กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 540

สรุปบท บทที่ 540.5 พบเจออีกครั้งโดยบังเอิญ จากลากันอย่างเปลี่ยวเหงา: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 540.5 พบเจออีกครั้งโดยบังเอิญ จากลากันอย่างเปลี่ยวเหงา จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 540.5 พบเจออีกครั้งโดยบังเอิญ จากลากันอย่างเปลี่ยวเหงา คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

พอผู้เฒ่าจากไป

คนอื่นก็พากันแวะเวียนเข้ามา

แผงขายของนี้ของเฉินผิงอันจึงคึกคักขึ้นเยอะมาก

คนที่แวะเข้ามามีไม่ขาดสาย แต่คนที่ควักเงินซื้อจริงๆ กลับยังไม่มี

ผู้เฒ่าที่ไม่รู้ชื่อแซ่คนนั้นยังคงพาหลานชายเดินข้าไปดูตามร้านต่างๆ แล้วเงาร่างของพวกเขาก็หายลับไป

เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งอยู่ที่เดิม มือที่อยู่ในชายแขนเสื้อกำลังลูบคลำเงินร้อนน้อยที่ด้านหน้าและด้านหลังสลักคำว่า ‘มักอิจฉาบุรุษรูปงามดุจหยกสลัก’ ‘บทกลอนที่ข้าเขียนดุจภาพวาด’

เงินร้อนน้อยบนโลกก็น่าสนใจเช่นนี้ อักษรที่แกะสลักไว้แตกต่างกันออกไป ภายในหนึ่งทวีป เงินร้อนน้อยที่ถูกสลักเอาไว้จะมีตัวอักษรหลากหลายรูปแบบ

แต่โดยทั่วไปแล้วจะสลักด้านละสี่อักษร เงินร้อนน้อยที่สลักตัวอักษรโบราณมากถึงเจ็ดคำเช่นเหรียญนี้มีให้พบเห็นน้อยมาก

เรื่องที่ควรค่าให้เฉินผิงอันดีใจก็คือ นอกจากจะได้เงินร้อนน้อยสามเหรียญมาอย่างไม่คาดฝันแล้ว การที่ได้เงินร้อนน้อยรูปแบบใหม่เอี่ยมเหรียญหนึ่งมาเก็บไว้ก็ชวนให้อารมณ์ดีเช่นกัน

แล้วนับประสาอะไรกับที่เงินร้อนน้อยสามเหรียญ หักออกมาเป็นเงินเกล็ดหิมะก็เท่ากับว่าราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก บวกกับตัวอักษรที่ล้ำค่าหายากก็ถือว่าเป็นกำไรเล็กๆ อีกก้อนหนึ่ง

เดิมทีราคาประมาณการณ์ที่เฉินผิงอันมีต่อยันต์ทุกแผ่นที่เอามาวางขายก็คือราคาที่เผื่อไว้ให้สำหรับถูกต่อราคาครึ่งต่อครึ่งแล้ว

ร้านค้าบนท่าเรือตระกูลเซียนทั่วไป ขอแค่เป็นยันต์ที่เขียนด้วยกระดาษเหลือง บวกกับการวาดยันต์ที่มีแก่นของยันต์ ขายได้ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็ถือว่าราคาแพงหูฉี่แล้ว

อันที่จริงเฉินผิงอันเตรียมใจสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างเช่นว่าราคาที่ตั้งไว้สูงเกินไป อาจต้องเสียเงินเกล็ดหิมะไปเปล่าๆ หนึ่งเหรียญเอาไว้แล้ว

คิดไม่ถึงว่าเป็นร้านผ้าห่อบุญในนครเหนือเมฆครั้งนี้ตนจะมีวาสนากับเงินร้อนน้อยสามเหรียญ มันจะวิ่งเข้ามาในกระเป๋าตนให้ได้ จะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่จริงๆ

ทุกเรื่องมักจะยากตอนเริ่มต้นเสมอ

พอมีผู้เฒ่าที่ใช้จ่ายเงินอย่างมือเติบใจกว้าง แต่สายตากลับดีเยี่ยมเป็นตัวเปิดประเดิมที่ดี

ต่อมาก็ขายยันต์สายฟ้าออกไปได้อีกสองแผ่น

ยันต์น้ำและดินสองชนิด รวมไปถึงยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางไม่มีใครถามถึง ลูกค้าส่วนใหญ่ลำพังแค่ได้ยินราคาก็เกือบจะหลุดปากด่าคนแล้ว

หนึ่งในนั้นมีชายฉกรรจ์หน้าตาเหี้ยมเกรียมคนหนึ่งใช้เงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญซื้อวัตถุที่เก็บสะสมไว้ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นไป เป็นวัตถุที่มีกลิ่นอายของเครื่องประทินโฉมเข้มข้น มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าชายฉกรรจ์จะนำไปมอบให้กับสตรีในดวงใจ หรือไม่ก็อาจเอาไปเป็นของขวัญกราบภูเขาให้กับสตรีผู้ฝึกตนบางคน พอได้ยินเจ้าของแผงหนุ่มบอกว่าราคาห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ชายฉกรรจ์ก็ด่ามาหนึ่งคำว่ามารดามันเถอะ แต่สุดท้ายก็ยังควักเงินจ่ายแต่โดยดี

จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์แล้วสอบถามราคา

เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ ‘มารดามันเถอะ’ สองครั้ง ต้องเพิ่มอีกสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”

ชายฉกรรจ์สบถด่า “เจ้าคิดจะฆ่าหมูหรือไง?!”

ต่อให้เป็นระดับความหนาของใบหน้าเฉินผิงอัน ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะต่อคำอย่างไร

พวกนักท่องเที่ยวที่ชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างพากันหัวเราะครืน

ชายฉกรรจ์เองก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของตนไม่เหมาะสม ด่าคนอื่น แต่ยิ่งเป็นการด่าตัวเองเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คุ้มกัน ชายฉกรรจ์จึงยกมือขึ้นเกาหัว อยากได้ก็อยากได้ แต่เงินในกระเป๋าก็ขาดแคลน เขาจำเป็นต้องซื้อยันต์สายฟ้าที่ใช้สำหรับโจมตีแผ่นหนึ่งจริงๆ เพราะจะนำไปใช้จัดการกับปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่ยึดครองภูเขา หากทำสำเร็จ กวาดเอาทรัพย์สินของอีกฝ่ายมารอบหนึ่งก็มีแต่กำไรไม่มีขาดทุน แต่หากไม่สำเร็จ ก็เรียกได้ว่าขาดทุนยับย่อย เงินเกล็ดหิมะสิบสองเหรียญทำให้เขาจนตรอกได้จริงๆ ถึงท้ายที่สุดชายฉกรรจ์ก็ยังตัดใจกรีดเนื้อตัวเองไม่ลง จึงจากไปอย่างขุ่นเคือง

เฉินผิงอันไม่ได้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเดินออกไปได้ระยะทางหนึ่งก็อดไม่ไหวหันกลับมามอง เห็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นส่งยิ้มมาให้ตน ความคิดของชายฉกรรจ์ก็พลันว่างเปล่า ในใจยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาจึงก้าวยาวๆ จากไป มองไม่เห็นจะได้ไม่หงุดหงิด

เฉินผิงอันทำการค้าของตัวเองต่อไป

ก็ถือว่าประหยัดแรงใจไปได้มาก ถึงอย่างไรราคาของยันต์และสิ่งของทุกชิ้นก็ถูกกำหนดมาตายตัวอยู่แล้ว

หลังจากได้เงินร้อนน้อยมาสามเหรียญ ร้านผ้าห่อบุญนี้ของเขาก็ยิ่งเหมือนการนั่งตกปลาได้อย่างมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ถึงอย่างไรนี่ก็เพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม อยู่ห่างจากเวลาที่เรือข้ามฟากจะออกเดินทางอีกไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ

เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะทำการค้าพลางบำรุงปณิธานหมัดด้วยความอบอุ่นไปด้วย บวกกับไปฝึกตนตรงริมทะเลสาบหัวใจ ทำสามอย่างพร้อมกันโดยไม่ให้เสียเวลาเปล่า

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เขาถึงได้เอาแต่ดื่มด่ำกับเวลาว่างในตอนนี้ ล้มเลิกความคิดที่จะฝึกวิชาหมัดไปชั่วคราว

ทว่าก็ยังแบ่งสมาธิไปทำเรื่องสองอย่างพร้อมกัน นั่นคือมองประเมินพวกนักท่องเที่ยวบนถนนอย่างละเอียด พลางปล่อยจิตใจความคิดให้ล่องลอยไปไกล คิดถึงคนบางคนและเรื่องบางอย่าง

เนื่องจากตอนนี้อยู่ในนครเหนือเมฆ เฉินผิงอันจึงคิดถึงตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ เล่มนั้น

หากจะพูดกันจริงๆ

ร้านผ้าห่อบุญแรกที่เฉินผิงอันได้พบเจอในชีวิต อันที่จริงสามารถนับรวมเจ้าคนที่สวมงอบพกดาบไม้ไผ่ผู้นั้นได้ และก็เป็นตอนที่อยู่บนภูเขาฉีตุนซึ่งตอนนั้นเว่ยป้อยังเป็นเทพแห่งผืนดิน

เพียงแต่ว่าร้านผ้าห่อบุญนี้ไม่เก็บเงินก็เท่านั้น

อาเหลียงนั่งยองลงบนพื้น ด้านหน้าวางกล่องไม้ทรงยาวที่มีชื่อว่า ‘เฉียวหวง’ เอาไว้ แล้วร้องเรียกเสนอขาย บอกให้ทุกคนไปเลือกสมบัติที่อยู่ในนั้น

ตอนนั้นจูเหอจูลู่สองพ่อลูกก็อยู่ด้วย

หลินโส่วอีวิ่งได้เร็วที่สุด เป็นคนแรกที่เลือกตำราลับวิชาอสนีที่เขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็น

หลี่ไหวที่ฉลาดเฉลียว พอเห็นของที่ถูกตาตัวเองแล้วก็พยายามยุแยงให้หลินโส่วอีกับหลี่เป่าผิงไปเลือก ‘ยันต์มงคล’ ดาบแคบเล่มนั้นอย่างสุดชีวิต ตอนที่หลี่เป่าผิงหยิบดาบขึ้นมา หลี่ไหวที่ใช้ความเร็วราวสายฟ้าแลบจนคนไม่ทันป้องหูก็คว้าเอาหุ่นไม้ลงสีสันที่ยาวแค่ฝ่ามือชิ้นนั้นมา จูเหอช่วยจูลู่เลือกตำราหนึ่งเล่มและโอสถหนึ่งเม็ด ตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่รู้ว่ายาเม็ดเล็กๆ ที่มีชื่อว่า ‘ดีวีรบุรุษ’ (ดีคืออวัยวะอย่างหนึ่งที่ในภาษาจีนเปรียบเปรยถึงความกล้าหาญ หากบอกว่ามีดีที่อวบอ้วน ก็แปลว่ามีความกล้ามาก) เม็ดนั้น สำหรับผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์คนหนึ่งแล้วมีความหมายยิ่งใหญ่เพียงใด ต่อให้เฉินผิงอันจะเดินทางมายาวไกลขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นวัตถุที่คล้ายคลึงกันนั้นอีก ถึงขั้นที่ว่าทั้งลู่ไถและฉีจิ่งหลงต่างก็ไม่เคยพูดถึงว่า ดีวีรบุรุษของผู้ฝึกยุทธบนโลกสามารถนำมาหลอมเป็นยาเม็ดหนึ่งที่จับต้องได้จริงได้ด้วย

เฉินผิงอันเป็นคนที่ได้เลือกคนสุดท้าย ถึงอย่างไรในกล่องไม้ก็เหลือแค่เมล็ดพันธ์ดอกบัวสีทองอ่อนจางเมล็ดเดียวแล้ว ไม่มีอะไรให้เลือกอีก

เฉินผิงอันที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มนานแล้ว ตอนนี้เขาก็หวังว่าในอนาคตจะมีวันหนึ่งที่ตนสามารถทำอย่างอาเหลียง นำของดีที่อยู่ในมือของตนเองมามอบให้กับพวกเด็กๆ คนรุ่นหลังที่สามารถถือได้ไหว รับไว้ได้อยู่ เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย กลับกันยังมีแต่จะยิ่งเต็มไปด้วยความรอคอย

หวนอวิ๋นเอ่ยอีกว่า “น่าเสียดายที่วัสดุที่ใช้วาดยันต์แย่เกินไป ชาดที่ใช้เขียนยันต์ก็ธรรมดา ไม่อย่างนั้นยันต์หนึ่งแผ่นก็คงไม่ได้มีราคาแค่สิบกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อกล่าวอย่างสงสัย “หวนเจินเหริน ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแผ่นหนึ่งราคาสิบกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ก็ไม่ถือว่าเป็นของดีราคาถูกกระมัง”

หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “ข้าหวนอวิ๋นมองยันต์ว่าดีหรือเลว ยังจะมีช่วงเวลาที่มองพลาดด้วยหรือ? เร็วเข้า เงินสิบกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะนั้นไม่มีทางทำให้นครเหนือเมฆขาดทุนแน่นอน”

หวนอวิ๋นบอกถึงหน้าตาและตำแหน่งแผงของร้านผ้าห่อบุญหนุ่มผู้นั้น

เสิ่นเจิ้นเจ๋อพยักหน้ารับ “ข้าไปแปบเดียว เดี๋ยวกลับมา”

หวนอวิ๋นพลันเอ่ยเตือนว่า “ร้านผ้าห่อบุญผู้นั้นฉลาดในการทำการค้าอย่างมาก ข้าว่าเจ้าอย่าไปซื้อเองดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นเกิดใจละโมบจนทำร้ายผู้ฝึกตนน้อยคนนั้น แม้จะบอกว่าตอนที่คนผู้นี้วางแผงขายได้จงใจเอาใบชากำแพงดำน้อยที่เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษของจวนไช่เฉวี่ยเพื่อนบ้านพวกเราออกมา จึงพอจะถือเป็นยันต์คุ้มกันกายได้ชิ้นหนึ่ง แต่ทรัพย์สินเงินทองทำให้จิตใจคนหวั่นไหว หากมีใครคิดละโมบในสมบัติของเขาขึ้นมาจริงๆ ความสัมพันธ์น้อยนิดแค่นี้ไม่อาจต้านทานหายนะไว้ได้”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เขาจึงทะยานลมจากไปไกลแล้วบอกให้คนสนิทในเมืองไปซื้อยันต์มาให้ ส่วนตัวเองก็ย้อนกลับมาที่เรือนอีกครั้ง

การเดินทางมาเยี่ยมเยียนครั้งนี้ เป็นเพราะมีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่า

ในอาณาเขตแคว้นเพื่อนบ้านทางฝั่งตะวันตกของแคว้นสุ่ยเซียว กลางภูเขาลึกแห่งหนึ่งที่ไร้เงาผู้คน ปรากฏพื้นที่ลับแห่งขุนเขาสายน้ำแห่งหนึ่ง เป็นนายพรานผู้หนึ่งไปพบเข้าโดยบังเอิญ เพียงแต่ว่าแค่เจอทางเข้าถ้ำเท่านั้น ไม่ได้กล้าเข้าไปสำรวจภายในเพียงลำพัง หลังออกมาจากภูเขาก็คิดว่าตัวเองได้เจอเรื่องมหัศจรรย์ จึงเอามาโอ้อวดให้คนในบ้านเกิดฟัง จากนั้นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ผ่านทางมาก็ได้ยินเข้าโดยบังเอิญ จึงเดินทางไปยังที่ว่าการของท้องถิ่น พลิกเปิดอักขรานุกรมประจำท้องถิ่นและแผนที่ภูมิศาสตร์ดูอย่างละเอียด แล้วจึงไปที่ถ้ำในภูเขาลึกมารอบหนึ่ง เขาไม่สามารถทำลายตราผนึกตระกูลเซียนได้ จึงไปร่วมมือกับผู้ฝึกตนสองคน คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางผู้นั้นทำลายค่ายกลทั้งวันทั้งคืนจนสำเร็จ จะไปแตะโดนกลไกของถ้ำสถิตเข้า จึงมีคนตายไปสองคน เหลือรอดชีวิตแค่คนเดียว

เรื่องนี้จึงแพร่ออกมา

หวนอวิ๋นฟังคำบอกเล่าจากเสิ่นเจิ้นเจ๋อแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ตราผนึกภูเขาสายน้ำที่ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางขอบเขตสี่คนหนึ่งสามารถทำลายได้อย่างรวดเร็ว หมายความว่าระดับขั้นของถ้ำสถิตแห่งนี้ไม่มีทางสูงได้ ทำไม เซียนดินโอสถทองเช่นเจ้าก็อยากจะช่วงชิงโชควาสนาน้อยนิดแค่นี้มาจากผู้ฝึกตนอิสระเหล่านั้นด้วยหรือ?”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อส่ายหน้า “ข้าแค่อยากจะให้ลูกศิษย์อายุน้อยสี่ห้าคนของนครเหนือเมฆไปฝึกประสบการณ์ดูสักครั้ง จากนั้นก็จะส่งผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งไปให้การปกป้องอย่างลับๆ ขอแค่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เขาก็จะไม่ปรากฎตัว”

หวนอวิ๋นยิ้มบางๆ “หากโชควาสนานั่นไม่ใช่เล็กๆ นครเหนือเมฆจะไม่แย่งชิงมาจริงๆ หรือ?”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อยังคงส่ายหน้า “นครเหนือเมฆของพวกเราเคยเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวงมาก่อน หวนเจินเหรินอย่าได้เหน็บแนมข้าอีกเลย”

ญาติที่อยู่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง

บนภูเขาล่างภูเขาก็ล้วนเป็นเช่นนี้

เพียงแต่ว่าเพื่อนบ้านชั่วร้ายบนภูเขาก็มีอยู่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นนครเหนือเมฆกับจวนไช่เฉวี่ยที่อยู่ในแคว้นสุ่ยเซียวเหมือนกัน ก็เป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่เจ้านครกับเจ้าจวนของรุ่นก่อนที่ต่อสู้กันไปรอบหนึ่ง แม้ว่าทั้งสองบ้านจะไม่ถือว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กันอีกแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ให้พูดถึงอีก

พรรคสองแห่งที่เดิมทีเป็นพันธมิตรกันมาหลายร้อยปี ปีนั้นก็เพราะโชควาสนาที่ได้มาอย่างไม่คาดฝันที่ทำให้ความสัมพันธ์ร้าวฉาน แรกเริ่มอดีตเจ้านครก็เพื่อปกป้องเด็กรุ่นหลังในบ้านของตัวเอง ลูกศิษย์รับผิดชอบตามหาสมบัติ ทว่าพื้นที่ลับถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกซึ่งไม่มีหลักฐานให้ตามหาแห่งนั้นกลับซุกซ่อนตำราลัทธิเต๋าที่ชี้ตรงไปยังโอสถทองเล่มหนึ่งเอาไว้ บิดาของเสิ่นเจิ้นเจ๋อกับอดีตเจ้าจวนคนก่อนของจวนไช่เฉวี่ยต่างก็อดใจไม่ไหว คิดอยากครอบครองสมบัติที่เพียงแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาชิ้นนั้น จึงลงมือต่อสู้กันอย่างดุเดือด คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะถูกผู้ฝึกตนอิสระที่อำพรางตัวตนได้อย่างดีเยี่ยมคนหนึ่งฉวยโอกาสตอนที่ทั้งสองฝ่ายมัวแต่คุมเชิงกัน โจมตีให้โอสถทองทั้งสองท่านบาดเจ็บสาหัส พอได้ตำราลัทธิเต๋าไปก็เผ่นแน่บไปทันที

เซียนดินโอสถทองสองท่านของนครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยต่างก็ได้รับเคราะห์หลังเจอโชค รากฐานของมหามรรคาต่างก็บาดเจ็บเสียหาย ไม่สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้ แล้วก็ทยอยกันลาจากโลกนี้ไปด้วยความเสียดาย นับแต่นั้นมาทั้งสองตระกูลต่างก็เกลียดแค้นกันและกัน ไม่มีคู่รักเทพเซียนของสองตระกูลเกิดขึ้นอีก อีกทั้งเรื่องที่น่าสนใจที่สุดก็คือ จนกระทั่งก่อนตาย โอสถทองทั้งสองท่านกลับไม่มีความเคียดแค้นต่อผู้ฝึกตนอิสระที่สืบหาตัวไม่พบผู้นั้นสักเท่าไร ทั้งคู่ต่างก็มองว่าตำราลัทธิเต๋าที่มีมูลค่าควรเมืองเล่มนั้นคือโชควาสนาที่คนผู้นี้สมควรได้รับไป

ซึ่งก่อนหน้านั้น อันที่จริงทั้งสองฝ่ายก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ผ่านทางการแต่งงานซึ่งนับว่าหาได้ยากบนภูเขา

ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้แคว้นสุ่ยเซียวหลายรุ่นต่างก็ทุกข์ใจไม่น้อย มีหลายครั้งที่คิดอยากจะสานสะพานความสัมพันธ์ ช่วยให้ตระกูลเซียนใหญ่ทั้งสองกลับมาสนิทสนมกันดังเดิม เพียงแต่ว่าทั้งนครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยต่างก็ไม่รับน้ำใจ

—-

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!