยจะได้หาคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของภูเขาเกอลู่เจอเร็วหน่อย ไอ้หมอนี่ก็จะปลอดภัยมากขึ้น
และเมื่อหาคนของภูเขาเกอลู่เจอ ก็แน่นอนว่ายังต้องใช้เหตุผลกัน
แต่เวลานี้พอฉีจิ่งหลงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ผิวเนื้อนอกชุดคลุมอาคมส่วนใหญ่ล้วนผิวหนังปริแตก และยังมีหลายจุดที่กระดูกขาวโผล่ออกมา เขาก็ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้านี่ไม่เคยรู้จักเจ็บเลยหรือไร?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ผู้ฝึกยุทธอย่างข้า อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ …”
ฉีจิ่งหลงพลันขยับมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เอามือหนึ่งกดไหล่ของเขาไว้
เฉินผิงอันหน้าบูดเบี้ยวในทันที ไหล่ข้างหนึ่งทรุดลง แล้วจึงเบี่ยงตัวหลบฉีจิ่งหลง “อะไรกัน!”
ฉีจิ่งหลงถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “ยังดี ยังเป็นคนอยู่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!