จากนั้นเซียนหลิวหลีก็ได้เห็นว่าเซียนซือใหญ่ชุยของตนผู้นั้นคล้ายจะพึงพอใจกับถ้อยคำนั้นมาก จึงกระโดดลงจากบ่อน้ำ เดินจากมาพร้อมเสียงหัวเราะอันดัง เขาตบหัวเด็กน้อยหนึ่งที แล้วคนทั้งสามก็ออกมาจากวัดป๋ายสุ่ยด้วยกัน
ยามนั้นชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่มชุดขาวโบกสะบัด ฝีเท้าล่องลอยดุจลูกคลื่น จุ๊ปากเอ่ยว่า “หากให้ตายอย่างไรเจ้าก้อนหินดื้อด้านนี้ก็ไม่ยอมพยักหน้าตกลง ฝังตัวอยู่ท่ามกลางพื้นป่ารกชัฏแล้วได้มาเจอโดยบังเอิญ จะไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียดายมากหรอกหรือ?!”
ถึงอย่างไรเซียนหลิวหลีก็ฟังอะไรไม่เข้าใจอยู่แล้ว จึงได้แต่แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจด้วยการพยักหน้าเอ่ยว่า “เซียนซือท่านผู้อาวุโสนอกจากจะมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังมีมรรคกถาสูงส่ง มีพระธรรมลึกล้ำขนาดนี้ ไปเข้าร่วมงานโต้วาทีของสามลัทธิได้สบายๆ ไม่มีปัญหาเลยจริงๆ”
เด็กหนุ่มชุดขาวด่าอย่างขันๆ ว่า “ผายลมเหม็นโฉ่น่ะสิเจ้า!”
เซียนหลิวหลียิ้มกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับ “เซียนซือกล่าวถูกทั้งหมด”
เด็กหนุ่มชุดขาวหันหน้ามา “เจ้าฉลาดไม่น้อย ไม่สู้อยู่เป็นพระที่นี่ดีหรือไม่?”
เซียนหลิวหลีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ไม่นะ ข้าไม่มีความฉลาดมากพอจะฝึกพระธรรมหรอก! ไม่มีเลยสักนิดเดียว!”
จากนั้นชุยตงซานก็พาหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนมารอบหนึ่ง
ไปพบกับเจ้าอารามของอารามขนาดเล็กท่านหนึ่ง
อารามเต๋าแห่งนั้นมีชื่อว่าอารามป๋ายอวิ๋น เป็นสถานที่ห่างไกลที่เล็กเท่าก้อนเต้าหู้ อยู่ติดกับตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้าน เสียงหมาเห่าไก่ขัน คลอเคล้าไปด้วยเสียงเด็กๆ วิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว เสียงร้องเร่ขายของ จอแจดังระงม
ชุยตงซานพักอยู่ที่นั่นหลายวัน บริจาคเงินค่าธูปค่าน้ำมันไปไม่น้อย แน่นอนว่าก็ยืมหนังสือมาเปิดอ่านอยู่หลายเล่มด้วย เจ้าอารามท่านนี้อย่างอื่นนั้นมีไม่มาก ที่มากก็คือตำราที่เก็บสะสมเอาไว้ อีกทั้งลำพังเพียงแค่ความเข้าใจจากการอ่านตำราหลากหลายของนักพรตวัยกลางคนที่ไร้สัญชาติไร้นามผู้นั้น ก็สามารถเอามาเขียนเป็นตัวอักษรได้เกือบหนึ่งล้านตัว ชุยตงซานจึงอ่านสิ่งที่เขาเขียนมากกว่า เจ้าอารามเองก็ไม่ได้หวงวิชาความรู้ ยินดีให้คนอื่นมาเปิดอ่าน ประเด็นสำคัญคือเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่แบกหีบตำราออกทัศนาจรผู้นี้ยังเป็นผู้มีจิตศรัทธาที่ใช้จ่ายเงินมือเติบอีกด้วย ในที่สุดอารามป๋ายอวิ๋นของตนก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออีกแล้ว
เช้าตรู่วันที่ชุยตงซานบอกลาจากไป นักพรตน้อยคนหนึ่งที่กว่าจะได้มีชีวิตสุขสบายดั่งเทพเซียนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายรู้สึกไม่อยากให้เขาจากไปเลย เด็กน้อยร้องให้น้ำมูกน้ำตานองหน้า ทำเอาอาจารย์ที่เป็นเจ้าอารามมองเขาด้วยความเวทนา ตนที่เป็นอาจารย์ทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องเลยใช่หรือไม่?
ชุยตงซานจากไปได้ไม่ถึงครึ่งวัน
นักพรตน้อยยังคร่ำครวญไม่เลิก ตอนที่ถือไม้กวาดกวาดใบไม้ร่วงในอารามจึงค่อนข้างจะใจลอยไปบ้าง
จากนั้นก็มีรถเทียมวัวเจ็ดแปดคันพากันเคลื่อนขบวนมาถึงนอกอารามป๋ายอวิ๋น บอกว่าเอาตำรามาส่ง
บนรถเทียมวัวบรรจุตำราหลากหลายรูปแบบของร้อยสำนักเอาไว้ แต่ละหีบแต่ละลังล้วนถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งนี้
ภาพนี้ทำเอาเจ้าอารามวัยกลางคนที่ใบหน้าผอมตอบปากอ้าตาค้าง
แต่เมื่อป้ายแผ่นหนึ่งถูกเอาลงมาจากรถเทียมวัวคันสุดท้าย เจ้าอารามก็เรียกนักพรตน้อยที่อารมณ์ลิงโลดเบิกบานให้ช่วยกันยกเข้าไปในห้องหนังสืออย่างระมัดระวัง
บนกรอบป้ายนั้นเขียนสองคำว่า ‘ไจซิน’ (ขจัดความคิดวุ่นวายในใจ เพื่อฝึกจิตใจให้สงบ)
หลังออกมาจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนแล้ว เซียนหลิวหลีก็ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถม้า ชุยตงซานนั่งอยู่ด้านข้าง เด็กน้อยนั่งงีบหลับอยู่ในห้องโดยสาร
ผู้ฝึกตนเฒ่าถามเสียงเบา “เซียนซือ เจ้าอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตนเสียหน่อย เหตุใดท่านถึงต้องโปรดปรานเขาขนาดนี้?”
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะไปทางซ้ายทีขวาที บนทีล่างที พลางเอ่ยว่า “เขาน่ะหรือ อาจารย์สองคนของข้าทั้งก่อนและหลัง ล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน ในช่วงยุคสันติสุข ต่างก็ไม่โดดเด่น ทว่าพอถึงช่วงกลียุค นั่นก็คือ…”
ผู้ฝึกตนเฒ่ารอคอยประโยคถัดไป แต่รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินประโยคหลังนั้นเสียที
รอจนเซียนหลิวหลีล้มเลิกความคิดที่จะรอคอยคำตอบ ชุยตงซานถึงยิ้มเอ่ยว่า “เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด”
ชุยตงซานหยุดมือทั้งสองข้าง พูดเนิบช้าว่า “คนสอนหนังสือทั่วไป สามารถทำให้ความรู้ของเด็กเรียนดี ดีขึ้นได้มากกว่าเดิม อาจารย์ที่ดีขึ้นมาหน่อย ก็จะสอนทั้งเด็กเรียนดี แล้วก็ดูแลเด็กที่เรียนไม่เก่งด้วย ยินดีโน้มน้าวคนให้เปลี่ยนจากผิดไปเป็นถูก ส่วนอาจารย์ที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ล้วนยินดีที่จะมอบความอดทนและความปรารถนาดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่พวกคนชั่วร้ายที่ไม่รู้ความเพราะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน คนประเภทนี้ ไม่ว่าพวกเขาเดินไปที่ไหน โรงเรียนและเสียงท่องหนังสือ แท้จริงแล้วก็ยังอยู่ตรงนั้น มีบางคนรู้สึกว่าหนวกหู ไม่เป็นไร มีคนฟังเข้าหู ย่อมดี”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่ช่างซ่อมที่สามารถเขย่าคลอนวิถีทางโลกอะไร แต่เป็นต้นกำเนิดน้ำพุใสในใจของคนบนโลก น้ำไหลลงไปสู่เบื้องล่าง ผ่านเท้าของทุกคนไป เพราะไม่ได้อยู่ในระดับสูง ไม่ว่าใครก็ล้วนสามารถก้มหน้าค้อมเอวลงไปวักน้ำมาดื่มได้”
ชุยตงซานพลันลุกพรวดขึ้นยืน ชูแขนขึ้นสูงราวกับว่าในมือถือจอกเหล้า เด็กหนุ่มชุดขาวในเวลานี้ลุกขึ้นยืนอาภรณ์โบกสะบัด สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา “บนโลกใบนี้มีรสชาติหวานมันเลี่ยนอยู่มากมาย ทุกคนชื่นชอบ แน่นอนว่าย่อมไม่ผิด ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้ ทว่ายามที่กระหายน้ำก็มีน้ำให้ดื่ม วักมาดื่มด้วยตัวเอง จะไม่สาแก่ใจ จะไม่โชคดีได้หรือไร?!”
เซียนหลิวหลีขับรถม้าอย่างระมัดระวัง
เฮ้อ
เซียนซือใหญ่ชุยชอบพูดจาประหลาดที่ทำให้คนไม่เข้าใจเช่นนี้อยู่เสมอ
ผลกลับกลายเป็นว่าผู้ฝึกตนเฒ่าถูกเตะเข้าที่ท้ายทอยด้านหลัง แล้วคนผู้นั้นก็ด่าตามมาว่า “มารดามันเถอะ เจ้าไม่รู้จักเอ่ยประจบเอาใจสักคำ ไม่รู้จักปรบมือให้กำลังใจกันบ้างเลยรึ?!”
ผู้ฝึกตนเฒ่าตกใจสะดุ้งโหยง รีบใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ว่าถ้อยคำประจบเอาใจนี้ ไม่ใช่ว่านึกจะพูดก็พูดได้นี่นา แล้วนับประสาอะไรกับที่ถูกเซียนซือใหญ่ชุยทำให้ตกใจเช่นนี้ ต่อให้เซียนหลิวหลีเค้นสมองครุ่นคิดก็ยังไม่อาจหาถ้อยคำที่เหมาะสมออกมาได้แม้แต่ครึ่งคำ
ยังดีที่คนผู้นั้นที่อยู่ด้านหลังได้พูดขึ้นมาแล้วว่า “ช่างเถิด ถึงอย่างไรชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ไม่มีโชคจะได้ไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!