หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “เจ้าอยากให้ข้าช่วยดูแลเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน? ทำไม มีลูกศิษย์ของเจ้าอยู่ในกลุ่มที่ต้องออกจากเมืองไปฝึกประสบการณ์ด้วย?”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อพยักหน้ารับ “อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียว ทั้งสองคนต่างก็อยู่ในสภาวะคอขวดของการฝ่าทะลุขอบเขต จำเป็นต้องเดินทางไปในครั้งนี้”
หวนอวิ๋นกล่าว “พอดีกับที่ช่วงนี้ ถ้ำสวรรค์ที่ถูกปิดผนึกกลับมาเผยกายบนโลกอีกครั้ง คาดว่านี่น่าจะเป็นโชควาสนาของลูกศิษย์ทั้งสองของเจ้าแล้ว ห้ามปล่อยผ่านไปเด็ดขาด ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา มีความเกี่ยวพันกับลูกศิษย์มากเกินไป หากอยู่ใกล้เกินกลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อถอนหายใจ
บนเส้นทางของการฝึกตน ไม่ได้มีแค่เรื่องดีอย่างการชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามจนเต็มอิ่ม ต่อให้จะเป็นโชควาสนาของการฝ่าทะลุขอบเขตที่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝันก็ยังซุกซ่อนปราณสังหาร ทำให้คนป้องกันอย่างไรก็ไม่เป็นผล อีกทั้งยังมีประสบการณ์และกฎเกณฑ์มากมายที่ยอดฝีมือผู้อาวุโสต้องแลกเปลี่ยนมาด้วยชีวิต
หวนอวิ๋นเอ่ย “ก็ได้ ข้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาที่ไม่เคยทำมานานสักหนหนึ่ง”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อลุกขึ้นคารวะ
หวนอวิ๋นไม่ได้หลบเลี่ยง
หวนจู้เด็กน้อยที่ว่าง่ายรู้ความรีบวิ่งหลบออกไปแล้ว
ต่อให้จะเป็นแค่ผู้ปกป้องมรรคาเพียงแค่ชั่วระยะทางหนึ่งบนเส้นทางการฝึกตน แต่ก็ยังเป็นผู้ปกป้องมรรคา
เสิ่นเจิ้นเจ๋อที่ปรารถนาดีต่อลูกศิษย์ทำการคารวะด้วยพิธีการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ต่อผู้ปกป้องมรรคาคนหนึ่งของลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสองคน ถือว่าสมเหตุสมผล ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
ผู้ฝึกตนคนสนิทของเสิ่นเจิ้นเจ๋อคนหนึ่งเร่งรุดมาที่เรือนรับแขก แล้วหยิบยันต์ที่ไม่ว่าจะต่อรองราคาอย่างไรก็ไม่เป็นผลออกมาจากชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “เจ้านคร คนผู้นั้นยืนกรานว่าจะเก็บยันต์สายฟ้าแผ่นสุดท้ายนั้นไว้ให้ได้ ให้ตายก็ไม่ยอมขาย”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อหันหน้าไปมองหวนอวิ๋น เดาเอาว่าในเรื่องนี้อาจมีข้อพิถีพิถันที่คนนอกอาจไม่รู้ แต่หวนอวิ๋นกลับเอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนน้อยคนนั้นมีนิสัยประหลาด เก็บยันต์แผ่นหนึ่งเอาไว้ไม่ยอมขาย น่าจะไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อหยิบยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพานแผ่นหนึ่งในนั้นออกมา ใช้สองนิ้วถูเบาๆ ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ก็แพงมากๆ ด้วย สุดท้ายเขาเก็บยันต์ทั้งหมดไว้ในชายแขนเสื้อ พยักหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม “สามารถเอาไปมอบให้ลูกศิษย์ได้พอดี และนครเหนือเมฆก็ยังเก็บไว้ได้สองแผ่น”
หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “ขอข้าแนะนำสักคำนะ อาจจะไม่มีความหมายอะไร แต่ยันต์แผ่นอื่นๆ ทางที่ดีที่สุดนครเหนือเมฆควรจะใช้ให้ประหยัดหน่อย อย่าได้เอาไปใช้สิ้นเปลืองส่งเดช ส่วนข้อที่ว่านครเหนือเมฆควรจะออกเงินเพื่อซื้อยันต์อีกปึกหนึ่งมาเพิ่มหรือไม่ ข้าว่าอย่าดีกว่า ไม่อย่างนั้นยิ่งซื้อจะยิ่งขาดทุน”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อคร้านจะใคร่ครวญความหมายที่ลึกซึ้ง
วันนี้มาเยี่ยมเยียนหวนเจินเหรินก็ถือว่าได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการแล้ว
หวนอวิ๋นยิ้มถาม “ข้าตามความเคลื่อนไหวของการเซ่นกระบี่ที่แคว้นฝูฉวีนั้นอยู่ พอจะมีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ บ้างหรือไม่?”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อส่ายหน้า “เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน แล้วพริบตาเดียวก็หายไป คิดดูแล้วจวนไช่เฉวี่ยที่อยู่ใกล้กับจุดเซ่นกระบี่มากกว่าก็น่าจะได้แค่มั่นใจว่าคนหนึ่งในนั้นคือหลิวจิ่งหลง ส่วนเซียนกระบี่อีกคนนั้น กลับไม่มีเบาะแสใดๆ แคว้นฝูฉวีก็ดี สองแคว้นเหนือใต้ที่มีอาณาเขตเชื่อมต่ออยู่กับแคว้นฝูฉวี บวกกับแคว้นสุ่ยเซียวของพวกเราก็ช่าง ต่างก็ไม่มีใครหาเบาะแสได้พบ แต่ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ระดับนี้ นครเหนือเมฆของพวกเราไม่มีปัญญาจะไปตีสนิทด้วย ไม่เหมือนจวนไช่เฉวี่ยที่มีเทพธิดาหน้าตางดงามซึ่งเคยรู้จักกับหลิวจิ่งหลง”
หวนอวิ๋นเอ่ยสัพยอก “คำพูดประโยคนี้เหมือนจะอิจฉานะ”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา “นั่นก็คือความสามารถของเจ้าจวนซุนชิง ยังจะไม่ยอมให้นครเหนือเมฆของข้าอิจฉาบ้างเลยหรือ?”
หวนอวิ๋นจึงไม่เอ่ยหยอกล้อเจ้านครเหนือเมฆผู้นี้อีก
มีทั้งศึกภายในและศึกภายนอก จะมาบ่นต่อหน้ากับสหายเก่าสักสองสามคำก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์
ศึกภายในก็คือเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆไม่อาจเทียบกับซุนชิงที่พรสวรรค์ในการฝึกตนดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีรูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมืองผู้นั้นได้ นอกจากนี้จวนไช่เฉวี่ยยังมีช่องทางการหาเงิน เส้นทางการเงินกว้างขวาง หากคิดตัดสินใจอย่างเด็ดขาดจริงๆ อาศัยเงินเทพเซียนก็สามารถผลักดันเซียนดินโอสถทองคนที่สองออกมาได้ หันกลับมามองนครเหนือเมฆ การเงินฝืดเคือง ชักหน้าไม่ถึงหลัง ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเสิ่นเจิ้นเจ๋อ ตอนนี้ยังไม่มีขอบเขตประตูมังกรสักคนเดียว ส่วนศึกภายนอกนั้น จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ไม่ว่าภูเขาลูกใดที่เปิดประตูทำการค้าล้วนต้องพบเจอทั้งนั้น
การที่หวนอวิ๋นเจินเหรินตัดสินใจทำเช่นนี้ ทำไมจะไม่ใช่เพราะมองสภาพการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของนครเหนือเมฆออก หลังผ่านไปหกสิบปีถึงได้รีบมาลงหลักปักฐานที่นี่ เพื่อช่วยเสิ่นเจิ้นเจ๋อ ‘เสริมสร้างบารมี’?
เสิ่นเจิ้นเจ๋อเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “หากเซียนกระบี่ไม่รู้ชื่อแซ่คนนั้นก็เป็นสหายของนครเหนือเมฆของข้าเหมือนอย่างหวนเจินเหริน โอสถทองที่ไร้ค่าอย่างข้าก็ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้มอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว”
หวนอวิ๋นส่ายหน้า “อย่าได้ท้อถอย ตามคำกล่าวของลัทธิเต๋าพวกเรา หากสังหารตัวเองตายอยู่ในประตูหัวใจที่เป็นบ้านตัวเอง แล้วยังไม่รู้ตัว มหามรรคาก็จะต้องขาดสะบั้นจริงๆ แล้ว”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อได้แต่ยิ้มขมขื่น
เหตุผลเขาก็เข้าใจ แต่แล้วอย่างไรเล่า
……
ทางฝั่งถนนใหญ่ของตลาด
เฉินผิงอันนั่งเอามือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อตลอดเวลา เวลานี้เขาเงยหน้ามองสีท้องฟ้า คำนวณเวลาคร่าวๆ หากคนผู้นั้นยังไม่มาก อย่างมากสุดอีกเกือบครึ่งชั่วยาม ตนจะเก็บแผงแล้ว
เรือข้ามฟากไม่รอคอยคนนี่นะ
บนผ้าสีเขียวผืนใหญ่ ยันต์ห้าสิบแผ่นเหลือเพียงยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์วางอยู่แผ่นเดียวอย่างโดดเดี่ยว
ส่วนของกระจุกกระจิกอย่างอื่นก็ขายไปได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่พอรวมกันแล้วกลับเป็นเงินแค่เจ็ดสิบกว่าเหรียญเกล็ดหิมะเท่านั้น
ของที่ได้กำไรก้อนใหญ่อย่างแท้จริง ยังคงเป็นยันต์พวกนั้น
ร้านผ้าห่อบุญของผู้ฝึกตนอิสระ สามารถทำการค้าได้อย่างรุ่งเรืองเช่นนี้ก็นับว่าหาได้ยากจริงๆ
ส่วนผู้ฝึกตนที่เห็นได้ชัดว่าออกมาจากนครเหนือเมฆผู้นั้น เมื่อเทียบกับท่านผู้เฒ่าที่มาซื้อคนแรกสุด ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือว่าวิธีในการทำการค้า ตบะก็ยังห่างชั้นอยู่ไกลนัก
แล้วก็เพราะเฉินผิงอันเป็นคนที่ค้าขายอย่างยุติธรรม ไม่อย่างนั้นแค่เขาเพิ่มราคาอีกสักหน่อย คิดจะหาเงินร้อยกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะเพิ่มมาจากอีกฝ่าย ก็ง่ายดายอย่างมาก
ในเรื่องของการค้าขายนั้น คนขายชอบเห็นคนซื้อจำเป็นต้องซื้อ แม้ว่าจะพยายามปกปิดไว้อย่างสุดความสามารถ แต่กลับอำพรางความคิดนั้นไว้ไม่อยู่
เห็นได้ชัดว่านี่เท่ากับว่าเตรียมเอาเงินไปมอบให้คนขาย
เฉินผิงอันนั่งอาบแดดของต้นฤดูหนาว หรี่ตางีบหลับ
บนถนนใหญ่มีคนบนเส้นทางเดียวกันที่เป็นผู้โดยสารเรือข้ามฟากเหมือนกันเริ่มเก็บแผงแล้ว คนส่วนใหญ่การค้าไม่ได้คึกคักนัก บนใบหน้าจึงไม่มีความปิติยินดีใดๆ
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งแสร้งทำเป็นเดินเตร่แวะเวียนเข้าร้านผ้าห่อบุญอยู่หลายร้าน จากนั้นก็เดินอิดออดมาถึงร้านของเฉินผิงอัน เขาไม่ได้นั่งลง แต่ยิ้มถามว่า “ทำไม ขนาดนี้แล้วยังขายไม่ออกอีกหรือ?”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไม เจ้าเก็บเงินบนถนนได้แล้วหรือ? ก็เลยคิดจะมาซื้อไป? จะลดให้เจ้าเจ็ดส่วนรวมยันต์สายฟ้าแผ่นนี้ด้วย เป็นอย่างไร?”
ชายฉกรรจ์อัดอั้นอย่างหนัก
เฉินผิงอันเองก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
ชายฉกรรจ์จึงทรุดตัวลงนั่ง จับๆ พลิกๆ สิ่งของพวกนั้น ทว่ากลับไม่แม้แต่จะมองยันต์แผ่นนั้น
บางครั้งชายฉกรรจ์ก็ถามราคาของสิ่งของกระจุกกระจิกเหล่านั้น เจ้าของแผงก็ตอบทุกคำถาม เพียงแต่ว่าไม่พูดอะไรมาก ดูท่าคงใกล้จะม้วนผ้าเก็บแผงแล้ว
ตอนที่เฉินผิงอันยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ชายฉกรรจ์ก็กัดฟัน ถามว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็ขายยันต์สายฟ้าแผ่นนี้ไม่ออก ถ้าอย่างนั้นก็ลดราคาให้ข้า ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองรองเท้าหุ้มแข้งของชายฉกรรจ์ การตัดเย็บแน่นหนา แต่ว่าผ่านการเสียดสีมาอย่างหนัก ฝีมือการเย็บไม่ถือว่าดีสักเท่าไร เทียบกับที่ขายอยู่ในร้านไม่ได้ แค่ดูออกว่าตั้งใจทำก็เท่านั้น เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ ออกมาอยู่นอกบ้านกลับสวมรองเท้าผุๆ ขาดๆ แบบนี้ ไม่อายบ้างหรือไร?”
ชายฉกรรจ์อึ้งตะลึง หดเท้ากลับมาตามจิตใต้สำนึก จากนั้นก็พูดอย่างคนที่อับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้ามายุ่งอะไรกับรองเท้าที่ข้าผู้อาวุโสสวมด้วย?! รองเท้าแค่สวมได้ก็พอแล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก!”
เฉินผิงอันเองก็พูดอย่างเดือดดาล “เจ้าหัดมีความเคารพให้ข้าผู้อาวุโสเสียบ้าง เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตสี่เล็กๆ คนหนึ่งก็กล้าพูดจาวางโตแบบนี้กับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตถ้ำสถิตด้วยหรือ?!”
ชายฉกรรจ์อึ้งไปอีกรอบ แล้วก็รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย ชำเลืองตามองชุดคลุมสีดำบนร่างของอีกฝ่าย หากเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้สวมชุดคลุมอาคมกันทุกคน ตนเองไม่อาจไปมีเรื่องกับอีกฝ่ายได้ ชายฉกรรจ์จึงยิ่งจนใจ เลยคิดว่าจะยอมหยุดแต่เพียงเท่านี้
ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ ไม่มีเหตุผลให้ต้องมาทนรับการเหยียดหยามจากคนอื่น
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ คนผู้นั้นจะเอ่ยว่า “ข้าจะเก็บแผงแล้ว วันนี้โชคไม่เลว เพิ่งเปิดร้านก็มีโชค ไม่คิดจะเก็บยันต์สายฟ้าแผ่นนี้ไว้แล้ว หวังว่าเริ่มต้นดีแล้วจะมีจุดจบที่ดีด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายโชคลาภครั้งถัดไป นี่เรียกว่ามีไปมีมา ดังนั้นของที่เจ้าซื้อไปก่อนหน้านี้ หากข้าจำไม่ผิดคือห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เจ้าขายคืนให้ข้า ข้าก็จะลดราคายันต์สายฟ้าที่มีค่าควรเมืองซึ่งร้อยปียากจะพานพบสักครั้งแผ่นนี้ให้เจ้า ตกลงไหม?”
ความคิดในหัวของชายฉกรรจ์ตีกันอยู่พักใหญ่
เขาก้มหน้าลงมองรองเท้าคู่เก่าบนเท้า ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินซื้อ เพราะรองเท้าหุ้มแข้งในโลกมนุษย์ที่ต่อให้จะแพงแค่ไหน แต่จะมีค่าแค่สักกี่ตำลึงกันเชียว?
เพียงแต่ว่าเมื่อต้องออกเดินทางไกล ก็มักจะมีสิ่งที่ต้องให้ระลึกถึงเสมอ
โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระอย่างเขาที่ขอบเขตต่ำเตี้ย สายน้ำขุนเขามีแต่อันตราย แต่ละปีที่ผ่านพ้นไปก็ไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง หากในใจไม่มีสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนให้หวนคิดถึงอยู่สักหน่อย ชีวิตก็คงยิ่งยากลำบากมากกว่านี้
ชายฉกรรจ์โบกมือ ลุกขึ้นกล่าวว่า “ช่างเถิด”
เฉินผิงอันเอามือสองข้างสอดกลับไปในชายแขนเสื้อ ผงกปลายคางชี้ไปยังยันต์สายฟ้าแผ่นนั้น “เอาเถอะ หาเงินเป็นเรื่องเล็ก แต่โชคลาภเป็นเรื่องใหญ่ ลดให้เจ้าห้าส่วน ขายเป็นเงินแปดเหรียญเกล็ดหิมะ”
ชายฉกรรจ์ถาม “เจ็ดเหรียญได้ไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!