เฉินผิงอันหดมือกลับมา “มีปราณสังหารเข้มข้นขนาดนี้ สมควรฝึกตนอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลงแล้ว”
เด็กหนุ่มหันหน้าไปทำเสียงถุยหนึ่งที “ต่อให้เขาคนแซ่หลิวร้ายกาจกว่าเจ้าขุนเขาอาจารย์ของข้า แล้วอย่างไร? ข้าก็จะต้องเปลี่ยนสำนักเพื่อเขาอย่างนั้นหรือ?! อีกอย่างน่ะ ไอ้หมอนั่นแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกหนอนหนังสือ วันหน้าฝึกตนอยู่กับเขา ทุกวันจะต้องเรียกเจ้าคนนิสัยจู้จี้อืดอาดเช่นนี้ว่าอาจารย์ ข้าล่ะกลัวว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่อาจฝึกตนเป็นเซียนกระบี่ครึ่งตัวอะไรได้เลย”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วอาจารย์ของเจ้าหวังให้เจ้าติดตามฉีจิ่งหลงไปฝึกตนมากกว่า?”
เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็พอจะเดาได้ อาจารย์ดีต่อข้า นี่เป็นเรื่องที่ข้ารู้มาโดยตลอด ดังนั้นข้าจึงคิดว่าปากก็จะเรียกเจ้าคนแซ่หลิวว่าอาจารย์ แต่ในใจของข้า ชั่วชีวิตนี้จะรับอาจารย์เป็นอาจารย์คนเดียวเท่านั้น”
เด็กหนุ่มหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ด้วยกลัวว่าไอ้หมอนี่จะเอาตนไปนินทากับหลิวจิ่งหลง แล้วถึงเวลานั้นตนจะต้องลำบาก
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ยามเดินอยู่บนถนนกับเขากลับรู้สึกอยากจะพูดความในใจออกมาเยอะๆ
คงเป็นเพราะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่เกินไป หากไม่พูดออกมาก็คงอัดอั้นในใจ เด็กหนุ่มคิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้นตนคงต้องอึดอัดตายเป็นแน่
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เจ้าจะคิดแบบนี้ก็ได้ ดีแล้ว แล้วก็ถูกต้องแล้ว แต่วันหน้าเมื่อเปลี่ยนความคิดก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าในตอนนี้คิดผิด”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น “เจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้ กล้าพูดหลักการเหตุผลใหญ่โตเช่นนี้ด้วยหรือ? ทำไม คิดว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ก็เลยร้ายกาจมากนักรึ? เลยคิดจะเจ้ากี้เจ้าการกับข้าแล้วใช่ไหม?!”
นิสัยนี้
ไม่ถือว่าดีเลยจริงๆ
เฉินผิงอันพูดอย่างไม่ถือสา “ใครบ้างที่พูดจามีเหตุผลไม่ได้? ข้าร้ายกาจกว่าเจ้า แต่กลับยังยินดีจะใช้เหตุผลกับเจ้า นี่เป็นเรื่องไม่ดีหรือ? หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว หรือไม่ก็ซ้อมเจ้าปางตาย บีบให้เจ้าต้องลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอนให้ข้ามีเหตุผล แบบนั้นถึงจะดียิ่งกว่า?”
เด็กหนุ่มปวดหัวเล็กน้อย เขาชูมือขึ้นทันที “หยุดเลยๆ อย่ามาไม้นี้เชียว อาจารย์เจ้าภูเขาของข้าถูกเจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้นกวนใจแบบนี้นานเป็นครึ่งๆ วัน ถึงได้บอกให้ข้าหอบเสื่อไสหัวออกมา แล้วก็ไม่อนุญาตให้ข้าพูดมากด้วย”
เฉินผิงอันหัวเราะ บิดข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็มีเหล้าหมักข้าวเหนียวเพิ่มมาสองกา “ดื่มเหล้าหรือไม่?”
ดวงตาเด็กหนุ่มเป็นประกายวาบ รับเหล้ากาหนึ่งมาทันที พอเปิดจุกออกก็กรอกเหล้าใส่ปากอึกใหญ่ จากนั้นจึงกล่าวอย่างรังเกียจว่า “ที่แท้เหล้าก็รสชาติแบบนี้เอง ไม่เห็นจะอร่อย”
เฉินผิงอันเพียงแค่เดินเนิบช้าพลางพูดไปโดยไม่ได้หันหน้าไปมองเขา “ในเมื่อดื่มแล้วก็เก็บเอาไว้ดื่มให้หมด ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร หากเจ้ากล้าโยนทิ้งข้างทางตั้งแต่ตอนนี้ ข้าก็จะสอนหลักการเหตุผลกับเจ้าแทนฉีจิ่งหลงก่อน อีกทั้งยังจะเป็นหลักการเหตุผลที่เจ้าไม่ค่อยยินดีจะฟังด้วย”
ใบหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยแววดูแคลน จุ๊ปากเอ่ยว่า “เห็นไหม ถึงท้ายที่สุดก็ยังใช้กำลังมาข่มคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะสู้ไม่ได้แม้แต่เจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้นเลยด้วยซ้ำ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฉวยโอกาสตอนที่ฉีจิ่งหลงยังไม่กลับมา จงดื่มเหล้าของเจ้าไปให้ดี หากไม่ผิดไปจากที่คาด ในช่วงเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่งในอนาคต ต่อให้วันใดเจ้าจะอยากดื่มเหล้าขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีทางได้ดื่มแล้ว”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าคนแซ่หลิวก็เคยบอกกับข้าว่า ห้ามปล่อยให้เจ้ายุให้ดื่มเหล้าเด็ดขาด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่เทพเซียนที่ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเสียหน่อย”
เด็กหนุ่มชูมือขึ้น มองเหล้ากานั้นที่อยู่ในมือ ลังเลอยู่พักหนึ่งก็ยังคงไม่กล้าโยนทิ้งไปตามใจ จากนั้นจึงจิบเหล้าข้าวหมักอีกหนึ่งอึก อันที่จริงรสชาติของมันก็ไม่เลว ไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกมีดเผาไฟกรีดลำไส้เลยแม้แต่น้อย
ดูท่าตนคงเกิดมาเป็นคนประเภทที่ดื่มเหล้าได้
ไม่เสียแรงที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด!
เขาพลันถามหยั่งเชิงว่า “ไม่สู้เจ้าพูดกับคนแซ่หลิวสักคำ บอกไปว่าเจ้ายินดีรับข้าเป็นลูกศิษย์ เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเขา
เด็กหนุ่มจึงเริ่มพูดโน้มน้าวคนชุดเขียวผู้นี้บอกว่าเขาต้องเห็นแก่ความดีของอีกฝ่าย วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน รอจนเขากลับไปถึงภูเขาเกอลู่ ได้จุดธูปกราบไหว้ที่ศาลบรรพจารย์ ถูกรับกลับคืนเข้าสู่สำนักอีกครั้ง วันหน้าสามารถช่วยเขาสังหารศัตรูโดยไม่คิดเงินได้…
เฉินผิงอันถาม “ใช่แล้ว เจ้าชื่อว่าอะไร?”
เด็กหนุ่มไม่ได้มีนิสัยที่ว่าใครถามอะไรก็ตอบหมด แต่เรื่องของชื่อนี้ เป็นเรื่องที่เขาภูมิใจยิ่งกว่าการที่ตัวเองเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ก่อนกำเนิดเสียอีก เด็กหนุ่มจึงหัวเราะหยันเสียงเย็นเอ่ยว่า “อาจารย์เป็นคนตั้งชื่อให้ข้า แซ่ป๋าย ชื่อโส่ว! เจ้าวางใจเถอะ ไม่ถึงร้อยปี อุตรกุรุทวีปจะต้องมีเซียนกระบี่ที่ชื่อป๋ายโส่ว (หัวขาว) อย่างแน่นอน!”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องระวังฉายาของตัวเองในอนาคตหน่อยแล้ว เป็นเซียนกระบี่หัวขาวอะไรนั่น คงไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร”
เด็กหนุ่มใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าไอ้หมอนี่พูดจามีเหตุผล!
เขาจึงพยักหน้า “ขอบใจมาก!”
เฉินผิงอันยกกาเหล้าขึ้น เด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อว่าป๋ายโส่วอึ้งตะลึงไปครู่ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้ เขาจึงยกกาเหล้าชนกับอีกฝ่ายอย่างว่องไว จากนั้นต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าของตัวเอง
ป๋ายโส่วเช็ดปาก ตอนนี้เขารู้สึกไม่เลว ตนน่าจะถือว่ามีความกล้าหาญของวีรบุรุษและมาดของเซียนกระบี่บ้างแล้วกระมัง
เฉินผิงอันหัวเราะเบาๆ “เรื่องอื่นเจ้าล้วนฟังอาจารย์ของเจ้า แต่เรื่องของการดื่มเหล้านี้ หากเซียนกระบี่ไม่เป็นคนทำ ก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว”
ป๋ายโส่วพยักหน้ารับแรงๆ “แม้ว่าช่วงแรกเริ่มเจ้าจะเป็นคนที่น่ารำคาญไปบ้าง แต่ตอนนี้ข้ามองเจ้าแล้วถูกชะตาขึ้นเยอะ เจ้าชื่อว่าอะไร?! เจ้าต้องรู้ไว้นะว่าชีวิตนี้ของข้าป๋ายโส่วจดจำชื่อของคนได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น เจ้าดูอย่างคนแซ่หลิวผู้นั้นสิ ข้าเคยเรียกชื่อเขาเต็มๆ ไหม? ไม่เคยล่ะสิ”
เฉินผิงอันตอบ “ข้าชื่อเฉินคนดี”
ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าอย่าได้ไม่รู้จักดีชั่ว!”
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “เจ้าก็ตีข้าซะสิ?”
ดวงตาของป๋ายโส่วกลอกไปมา “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใช่สิ เจ้าก็ตีข้าสิ?”
ป๋ายโส่วอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ต้องกระดกเหล้าเข้าปากแรงๆ
นี่คือเรื่องอัปยศอย่างใหญ่หลวงเรื่องที่สองนับตั้งแต่ที่เขาป๋ายโส่วลงจากภูเขามา
เฉินผิงอันหันหลังกลับไปมอง
ฉีจิ่งหลงที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางน่าจะมาถึงนานแล้ว แล้วก็เดินพวกเขาสองคนมานานมากแล้ว
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างระอาใจ “ยังยุคนให้ดื่มเหล้าไม่สาแก่ใจพอหรือไง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มือกระบี่ทุกคนน่าจะจำคนที่ยุให้ตัวเองดื่มเหล้าได้”
ฉีจิ่งหลงถาม “ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนยุให้เจ้าดื่มล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “แรกเริ่มสุดคือมือกระบี่คนหนึ่ง ภายหลังคืออาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่ง”
อย่าเห็นว่าตอนอยู่กับเฉินผิงอัน ป๋ายโส่วคำหนึ่งก็เจ้าคนแซ่หลิว สองคำก็เจ้าคนแซ่หลิว เวลานี้พอฉีจิ่งหลงมาอยู่ข้างกายจริงๆ เขากลับเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ราวกับว่าไอ้หมอนี่ยืนอยู่ข้างกายตน อีกทั้งตนยังถือกาเหล้าที่ยังดื่มไม่หมดกานั้นเอาไว้ ต่อให้จะไม่ได้ดื่มแล้ว แต่ก็ยังผิดอยู่ดี
ตอนนั้นเจียวหลงบนบกแห่งอุตรกุรุทวีปทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ปล่อยให้เจ้าขุนเขาอาจารย์ของเขาป๋ายโส่วส่งกระบี่ออกไปสองครั้ง!
ค่ายกลยันต์แห่งหนึ่งที่มองดูเหมือนถูกวาดขึ้นลวกๆ ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่มองไม่เห็นกระบี่บิน หลังจากอาจารย์ของตนปล่อยสองกระบี่ออกไปแล้วก็ไม่เหลือแม้แต่อารมณ์ที่จะออกกระบี่เป็นครั้งที่สาม!
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “ข้าคิดว่าจะกลับไปปิดด่านที่สำนักแล้ว”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “รีบๆ ฝ่าทะลุขอบเขต ข้าจะได้ไปหาเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นหากช้าเกินไป ข้าก็อาจไปจากอุตรกุรุทวีปแล้ว ข้าไม่เดินทางย้อนกลับมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะหรอกนะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าวว่า “หากเจ้ายินดีดื่มเหล้า ข้าก็สามารถลองคิดดูใหม่ได้”
ฉีจิ่งหลงโบกมือ “พอเลย”
เฉินผิงอันถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าไปเมืองหลวงต้าจ้วนมาหรือ?”
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อย กู้โย่วยังไม่ทันไปถึงเมืองหลวงต้าหลีก็ได้ส่งข่าวไปบอกทางนั้นก่อนแล้วว่า ให้จีเยว่แห่งภูเขาวานรคำรามไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจแล้ว คนทั้งสองไปตัดสินเป็นตายกันที่ริมแม่น้ำอวี้ซีได้เลย ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องการเข่นฆ่าแบบนี้สักเท่าไร ก็เลยไม่ได้อยู่ที่นั่นต่อ แต่อีกไม่นานกู้โย่วและจีเยว่ก็น่าจะใกล้ได้ประมือกันแล้ว”
เฉินผิงอันเองก็ถอนหายใจ เริ่มดื่มเหล้าอีกครั้ง
ป๋ายโส่วเอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งมีอะไรร้ายกาจกัน จีเยว่เป็นถึงเซียนกระบี่ใหญ่เชียวนะ ข้าว่านี่คงเป็นเรื่องแค่สองสามกระบี่เท่านั้น”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มให้ “เจ้าว่าสภาพข้าตอนนี้อนาถมากหรือไม่?”
ป๋ายโส่วพยักหน้ารับ “บาดแผลเหวอะหวะเต็มร่าง แน่นอนว่าต้องอนาถมาก เป็นอย่างไรล่ะ? วิธีการอันร้ายกาจของผู้ฝึกตนภูเขาเกอลู่พวกเราทำให้เจ้าจดจำได้ฝังใจเลยใช่ไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันกับฉีจิ่งหลงหันหน้ามายิ้มให้กัน
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว หรือว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!