กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 537

จางซานเฟิงรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ค่อนข้างจะลี้ลับมหัศจรรย์ แต่กระนั้นก็ยังคารวะแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยไขข้อสงสัยให้”

เฉินฉุนอันยิ้มกล่าว “ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทไปเสียทุกเรื่อง บัณฑิตศึกษาเล่าเรียน ผู้ฝึกตนฝึกบำเพ็ญตบะ เดิมทีก็ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน มารยาทนั้นอยู่ที่คำว่าเรียบง่าย อยู่ที่คำว่าเที่ยงแท้ ไม่ได้อยู่ที่คำว่ายิบย่อย ไม่ได้อยู่เฉพาะแค่ผิวเผินภายนอก”

อันที่จริงยังมีคำถามสุดท้ายของจางซานเฟิงที่เฉินฉุนอันไม่ใช่ไม่รู้คำตอบ แต่จงใจไม่พูดมันออกมา

ตรงกันข้ามกับที่นักพรตหนุ่มคิดเลยด้วยซ้ำ ลัทธิขงจื๊อไม่เคยห้ามปรามไม่ให้สรรพชีวิตบนโลกอ่านตำราหรือฝึกตน

นี่ก็คือกฎที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้

จางซานเฟิงหันหน้าไปมองอาจารย์ของตัวเอง

ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะอย่างฉุนๆ “ทำไม ได้มาเจอกับยอดฝีมือนอกโลกอย่างที่ตัวเองจินตนาการไว้ ก็เลยรังเกียจที่อาจารย์ตัวเองไม่มีมาดของเทพเซียนอย่างนั้นหรือ?”

จางซานเฟิงกะพริบตาปริบๆ

นี่อาจารย์ท่านพูดเองนะ ข้าไม่ได้คิดแบบนี้สักหน่อย

ฮว่อหลงเจินเหรินชี้ไปยังหินหน้าผาสีดำที่ห่างไปไม่ไกลแห่งนั้น “นั่นก็คือเจ้าเด็กที่ฝึกกระบี่ในความฝันหรือ?”

เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ “น่าเสียดายที่วันหน้ายังต้องคืนให้กับแจกันสมบัติทวีป ค่อนข้างจะอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย หลายปีมานี้มักจะมาคุยเล่นกับเขาอยู่ที่นี่ วันหน้าคาดว่าคงไม่มีโอกาสแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินพูดกับจางซานเฟิงว่า “คนผู้นั้นคือเพื่อนสนิทของเฉินผิงอัน เจ้าไม่ไปทักทายเขาหน่อยหรือ?”

จางซานเฟิงอึ้งตะลึงไปครู่ ก่อนจะขอตัวกับอาจารย์และท่านผู้เฒ่าคนนั้น แล้ววิ่งตะบึงจากไป

ฮว่อหลงเจินเหรินกับเฉินฉุนอันไม่ได้เดินไปยังศาลบรรพชนสกุลเฉินอิ่งอิน แต่เดินเลียบลำน้ำของแม่น้ำไปช้าๆ เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยว่า “จะดีจะชั่วที่ทักษิณาตยทวีปก็ยังมีเจ้าอยู่ แต่ใบถงทวีปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้กับฝูเหยาทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เจ้าจะทำอย่างไร?”

เนิ่นนานเฉินฉุนอันก็ยังไม่เอ่ยคำใด

อันที่จริงคำถามนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย

หากเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสามารถโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้แตก กองทัพใหญ่บุกเข้ามาดั่งกระแสน้ำขึ้นที่กลบทับภูเขาห้อยหัวซึ่งเป็นตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแห่งนั้นได้จริงๆ

เฉินฉุนอันจะสามารถพิทักษ์ทักษิณาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดไว้ได้หรือไม่ ก็ยังบอกได้ยาก แล้วใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปมาเกี่ยวอะไรกับเขาเฉินฉุนอันด้วยเล่า?

เฉินฉุนอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าก็เคยแนะนำข้ามาก่อน ความนัยในถ้อยคำของเขาก็เท่ากับว่ามอบทางเลือกให้ข้าสองทาง หากไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นก็ตายไปให้เร็วๆ หน่อย อย่าได้ไม่ตายช้าไม่ตายเร็วแต่ดันไปตายในช่วงเวลาสำคัญบางช่วง”

ฮว่อหลงเจินเหรินพูดอย่างปลงอนิจจัง “ผู้อาวุโสเหวินเซิ่งมองจิตใจของคนได้เฉียบขาดไม่มีใครเหมือนจริงๆ”

หากนับกันแค่อายุ ฮว่อหลงเจินเหรินก็แก่กว่าซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นหลายปีจนนับได้ไม่ถ้วน ทว่ายามที่พูดถึงซิ่วไฉเฒ่า เขาก็ยังคงยินดีเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสด้วยความเคารพจากใจจริง

เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ

ไม่ได้โต้แย้ง

ต่อให้เขาจะเป็นเสาหลักของสายหย่าเซิง และความรู้ของตัวเขาเฉินฉุนอันเองก็อยู่ตรงข้ามกับเป้าประสงค์ความรู้ที่ซิ่วไฉเฒ่าเป็นผู้ริเริ่มอย่างสิ้นเชิง

ลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาล

การแข่งขันของอริยะ ช่วงชิงทิศทางของมหามรรคา สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องดูที่ว่ามหามรรคาของใครสามารถปกป้องสรรพชีวิต ให้ประโยชน์แก่วิถีทางโลกได้มากกว่า

การแข่งขันของวิญญูชน ช่วงชิงในด้านความถูกผิดเล็กใหญ่ของหลักการเหตุผล ต้องโต้เถียงให้แบ่งแยกถูกผิดอย่างแน่ชัด

การแข่งขันของนักปราชญ์จึงจะเป็นการประชันความดีเลวของความรู้ตัวเองในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นแค่การตีกันบนหน้ากระดาษด้านล่างปลายพู่กันเท่านั้น

กฎเกณฑ์ยิบย่อยของลัทธิขงจื๊อก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่ใหญ่ที่สุดของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้

และการที่อริยะลัทธิขงจื๊อแต่ละท่านวาดพื้นที่ให้เป็นกรงขังของตัวเอง ก็คือการกระทำที่พันธนาการมือเท้าที่สุดในใต้หล้า

หนึ่งในเจ็ดสิบสองอริยะที่มีเทวรูปตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นของนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป ถูกหย่าเซิ่งลงโทษด้วยตัวเองอย่างรุนแรง และถูกผู้ฝึกตนร้อยสำนักมองว่าต้องอดกินหัวหมูเย็นๆ ทว่าในเรื่องของความรู้ เขาก็เคยกระตุ้นให้ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาในระบบความรู้ที่แตกต่างกันได้รับผลประโยชน์มหาศาล แล้วจึงได้เลื่อนจากนักปราชญ์ไปเป็นวิญญูชน เป็นเหตุให้ต่อให้คนผู้นี้จะเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับลูกศิษย์ที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง แต่ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังยินดียอมรับว่าความรู้ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา มองเห็นว่าความรู้ของคนผู้นี้เป็นคุณความชอบที่แอบแฝงต่อวิถีทางโลกในทุกวันนี้

กาลเวลาดั่งสายน้ำที่ไหลผ่าน ไม่แบ่งแยกกลางวันกลางคืน เป็นเช่นนี้มานับแต่โบราณกาล

ผู้เฒ่าสองคนที่จากลากันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า

คนหนุ่มสองคนตรงหน้าผาหินดำที่เพิ่งพบกันครั้งแรกกลับสนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานาน กำลังพูดคุยเรื่องเล็กๆ ยิบย่อย

คนหนุ่มลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่แสร้งทำเป็นนั่งหลับก็คือหลิวเสี้ยนหยางที่ถูกเฉินตุ้ยพาออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปมายังทักษินาตยทวีป

พอรู้ว่านักพรตหนุ่มที่ชื่อว่าจางซานเฟิงคือสหายสนิทที่เคยร่วมเดินทางกับเฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยางก็ดีใจอย่างมาก จึงสอบถามจางซานเฟิงถึงสิ่งที่เขาพบเจอมาระหว่างการเดินทางครั้งนั้น

เรื่องวงในบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแจกันสมบัติทวีป กองทัพม้าเหล็กต้าหลีและถ้ำสวรรค์หลีจู หลิวเสี้ยนหยางก็รู้มาบ้าง แต่กลับไม่มาก เขาจึงได้แต่สืบหาเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ มาจากรายงานภูเขาแม่น้ำเท่านั้น หลิวเสี้ยนหยางมาศึกษาเล่าเรียนอยู่นอกบ้าน ไร้ที่พึ่งพา จึงต้องกินใช้อย่างประหยัด เพราะตำราทุเล่มที่เก็บไว้ในสกุลเฉินอิ่งอินนั้น ไม่ว่าจะล้ำค่าปานใด คนที่มาศึกษาต่อทุกคนก็ล้วนสามารถนำมาเปิดอ่านได้โดยไม่คิดเงิน ทว่ารายงานภูเขาสายน้ำพวกนั้นกลับต้องจ่ายเงิน ยังดีที่หลิวเสี้ยนหยางได้รู้จักลูกศิษย์สกุลเฉินและนักเรียนในสำนักศึกษาของที่นี่หลายคน ตอนนี้ต่างก็เป็นเพื่อนกันแล้ว จึงสามารถรับรู้เรื่องบางส่วนของทวีปอื่นในใต้หล้ามาจากพวกเขา

เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ปีนั้นสดใสร่าเริงแล้ว

หลิวเสี้ยนหยางในทุกวันนี้ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นสำรวมและหนักแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ขยันตั้งใจเรียน รักษากฎอย่างเข้มงวด ในเรื่องการฝึกตนก็ยิ่งไม่เคยเกียจคร้าน ยิ่งนานวันก็ยิ่งสอดคล้องกับภูเขาสายน้ำและขนบธรรมเนียมประจำสกุลเฉินผู้รอบรู้มากขึ้นเรื่อยๆ

หันกลับไปดูเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ในอดีตยามอยู่กับคนนอกมักจะเงียบขรึมพูดน้อย สหายที่ดีที่สุดของหลิวเสี้ยนหยางคนนั้น ทุกวันนี้กลับแสวงหาความอิสระเสรีทางจิตใจอย่างที่ตัวเองปรารถนา มีทั้งสิ่งที่ไขว่คว้า และมีทั้งสิ่งที่ได้มาครอบครองแล้ว

จางซานเฟิงพูดรัวเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ บอกเล่าถึงความดีมากมายของเฉินผิงอัน

สำหรับผู้ฝึกตนหนุ่มแห่งยอดเขาพาตี้ผู้นี้ เกรงว่าต่อให้เขารู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองได้พลาดการเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ไป บางทีเขาอาจจะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็คงจะไม่เสียใจมากสักเท่าไร ที่มากกว่านั้นคงจะรู้สึกว่าอาจารย์ของตนโง่หรือไม่ คนอย่างเขาจางซานเฟิงน่ะหรือจะกล้าไปวาดหวังตำแหน่งเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของจวนเทียนซือ? ถึงอย่างไรแม้แต่คิดเขาก็ยังไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำ ต่อให้รู้ว่าต้องพลาดโอกาสนั้นไป จิตแห่งเต๋าของจางซานเฟิงก็คงไม่ได้วุ่นวายสักเท่าไร

บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งล้ำค่าในตัวเขาเองที่จางซานเฟิงไม่รู้ตัวมากที่สุด

ถึงขั้นที่ว่าไม่รู้ตัวยิ่งกว่าเรื่องที่เขามักจะคิดว่ามรรคกถาของอาจารย์ตนเองธรรมดาไม่สูงส่งด้วยซ้ำ

แต่เมื่อจางซานเฟิงพูดถึงการจากลากับเฉินผิงอันทั้งสองครั้ง เขากลับดูเสียใจมากจริงๆ

จางซานเฟิงปลดกระบี่โบราณเล่มที่สะพายอยู่บนหลังลงมาส่งมอบให้แก่หลิวเสี้ยนหยางเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกัน แล้วยิ้มกว้างเอ่ยว่า “นี่ก็คือกระบี่ที่เฉินผิงอันซื้อที่หอชิงฝู กระบี่ชื่อว่า ‘เจินอู่’ เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่สามารถเปลี่ยนเป็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานก่อนหน้านี้ ข้าก็ติดเงินเขาไว้เหมือนกัน ข้าติดค้างเฉินผิงอันไว้มากมาย แต่ตอนนี้อาจารย์ได้ขอโอสถวารีสองขวดมาจากสหายที่หนองน้ำเซิ่นเจ๋อ วันหน้าขอแค่มีโอกาสก็สามารถนำไปมอบให้เฉินผิงอันได้ ถือว่าเป็นค่าดอกเบี้ยที่ใช้คืนไปก่อน”

หลิวเสี้ยนหยางชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ บนตัวกระบี่มีรอยร้าวเล็กๆ สนิมเกราะเขรอะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!