กล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ กวนอี้หรานก็ถามว่า “อวี๋ซานฝาง ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าถอดเสื้อเกราะกลับคืนสู่มาตุภูมิ เพราะแบบนั้นมีแต่จะทำให้เจ้าอัดอั้นตาย ข้าจะไม่เข้าใจเจ้าได้อย่างไร? ข้าก็แค่อยากฉวยโอกาสนี้ส่งเจ้าไปยังที่ว่าการแห่งใหม่ วันหน้าเจ้าอยู่ในที่สว่าง ต่งสุ่ยจิ่งอยู่ในที่มืด พวกเจ้าคอยช่วยเหลือประคับประคองกัน เจ้าเลื่อนขั้น เขาร่ำรวย วางใจเถอะ ล้วนเป็นงานสะอาด เจ้าก็ถือซะว่าคอยช่วยเหลือข้า เป็นอย่างไร?”
อวี๋ซานฝางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้อยากเป็นขุนนางอะไรนั่นสักหน่อย ช่างมันเถิด เจ้าเอาโอกาสนี้ไปมอบให้คนอื่นเถอะ”
กวนอี้หรานถาม “เจ้าอยากตายอยู่ในสนามรบจริงๆ หรือ?”
อวี๋ซานฝางแสยะปากยิ้มกว้าง “ตอนนี้มีสงครามให้ทำเสียที่ไหน?”
กวนอี้หรานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างคลุมเครือว่า “สนามรบหลังจากนี้ก็อันตรายมากเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่บนหลังม้า ข้าจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวพันกับความลับอะไร มันเป็นเพียงแค่การอนุมานของข้าเอง นั่นก็คือผู้ฝึกตนในกองทัพทั้งหมดที่ไม่ใช่คนของต้าหลี ใครก็ตามแต่ แม้แต่ข้ากวนอี้หรานเอง ก็ล้วนมีโอกาสตายอย่างเฉียบพลันได้ทุกที่ทุกเวลา ตายได้อย่างไร้สาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าใกล้อาณาเขตแคว้นใต้อาณัติที่เกิดโศกนาฎกรรมสิ้นแคว้นที่รุนแรง ยิ่งขยับเข้าใกล้อดีตเมืองหลวงของแคว้นเก่า หรือไม่ก็ขยับเข้าใกล้ภูเขาตระกูลเซียนที่ล่มสลาย โอกาสที่ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพจะรบตายก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งข้ายังกล้าพูดด้วยว่า การลอบสังหารที่อำมหิตจะมีเยอะมาก เยอะมากๆ”
อวี๋ซานฝางร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าเป็นแบบนี้ การที่ข้าไม่วิ่งไปเป็นขุนนางก็ถูกแล้วน่ะสิ ด้วยฝีมือแมวสามขา (เปรียบเปรยถึงคนไม่มีความสามารถ ดั่งแมวสามขาที่จับหนูไม่ได้) ของเจ้า ไม่มีข้าอยู่ด้วย เวลาเจ้าไปเข้าห้องส้วมก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถูกใครแทงมีดใส่ก้นจนเป็นรูหลายรูหรอกหรือ?”
กวนอี้หรานโมโหจนหยิบที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์อันหนึ่งขว้างใส่ชายฉกรรจ์ผู้นั้น
อวี๋ซานฝางคว้าเอาไว้ได้ ยิ้มพูดหน้าเป็นว่า “โอ้โห ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ตบรางวัล”
แล้วอวี๋ซานฝางก็ลุกขึ้นยืน วิ่งตะบึงไปทางประตูห้อง
กวนอี้หรานนั่งอยู่ที่เดิม พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ก็แค่ของเล่นที่มีค่าไม่กี่ตำลึง เจ้ายังมีหน้าจะเอาไปด้วยงั้นหรือ?”
อวี๋ซานฝางหยุดเดิน หันหน้ากลับมา ขว้างที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์กลับคืนด้วยสีหน้ารังเกียจ สบถว่า “เจ้าเป็นถึงลูกหลานสกุลกวนแห่งเมืองอวิ๋นไจ้ มณฑลอี้โจว แต่ดันเอาของผุๆ นี่มาวางไว้บนโต๊ะงั้นหรือ?! ข้าล่ะนึกอายแทนนายท่านผู้เฒ่ากวนจริงๆ!”
คิดไม่ถึงว่ากวนอี้หรานจะรีบยื่นสองมือออกมารับที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์ชิ้นนั้นเอาไว้ เป่าลมใส่มันเบาๆ แล้วเอาวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นี่คือของตกแต่งห้องหนังสือเชื้อพระวงศ์ของฮ่องเต้ราชวงศ์จูอิ๋งเชียวนะ แม่ทัพซูของพวกเรามอบมันเป็นรางวัลให้ข้าด้วยตัวเอง อันที่จริงมีค่ามากนักล่ะ”
อวี๋ซานฝางเพิ่งจะเปิดประตูออกไป เขาที่หันหลังให้กับว่าที่เจ้าประมุขสกุลกวนเสาค้ำยันแคว้นชูมือข้างหนึ่งขึ้นสูง แล้วยกนิ้วหนึ่งขึ้น พอกระแทกประตูปิดแล้วก็ก้าวยาวๆ จากไป
กวนอี้หรานส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเส้นสายตาของเขามาตกอยู่บนโต๊ะ รอยยิ้มนั้นก็หุบลง
พลิกเปิดรายงานลับจากองค์กรสายลับศาลาคลื่นมรกตของต้าหลีต่ออีกครั้ง ตัวอักษรในรายงานฉบับนั้นเยอะมาก นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุดในราชสำนักต้าหลี
เพราะภายใต้การอนุมานของราชครูชุยฉาน เอกสารรายงานทุกอย่างล้วนเน้นย้ำในด้านความกระชับ ได้ใจความ
การที่กวนอี้หรานสามารถอ่านรายงานลับฉบับนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเขาแซ่กวน แต่เป็นเพราะเขาคือแม่ทัพที่มาปักหลักตั้งกองทัพอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนพอดี จึงจำเป็นต้องให้เขาเขียนรายงานตอบกลับด้วยตัวเอง
รายงานฉบับนี้มาจากมือของขุนนางบุ๋นตำแหน่งเล็กๆ แซ่หลิ่วคนหนึ่งที่มาจากแคว้นชิงหลวน ทว่าเนื้อหาเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ ใหญ่จนทำให้กวนอี้หรานที่ได้อ่านแค่ไม่กี่ตัวอักษรรู้สึกเหมือนมีไอเย็นๆ ลอยโชยมาปะทะใบหน้า
เป็นกลยุทธ์โดยละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ใหญ่ในอนาคตของทะเลสาบซูเจี่ยน
เนื้อหาหนึ่งในนั้นพูดถึงกู้ช่าน แน่นอนว่าพูดถึงเขากวนอี้หรานด้วย
……
ผู้เฒ่าคนหนึ่งพลิ้วกายลงในลานเรือนขนาดเล็กอย่างเงียบเชียบ
กู้ช่านเก็บตำหนักพญายมราชคุกล่างและเรือนแก้วจำลองที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ใบหนึ่งที่วางไว้ข้างเท้า
หยิบเอาพัดไม้ไผ่ที่ทำจากไม้ไผ่เสินเซียวบนโต๊ะขึ้นมาเหน็บไว้ตรงเอว เดินยิ้มออกจากห้องหนังสือ ไปเปิดประตูใหญ่ของห้องหลัก
แขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ ถือว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริงของเขา
หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียที่เล่าลือกันว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายอยู่ในคุกน้ำ และตอนนี้ก็มีหวังว่าจะฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด
กู้ช่านเปิดประตูแล้วก็ประสานมือโค้งคารวะ “ศิษย์กู้ช่านคารวะอาจารย์”
หลิวจื้อเม่าส่งยิ้มให้พลางพยักหน้ารับ “ระหว่างพวกเราอาจารย์และศิษย์ ไม่จำเป็นต้องห่างเหินกันเช่นนี้”
คนทั้งสองนั่งลงในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักซึ่งมีกรอบป้ายเขียนคำว่า ‘ชื่อเสียงหอมหวนขจรนาน’ ที่เจ้าของบ้านเดิมทิ้งไว้
กลอนคู่ที่แขวนไว้สองด้านก็ผ่านกาลเวลามานานแล้วเช่นกัน เนื่องจากไม่เคยได้เปลี่ยนใหม่จึงมีกลิ่นอายของความโบราณเก่าแก่ ‘ยามเปิดประตูภูเขาด้านหลังน้ำใสงามสบายตา ยามปิดหน้าต่างบทความคุณธรรมอบรมจิตใจ’
หลิวจื้อเม่านั่งลงบนตำแหน่งประธาน กู้ช่านนั่งอยู่ด้านข้าง
หลิวจื้อเม่ามองประเมินห้องโถงแห่งนี้ไปรอบหนึ่ง “สถานที่เล็กไปสักหน่อย แต่ยังดีที่สะอาดและสงบ”
กู้ช่านถาม “อาจารย์จะดื่มเหล้าหรือไม่? ที่นี่ไม่มีเหล้าหมักตระกูลเซียน แต่เหล้าหมักข้าวเหนียวของสหายคนหนึ่งกลับยังมีอยู่ไม่น้อย แต่สุราในหมู่ชาวบ้านเช่นนี้ อาจารย์อาจดื่มไม่ชินสักเท่าไร”
หลิวจื้อเม่าโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ดื่มดีกว่า”
กู้ช่านจึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม
หลิวจื้อเม่ายิ้มถาม “ก่อนหน้านี้อาจารย์ออกไปข้างนอกกับผู้ถวายงานคนหนึ่งของสำนักมารอบหนึ่ง ตอนนี้จึงพอจะถือว่ามีความสัมพันธ์กับแม่ทัพใหญ่ซูเกาซานอยู่บ้าง เจ้าอยากเข้าร่วมกองทัพ ชิงเอาตำแหน่งขุนนางแม่ทัพบู๊มาบ้างหรือไม่?”
กู้ช่านส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์คงไม่นำความสัมพันธ์ควันธูปของอาจารย์มาใช้ให้สิ้นเปลืองแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!