กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 536

วันนี้ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งข้างคลองส่งน้ำมีเรื่องสนุกอย่างการแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ให้ดู

บัณฑิตคนหนึ่งที่เดินทางไปกลับลำคลองส่งน้ำเส้นเดิมจนครบหนึ่งรอบแล้วได้พาเด็กหนุ่มข้ารับใช้ที่ชื่อว่าหลิ่วซัวไปนั่งอยู่บนกำแพงดินเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง มองดูการแสดงทางฝั่งนั้นที่เสียงตีกลองดังสะเทือนฟ้า ม้าไม้ไผ่ทำมาจากไม้ไผ่สาน ใช้ผ้าห้าสีรัดพันเอาไว้ แบ่งออกเป็นสองช่วงคือช่วงหน้าและหลัง เอามาผูกไว้ตรงเอวของคนที่ขี่ม้ากระโดด ตามประเพณีพื้นบ้าน ชุดขาวขี่ม้าแดง ชุดเขียวขี่ม้าเหลือง สตรีขี่ม้าเขียว บัณฑิตขี่ม้าขาว ผู้ฝึกยุทธขี่ม้าสีดำ ต่างก็มีความหมายที่แตกต่างกันออกไป

อันที่จริงมองไม่ออกแล้วว่าบัณฑิตผู้นี้มีตำแหน่งขุนนางติดกาย เพราะผิวของเขาถูกแดดเผาจนดำเมี่ยม บนร่างสวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ มีเพียงบนเท้าเท่านั้นที่สวมรองเท้าหนังเลียงผาแน่นหนาแข็งแรงแต่เก่า ไม่ใช่รองเท้าที่ครอบครัวชนบททั่วไปสามารถครอบครองได้

งานแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ไม่ได้ไปเยือนทุกหมู่บ้าน ต้องดูที่ว่าหมู่บ้านไหนออกเงิน ออกเงินมากหรือน้อย อีกทั้งม้าจะกระโดดโดยอิงตามราคาที่จ่ายด้วย

เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านแห่งนี้ออกเงินค่อนข้างมาก ดังนั้นการแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ถึงได้ตระการตามากเป็นพิเศษ

บริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงยังมีอันธพาลที่เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จากต่างหมู่บ้านซึ่งมาร่วมวงชมเรื่องสนุกอยู่อีกไม่น้อย

พวกเขาพากันชี้ไม้ชี้มือใส่เด็กสาวในหมู่บ้านที่ร่ำรวยแห่งนี้ คำพูดคำจาไร้ความยำเกรง บอกว่าวันหน้าคุณหนูของบ้านใดจะต้องหน้าอกใหญ่มาก บอกว่าเด็กสาวของครอบครัวไหนจะต้องให้กำเนิดบุตรชายได้ เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นๆ ลงๆ อยู่บริเวณโดยรอบหัวกำแพง แล้วก็ยังมีคนเถียงกันว่าสตรีของบ้านใดสวยที่สุดกันแน่ เปรียบเทียบกันว่าใครกันแน่ที่เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในรัศมีหลายสิบลี้นี้ ถึงอย่างไรต่างคนก็ต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง

บัณฑิตคนนั้นก็มองสตรีที่พวกเขาชี้ด้วย อีกทั้งยังไม่ปิดบังสายตามองประเมินของตนเองแม้แต่น้อย เด็กรับใช้ที่นั่งอยู่ข้างกายรู้สึกจนใจเล็กน้อย เหตุใดนายท่านถึงได้ทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้กันนะ

บัณฑิตยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุณสมบัติดั้งเดิมของสตรี มีเพียงความขาวเท่านั้นที่ยากที่สุด อันที่จริงจะอ้วนหรือผอมก็ไม่สำคัญ”

เด็กรับใช้กล่าวอย่างระอาใจ “นายท่านว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแหละ”

บัณฑิตยิ้มกล่าว “เจ้ายังเด็ก วันหน้าก็จะเข้าใจเอง ใบหน้าของสตรีไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด มีเพียงรูปร่างดีเท่านั้น ถึงจะยอดเยี่ยมที่สุด”

เด็กรับใช้กลอกตามองบน “นายท่าน ข้าจะต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม เพิ่งอ่านตำราได้แค่ไม่กี่เล่ม แล้วยังจะต้องไปสอบเอาตำแหน่งเป็นขุนนางเหมือนท่านอีกด้วย”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “เมล็ดพันธุ์บัณฑิตอย่างเจ้า อนาคตต้องได้เป็นขุนนางแน่”

เด็กรับใช้พลันตื่นเต้นดีใจ

คำพูดของนายท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ล้วนแม่นยำเสมอ!

ห่างพวกเขาไปไกล ใกล้กับจุดที่แสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ เสียงไชโยโห่ร้อง เสียงปรบมือดังต่อเนื่องไม่หยุด

บริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงที่พวกเขานั่งอยู่ก็มีผู้ชมไม่น้อย แต่หลายคนกลับออกปากตินู่นตินี่ ไม่เห็นว่าสนุกสนาน เสียงพ่นลมออกจากจมูกอย่างดูแคลนดังมากกว่าเสียงปรบมือ

เด็กรับใช้ถามเสียงเบา “นายท่าน ท่านมีความรู้ยิ่งใหญ่ รู้ต้นกำเนิดของการกระโดดม้าไม้ไผ่พวกนั้น ถ้าอย่างนั้นท่านลองบอกหน่อยสิว่า พวกเขากระโดดได้ไม่ดีจริงๆ หรือ? ข้ารู้สึกว่าก็ดีมากนี่นา”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “แน่นอนว่าต้องดี แต่พวกเราไม่ได้ออกเงิน แล้วทำไมต้องบอกว่าดีด้วย ของดีในใต้หล้านี้ มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องจ่ายเงิน?”

เด็กรับใช้มึนงงไม่เข้าใจ “นี่คือเหตุผลอะไร?”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไรอีก เขายื่นมือไปลูบหัวเด็กหนุ่ม “ไม่ต้องไปคิดเรื่องพวกนี้ให้มากความ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอันดีในการศึกษาเล่าเรียนของเจ้า”

เด็กรับใช้พยักหน้ารับ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เหตุใดช่วงนี้ท่านถึงเอาแต่ดูเอกสารคดีเรื่องภาษีของกรมการคลังในแต่ละยุคสมัยล่ะ?”

จนถึงตอนนี้เด็กรับใช้ก็ยังไม่เข้าใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตำแหน่งขุนนางของนายท่านตนในเวลานี้จะไปพลิกเปิดอ่านได้ แต่นี่ยังถึงขั้นว่ามีคนแอบนำมาส่งให้ถึงโต๊ะหนังสือของเขาโดยเฉพาะ

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบาว่า “ตำราประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นจักรพรรดิในยุคหลังที่สั่งให้คนเขียนเรื่องราวของราชวงศ์ก่อน ความจริงบางอย่างย่อมขาดหายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่มีเพียงเรื่องที่เงินทองเข้าออกเท่านั้นที่ไม่หลอกลวงคนมากที่สุด ดังนั้นหากมีโอกาส ยามที่พวกเราอ่านตำราประวัติศาสตร์ก็ควรต้องอ่านประวัติของคนที่มีอำนาจควบคุมดูแลเรื่องการเงินในแต่ละยุคแต่ละสมัย รวมไปถึงประวัติการสร้างและการใช้เงินน้อยใหญ่ในเรื่องต่างๆ ของเขา ใช้คนหนึ่งคนเป็นจุดเริ่มต้น ใช้ผลกำไรขาดทุนของท้องพระคลังแคว้นเป็นเส้นที่ลากยาวออกไป แบบนี้ก็จะยิ่งมองเห็นผลได้ผลเสียของกลยุทธที่หนึ่งแคว้นเอามาใช้ได้ชัดเจนมากขึ้น”

เด็กรับใช้เกาหัว

หลิ่วชิงเฟิงทอดสายตามองไปยังความอึกทึกครึกครื้นที่ห่างไปไกลแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องรีบร้อน วันหน้าขอแค่นึกอยากอ่าน ก็มาเอาที่ข้าไปได้”

เด็กรับใช้เห็นว่าวันนี้นายท่านของตนยินดีที่จะพูดคุยก็อดดีใจไม่ได้

เพราะการตรวจสอบดูแลงานตั้งแต่ต้นถึงปลายคลองส่งน้ำทั้งสองรอบนั้นทำให้คนเหนื่อยตายได้จริงๆ อีกทั้งเวลานั้นนายท่านก็ไม่ค่อยชอบพูดสักเท่าไร เอาแต่มองภูเขาสายน้ำพวกนั้นที่ไม่มีความต่างกันแล้วจดบันทึกไปเงียบๆ

เด็กรับใช้ฉวยโอกาสที่วันนี้นายท่านยินดีที่จะพูดคุย จึงถามเพิ่มไปอีกว่า “นายท่าน ทำไมเวลาที่ท่านไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งก็จะต้องชอบไปพูดคุยกับพวกอาจารย์ในโรงเรียนตามชนบทหรือไม่ก็ตามนครต่างๆ ล่ะ?”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ย “เมล็ดพันธุ์บัณฑิตเกิดขึ้นได้อย่างไร? ตามหลังพ่อแม่ในครอบครัวก็คือครูบาอาจารย์แล้ว แล้วจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่บัณฑิตอย่างพวกเราควรให้ความใส่ใจได้อย่างไร? หรือว่าอยู่ดีๆ จะมีบัณฑิตที่ในท้องเต็มไปด้วยความรู้ อีกทั้งยังยินดีที่จะอบรมบ่มเพาะตัวเองหล่นลงมาจากฟ้าได้จริงๆ”

เด็กรับใช้อืมรับหนึ่งที “นายท่านยังคงพูดจามีเหตุผล”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ “เรื่องนี้เจ้ากลับสามารถครุ่นคิดให้ดีๆ ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย”

เด็กรับใช้พยักหน้ารับ “ตกลง!”

ทันใดนั้นก็มีบุรุษร่างกำยำและเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามา พอเห็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่หลิ่วชิงเฟิงกับเด็กรับใช้นั่งอยู่ คนผู้หนึ่งก็กระโดดขึ้นมาบนหัวกำแพง “ไสหัวออกไป”

เด็กหนุ่มผู้เป็นเด็กรับใช้มีสีหน้าขุ่นเคือง

คิดไม่ถึงว่านายท่านของตนจะลุกขึ้นยืนแล้ว แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรสักอย่าง เพียงแค่กระโดดลงจากหัวกำแพงเตี้ยๆ ไปเงียบๆ เด็กหนุ่มจึงได้แต่ทำตาม ไปชมการกระโดดม้าไม้ไผ่ที่อื่น เพียงแต่ว่าพอลองมองไปอีกครั้งกลับเห็นได้ไม่ชัดเจนเหมือนเก่าแล้ว

เด็กหนุ่มโมโหอย่างหนัก

หลิ่วชิงเฟิงที่ไปยืนตำแหน่งอื่นยืดคอยาว เขย่งปลายเท้า ดูการแสดงม้าไม้ไผ่ที่กระโดดอยู่บนลานตากธัญพืชของหมู่บ้านนี้ต่อไป

เด็กหนุ่มอัดอั้นอยู่ในใจ

นายท่านของตนไม่ว่าอะไรก็ดีหมด เพียงแต่นิสัยดีเกินไป ข้อนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร

“ไม่พูดเรื่องถูกผิดกับคนผิด ถึงท้ายที่สุดตนเองก็จะกลายเป็นคนผิดนั้นเอง”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่แก่งแย่งชื่อเสียงกับวิญญูชนจอมปลอม ไม่ช่วงชิงผลประโยชน์กับคนถ่อยที่แท้จริง ไม่ถกเถียงเหตุผลกับคนดื้อดึง ไม่แข่งขันความกล้าหาญกับคนหยาบกระด้าง ไม่ประชันความรู้กับชาวลัทธิขงจื๊อที่ยากจน ไม่เมตตาประทานบุญคุณแก่คนโง่”

นี่ก็คือการไม่แก่งแย่งชิงดี

อันที่จริงยังมีความรู้ในเรื่องการแก่งแย่งแข่งขันอยู่อีกด้วย

แต่หลิ่วชิงเฟิงรู้สึกว่าเอาไว้พูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายช้าสักหน่อยจะดีกว่านี้

เด็กหนุ่มเป็นบัณฑิต ไม่ตั้งใจเล่าเรียนหนังสืออ่านตำรา เอาแต่คิดถึงเรื่องหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นว่าจะไม่ใช่เรื่องดี

ขอแค่ไม่ทำความผิดมหันต์ก็พอแล้ว

เด็กหนุ่มหลิ่วซัวปลุกความกล้าโต้เถียงนายท่านของตัวเองที่รอบรู้ทุกเรื่องเป็นครั้งแรก “อะไรก็ไม่แก่งแย่งชิงดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เท่ากับว่าพวกเราไม่เหลืออะไรเลยหรอกหรือ? จะเสียเปรียบเกินไปหน่อยไหม ไหนเลยจะมีหลักการที่ว่ามีชีวิตอยู่แล้วยังต้องยอมให้คนอื่นทุกเรื่อง ข้ารู้สึกว่าแบบนี้ไม่ดีเลย!”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ “ลองคิดดูให้ดีๆ อีกครั้ง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!