แม้ว่าเข็มทิศจะเล็ก แต่กลับมีความซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ข้างในข้างนอกรวมกันมีมากถึงสามสิบหกชั้น หากคนธรรมดาถือเข็มทิศนี้ไว้ในมือ ต่อให้จะเบิกตากว้างแค่ไหน คาดว่าก็คงนับไม่ถูกว่ามันมีทั้งหมดกี่ชั้น
นักพรตร่างผอมสูงถือเข็มทิศบนภูเขาที่ขายหม้อทุบเหล็กซื้อมาชิ้นนั้นไว้ในมือ แล้วเริ่มเดินอ้อมค่ายกลปากว้า ‘เดินเล่น’ อยู่ใต้ฝ่าเท้าขององค์เทพแห่งสวรรค์ทั้งสี่ท่าน
ตี๋หยวนเฟิงเอ่ยเตือนเสียงเบา “นักพรตซุน ทางที่ดีที่สุดควรจะเร็วสักหน่อย หากท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นก็ตามเข้ามาในนี้ด้วย พวกเราย่อมต้องเป็นสุนัขที่ถูกปิดประตูตี ตามคำบอกของผู้ฝึกตนอิสระที่โชคดีคนนั้น บนพื้นไม่มีปัญหาอะไร ขอแค่ไม่ไปแตะโดนองค์เทพทั้งสี่ จะทำอย่างไรก็ได้ไม่มีปัญหา ข้าไม่กล้าพูดจาเหลวไหลหรอกนะ ไม่อย่างนั้นก็คงเอาชีวิตรอดออกไปจากแคว้นเป่ยถิงไม่ได้”
นักพรตซุนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาจากหนังศีรษะ พูดเสียงหนักว่า “จะประมาทไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน”
หวงซือมองไปยังปลายกระบี่ที่ถืออยู่ในมือของเทพถือกระบี่ซึ่งเป็นภาพวาดฝาผนัง หลังจากนั้นก็ย้ายเส้นสายตามองไปยังผีผาคันนั้น
ส่วนตี๋หยวนเจ๋อนั้นทรุดตัวนั่งยองลงบนพื้น สังเกตดูเจียวหลงสองตัวที่เป็นหินแกะสลักซึ่งสูญเสียไข่มุกวิเศษไปแล้วอย่างละเอียด
หวงซือพลันย้ายเส้นสายตาไปมองยังมุมหนึ่งที่อยู่เบื้องล่างของทิศทางที่ปลายกระบี่องค์เทพชี้ไป เขาเดินไปยังปลายเท้าขององค์เทพองค์นั้น เพ่งสายตามองไปก็เห็นเป็นตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กที่ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก็ยังพบเห็นได้ยากมาก ทว่ามันถูกลบเลือนไปมากแล้ว ตัวอักษรจึงขาดๆ หายๆ หลงเหลือเพียงเนื้อหาบางส่วนที่ไม่มีความสำคัญ ดูจากร่องรอยของมัน เดิมทีควรเป็นบทความยาวสองสามร้อยตัวอักษร ทว่าไม่เพียงแต่ถูกตัดหัวท้ายออกไป เนื้อความท่อนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดยังถูกลบไปหมดสิ้น มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนมาเยือน แล้วจงใจทิ้งตัวอักษรไร้ประโยชน์พวกนี้เอาไว้เพื่อทำให้คนที่เข้ามาในภูเขาภายหลังโมโหเล่น
บนผนังหินข้างเท้าขององค์เทพ ตอนนี้เหลือเพียงประโยคที่ว่า ‘…นิสัยชอบท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนเซียน ถือไม้เท้าเดินป่าสวมรองเท้าสาน ท่องไปทั่วทุกขุนเขา คือภูเขาลูกนี้ที่เงียบสงบที่สุด เพียงแต่ว่าตราผนึกของที่นี่ค่อนข้างมาก ไม่ตรวจสอบไม่ได้ หากภายภาคหน้าคนรุ่นเดียวกันที่มีโชควาสนามาเยือนที่นี่ ก็ควร…’
รวมไปถึงประโยคสุดท้ายที่ยังคงขาดช่วง ‘ด้านนอกฟ้าครามสดใส…บ่อมังกรโบราณท่ามกลางสายฝน…’ เห็นได้ชัดว่าเป็นบทกลอนผายลมสุนัขของปัญญาชนบทหนึ่ง
หวงซือรู้สึกเคียดแค้นอยู่ในใจ
ต้องเป็นคนที่มาถึงก่อนแน่ๆ ที่จงใจลบเลือนเบาะแสที่ล้ำค่าที่สุดนี้ไป
แต่หวงซือก็ชำเลืองตามองตี๋หยวนเฟิงเหมือนจงใจแต่ก็คล้ายไม่ได้เจตนา อีกฝ่ายแต่งกายสมกับคำว่าถือไม้เท้าเดินป่าสวมรองเท้าสานพอดี
หรือว่าไอ้หมอนี่ถึงจะเป็นคนที่จะได้โชควาสนาของที่แห่งนี้ไปอย่างแท้จริง?
เฉินผิงอันมานั่งยองอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมม ตี๋หยวนเฟิงก็เดินตามมาด้วย
ตี๋หยวนเฟิงที่พอเห็นประโยคนั้นแล้วก็สับสนมึนงงไปเหมือนกัน
เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เฉินผิงอันเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากที่สุด
หากจะต้องเปิดตราผนึกชั้นที่สองของถ้ำสถิตกันจริงๆ นั่นต้องเป็นช่วงเวลาที่เส้นเอ็นหัวใจขึงตึงอีกครั้ง แล้วจะหาเรื่องลำบากใส่ตัวไปทำไม
แต่เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ถอนหายใจ เตือนตัวเองเงียบๆ ว่าไม่ควรมีความคิดเช่นนี้
หวงซือพลันเอ่ยว่า “ใช้ยันต์ดำดินแล้วจะไปแตะต้องกลไกจริงๆ หรือ?”
ตี๋หยวนเฟิงตอบ “แน่ใจแล้วว่าไม่ผิด! ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มก่อนหน้านี้ก็เคยทดลองทำ เพราะฉะนั้นถึงได้มีคนตายไปอีกคน เว้นเสียจากยันต์เปิดภูเขาในตำนานที่สามารถทำให้รากฐานภูเขาไม่สั่นคลอนที่พอจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่คาดว่าคงต้องเผาผลาญยันต์ไปหลายแผ่นถึงจะได้ ยันต์ประเภทนี้ล้ำค่าขนาดนั้น ต่อให้ซื้อมาได้จริงๆ คาดว่าก็คงทำให้พวกเราได้ไม่คุ้มเสียอยู่ดี”
เฉินผิงอันไม่รู้จักยันต์เปิดภูเขาอะไรนั่นหรอก แต่เขาลองเปลี่ยนความคิดไปมองมุมใหม่ ถึงได้เริ่มตั้งใจมองตัวอักษรเหล่านั้นอย่างจริงจัง แล้วก็ขมวดคิ้ว แบฝ่ามือ ลูบไปตามตัวอักษรและร่องรอยแถบใหญ่นั้นเบาๆ
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วคนที่เขียนตัวอักษรพวกนี้และคนที่ลบพวกมันทิ้งไปก็คือคนคนเดียวกัน อีกทั้งเบาะแสในการเปิดภูเขาก็ซ่อนอยู่ในตัวอักษรเหล่านี้ตลอดมา?”
หวงซือพ่นเสียงออกจมูกอย่างดูแคลนโดยไม่คิดจะปิดบังแม้แต่น้อย
หันหน้ากลับไปมอง ผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนนั้นยังคงเดินวนสะเปะสะปะเหมือนแมลงวันที่ไร้หัวอยู่เหมือนเดิม
หวงซือคิดว่าหากไม่ได้จริงๆ ตนก็คงต้องใช้ไม้แข็งแล้ว
ส่วนข้อที่ว่าอีกสามคนจะตายภายใต้กลไกนี้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ชะตาชีวิตของพวกเขาแล้ว
กลับเป็นตี๋หยวนเฟิงที่พอได้ยินคำพูดของเฉินผิงอันแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงเริ่มจ้องตัวอักษรที่เหลืออยู่นิ่งๆ แล้วเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจัง
ตี๋หยวนเฟิงลุกขึ้นยืน เอนตัวไปด้านหลัง มองเทวรูปองค์หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับช้าๆ มององค์เทพสามองค์ที่มีหน้าตาดุดันจนครบหนึ่งรอบ
ต่อมาตี๋หยวนเฟิงก็เดินมาตรงกลางห้องโถงของถ้ำ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา งอเข่าลงเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนฝ่ามือลงด้านล่าง
สุดท้ายตี๋หยวนเฟิงมานั่งยองอยู่ตรงมุมหนึ่ง ฝ่ามือข้างที่แบออกนั้นใช้หลังมือแนบติดกับกรงเล็บของเจียวหลงตัวหนึ่ง
ตี๋หยวนเฟิงพูดกับนักพรตร่างสูงผอมว่า “ลองคำนวณค่ายยันต์ที่แน่ชัดของที่แห่งนี้ดูสิ นักพรตซุน เรื่องแค่นี้เจ้าน่าจะทำได้กระมัง!”
มือข้างหนึ่งของนักพรตซุนถือเข็มทิศ มืออีกข้างหนึ่งปาดเหงื่อบนใบหน้า จากนั้นก็หดมือกลับมาในชายแขนเสื้อ ทำมุทราอย่างว่องไว สองตาจ้องนิ่งไปยังตำแหน่งของมือข้างนั้น ปากก็พึมพำว่า “ตำแหน่งประตูตาย ไม่สมเหตุสมผลเลย”
ตี๋หยวนเฟิงค้างอยู่ในท่าหลังมือแนบพื้นอยู่ตลอดเวลา เขาพูดเตือนด้วยสีหน้ามืดทะมึน “นักพรตเต๋าอย่างพวกเจ้ากลัวตายด้วยหรือ?! นักพรตซุน เหตุใดแค่นี้ก็ยังมองไม่ออก?”
นักพรตซุนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยอย่างปิติยินดีว่า “พื้นที่มหามงคล!”
ตี๋หยวนเฟิงถึงได้บิดหมุนฝ่ามือแล้วกำเป็นหมัดเบาๆ เอามันเคาะพื้น ยังคงไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ
ตี๋หยวนเฟิงขมวดคิ้ว
หวงซือเดินเข้ามาหา แล้วหมอบลงกับพื้น เอาหูแนบพื้นดิน จากนั้นก็เงยหน้าเอ่ยว่า “มีเสียงสะท้อน เหมือนเสียงหยดน้ำ แต่กลับฟังดูไม่ปกติ สิ่งนี้น่าจะเป็นตัวแตะต้องกลไกที่แท้จริง”
ตี๋หยวนเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วจึงปล่อยหมัดต่อยลงไปหนักๆ
เพียงแค่ชั่วพริบตา
ภาพปรากฎการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น
ค่ายกลปากว้าบนพื้นเริ่มบิดหมุน ไม่มีความเป็นระเบียบใดๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นรวดเร็วจนคนไม่กล้ากะพริบตาให้คลาดสายตา เฉินผิงอันและนักพรตร่างผอมสูงได้แต่กระโดดไปมาไม่หยุด ทุกครั้งที่พลิ้วกายลงพื้น ตำแหน่งก็ยังคลาดเคลื่อนอยู่มาก สภาพกระเซอะกระเซิงกันไม่น้อย แต่ก็ดีกว่ายืนได้ไม่มั่นคงแล้วต้องนอนหมอบอยู่กับพื้นหมุนติ้วไปตามภาพปากว้า พื้นที่กระเด้งกระดอนขึ้นลงไม่หยุดนิ่งนั้น ไม่ได้ดีไปกว่าคมมีดสักเท่าไรเลย
ทว่าเท้าสองข้างของตี๋หยวนเฟิงและหวงซือกลับปักหลักยืนนิ่ง ไม่ได้ขยับเคลื่อนไปมากเท่าไรนัก บางครั้งเกิดอุปสรรคขัดขวางใต้ฝ่าเท้า พวกเขาถึงจะดีดปลายเท้าเบาๆ จากนั้นก็พลิ้วกายลงจุดเดิม เมื่อเทียบกับอีกสองคนก็ถือว่าสง่างามมากแล้ว
เจียวหลงสีเขียวสองตัวที่เดิมเป็นวัตถุไร้ชีวิตก็ยิ่งสูญเสียตราผนึกพันธนาการ คิดจะเลื้อยลงแม่น้ำ ลงมหาสมุทร
ส่วนประตูใหญ่ตรงโพรงถ้ำก็ได้มีหินสีเขียวก้อนยักษ์ร่วงตูมลงมา ต่อให้เป็นหวงซือก็ยังขัดขวางไม่ทัน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเผ่นหนีไปเลย
ตี๋หยวนเฟิงกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายเส้นสายตาจ้องนิ่งไปยังหลุมเว้าที่เดิมทีเป็นจุดวางไข่มุกซึ่งตอนนี้เป็นจุดเดียวที่ไม่ขยับเขยื้อน
ตี๋หยวนเฟิงตะโกนเสียงดังไปทางหวงซือ “เอาเหล้ามากาหนึ่ง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!