คนทั้งสี่หยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง รอจนตี๋หยวนเฟิงที่เอามือกดด้ามดาบหันมาสบตากับหวงซือ พวกเขาถึงได้วิ่งตะบึงไปยังภูเขาเขียวพร้อมกัน
ก่อนหน้านี้จุดที่พวกเขาร่วงลงมา ด้านล่างมีก้อนหินสีเขียวทรงกลมขนาดใหญ่คล้ายภาพฝ้าบนเพดานสิ่งปลูกสร้างรองรับ เดิมทีมันควรจะอยู่บนฝ้าเพดานในวัดวาอาราม คิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่ลับตระกูลเซียนแห่งนี้กลับถูกคนเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า
ตรงใจกลางของภาพฝ้าเพดานทรงกลมนี้คือดอกบัวดอกหนึ่ง วงรอบนอกคือเจียวหลงสองตัวที่หัวหางเชื่อมติดกัน ขยับไปข้างนอกอีกก็คือเฟยเทียน (ชื่อพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เป็นพระโพธิสัตว์ที่บินอยู่บนท้องนภาซึ่งปรากฎอยู่ในภาพแกะสลักที่แผ่นหินประเทศจีน) สิบหกองค์ มีวงล้อมหลายชั้น แต่ละชั้นแกะสลักถี่ยิบแต่ประณีตงดงาม
ตี๋หยวนเฟิงใช้ไม้เท้าไม้ไผ่เคาะอยู่หลายครั้ง เป็นเสียงเหมือนโลหะ แข็งแกร่งมิอาจทำลาย
ทว่าต่อให้จะยกเอาไปได้ ตี๋หยวนเฟิงก็ไม่กล้าทำตัวเหลวไหล เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องออกไปจากซากปรักจวนเซียนโดยผ่านที่แห่งนี้
เมื่อครู่นี้การที่เขากับหวงซือจงใจหยุดรออยู่ก่อน แน่นอนว่าเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน
หากมีคนแอบแฝงตัวตามพวกเขาเข้ามาที่นี่ ก็จะต้องโดนหนึ่งหมัดและหนึ่งดาบของพวกเขา
เฉินผิงอันที่ตามหลังมารั้งท้ายสุดแอบคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาหนึ่งแผ่น ยังคงไม่มีลางของปราณชั่วร้ายแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับฟ้าดินด้านนอก แผ่นยันต์ยังเผาไหม้ช้ากว่าเสียอีก
สาเหตุน่าจะเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น
คนอีกสามคนทำเพียงแค่เหลือบตามองเขาแล้วก็ไม่คิดจะสนใจอีก
ระหว่างขุนเขาเขียวน้ำใส มีสะพานโค้งหยกขาวแห่งหนึ่งทอดตัวอยู่
ประหนึ่งสายรุ้งสีขาวที่นอนทาบทับสายน้ำ
บนเสาที่เป็นราวรั้วสะพานแต่ละเสาสลักสัตว์ประหลาดหลากหลายชนิด ไม่มีซ้ำแบบกัน ฝีมือประดุจเทพรังสรรค์ ราวกับว่ามีสิ่งชีวิตนอนหลับใหลอยู่ภายใน
บริเวณใกล้เคียงกับผิวน้ำใต้สะพานมีหินก้อนใหญ่แกะสลักเป็นรูปสัตว์ประหลาดที่เป็นหนึ่งในบุตรของมังกรในตำนาน บนศีรษะมีเขาสองข้าง ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเกล็ด รูปสลักนี้ถูกสร้างให้อยู่ในลักษณะนอนหมอบยื่นหัวมองเข้าไปในน้ำ
เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ความคิด
รูปสลักสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้สะพานแห่งนี้ไม่ได้เป็นสัตว์ที่ล้ำค่าหายากอะไร เพียงแต่ชื่อเรียกของเผ่าพันธ์มังกรตัวนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย
ในใต้หล้าไพศาล โดยทั่วไปแล้วจะเรียกมันว่าปาเซี่ยหรือป้าเซี่ย แต่ตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนนั้นเฉินผิงอันได้เดินผ่านสะพานข้ามสายน้ำน้อยใหญ่มาจนทั่วแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็เคยเห็นสัตว์ชนิดนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะของมันแตกต่างไปจากในใต้หล้าไพศาลเล็กน้อย อีกทั้งหากอิงตามตำราทั้งหลายที่ราชครูจ้งชิวไปเอามาจากกรมโยธาธิการ ตำรา ‘รูปแบบมาตรฐานการก่อสร้าง’ ที่เฉินผิงอันเปิดอ่านบ่อยที่สุดเล่มนั้นได้บันทึกถึงสัตว์ชนิดนี้ไว้ว่าชื่อกงฟู่ หรือสัตว์เลี่ยงน้ำ สามารถกลืนกินน้ำในแม่น้ำลำธาร เป็นสัตว์ที่ผู้ครองยุทธภพของยุคบรรพกาลอันห่างไกลเลี้ยงเอาไว้ เล่าลือกันว่าเทพอัคคีไม่ชอบมัน จึงใช้วิธีการต้มน้ำทะเลสาบน้ำมหาสมุทรให้เดือดพล่านมาสังหารมันทั้งเป็น
แต่ในใต้หล้าไพศาลกลับไม่มีบันทึกที่แปลกประหลาดเช่นนี้ มีเพียงบันทึกที่พร่าเลือนเกี่ยวกับหนึ่งในบุตรทั้งเก้าของมังกร มีความแตกต่างกันแค่เล็กน้อย ไม่มีคำกล่าวเกี่ยวกับ ‘ผู้ครองยุทธภพ’ อะไรนั่นแน่นอน
เฉินผิงอันเก็บความคิดในใจลงไป ไม่ไปคิดเรื่องพวกนี้ให้มากความอีก แล้วจึงหยิบยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพานออกมาอีกหนึ่งแผ่น หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็ไม่ได้ยื่นมันส่งให้พวกหวงซือ แต่เดินขึ้นไปบนสะพานด้วยตัวเอง
ไร้คลื่นไร้มรสุม ไม่มีเรื่องน่าตกใจ ไม่มีอันตราย
แล้วเฉินผิงอันก็เดินผ่านสะพานหินหยกขาวมาทั้งอย่างนี้ ครั้นจึงหันไปกวักมือเรียกพวกคนที่อยู่ด้านหลัง บอกให้พวกเขารู้ว่าไม่มีกลไกอะไร สามารถเดินข้ามสะพานมาได้อย่างสบายใจ
คนทั้งสามต่างก็มีความคิดแตกต่างกันไป นักพรตซุนรู้สึกว่าสหายเฉินผู้นี้คงจะคิดว่าทุกคนใกล้จะได้เดินเข้าไปในภูเขาสมบัติกันแล้ว ก็เลยอยากจะแสดงฝีมือสักหน่อย แต่ก็เปลืองกำลังเปล่า เพราะหากถึงเวลาที่ควรต้องตาย สหายผู้นี้ก็ยังต้องตายอยู่ดี ตอนนั้นที่อยู่บนก้อนหินใหญ่ริมน้ำ เขาไม่ควรจะตอบตกลงร่วมเดินทางมาด้วย ยิ่งไม่ควรเข้ามาในซากปรักจวนตระกูลเซียนที่ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติแห่งนี้ เพียงแต่ว่าพอคิดเช่นนี้ ยังไม่ทันเป็นจิ้งจอกที่เศร้าใจเพราะกระต่ายตาย นักพรตร่างผอมสูงก็ต้องตกตะลึงขวัญผวาขึ้นมาเสียก่อน ไม่ใช่ว่าตนก็จะต้องเจอกับเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้เหมือนกันหรอกนะ?
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอายุน้อยลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ การค้นหาสมบัติก็คือการฝึกตน ขอแค่ไม่ได้ไปเจอกับสำนักศัตรูคู่แค้น ส่วนใหญ่ก็มักจะสามัคคีปรองดองกัน ต่อให้เป็นเพียงแค่การพบเจอกันอย่างผิวเผิน แต่เมื่อบอกตัวตนออกไปอย่างชัดเจนก็ถือว่าเป็นโชควาสนาและการสานสัมพันธ์ควันธูปอย่างหนึ่ง ท่าทางยามฮุบกลืนผลประโยชน์ก็ไม่นับว่าน่าเกลียดเกินไป
ทว่าผู้ฝึกตนอิสระที่จับกลุ่มกัน ส่วนใหญ่มักจะจับกลุ่มกันสามสี่คน น้อยไปก็ทำไม่สำเร็จ มากไปก็อาจทำให้เกิดปัญหา หากมีลมพัดใบไม้ไหวสักหน่อย ยังไม่ทันถึงช่วงเวลาที่ได้แบ่งทรัพย์สินอย่างเท่าเทียมก็เกิดขัดแย้งกันเป็นการภายในเสียก่อน คิดจะช่วงชิงโชควาสนากับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ดังนั้นระหว่างที่แย่งชิงกัน ส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นฝ่ายแรกที่ยินดีทุ่มชีวิตมากกว่า หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ผู้ฝึกตนอิสระยังถึงขั้นมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่มีร่วมกัน ยินดีลงทุนอย่างไม่เสียดาย แต่หากแบ่งทรัพย์สินกันแล้ว คิดจะเขมือบกลืนกันเอง จะไปยากอะไร? ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา หลังจากที่สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว กลับไม่มีความคิดที่จะฮุบกลืนผลประโยชน์เอาไว้คนเดียว แล้วจะยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ป่าเถื่อนไปไย?
ตี๋หยวนเฟิงสังเกตเห็นว่าสายตาของนักพรตซุนล่อกแล่กไม่หยุดนิ่ง จึงยิ้มกล่าวว่า “ทำไม กังวลว่าจะถูกข้ากับหวงซือหลอกทำร้ายหรือ? พื้นที่มงคลหายากที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเราสามพี่น้อง สุดท้ายจะขนย้ายไปได้สักกี่มากน้อย? ในเมื่อขนอย่างไรก็ขนไม่หมด ยังต้องให้เจ้าฆ่าข้า ข้าฆ่าเจ้าอีกหรือ?”
นักพรตซุนได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แล้วก็อดไม่ไหวลูบหนวดยิ้มตาหยี
คนทั้งสามเดินข้ามสะพานโค้งหยกขาวมา นักพรตซุนฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจทรุดตัวลงนั่งยอง เอามือลูบไปบนเส้นทางสะพานหยกขาว ไม่ใช่หยกมันแพะงดงามทั่วไปในโลกมนุษย์ มารดามันเถอะ นี่ไม่ใช่เงินเทพเซียนอีกก้อนที่นอนนิ่งไม่ขยับหรอกหรือ?
นักพรตซุนใช้นิ้วเคาะเบาๆ เสียงใสกังวาน ช่างไพเราะเสนาะหูเสียจริง
ก็เหมือนกับเสียงเคาะเงินร้อนน้อยสองเหรียญเบาๆ ที่ได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิตนั่น ช่างชวนให้คนหลงใหล ฟังร้อยรอบก็ไม่เบื่อ
หลังจากที่ขยับเข้าใกล้ประตูภูเขา ตี๋หยวนเฟิงก็แหงนหน้ามองไปยังขั้นบันไดที่ทอดยาวสู่ยอดเขา ยิ้มกล่าวว่า “เดินอ้อมสักหน่อย ไปดูทัศนียภาพโดยรอบ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้ว พวกเราค่อยขึ้นเขากันไป”
อีกสามคนที่เหลือต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง
ตรงหน้าประตูภูเขามีซุ้มหินขนาดใหญ่ยักษ์ลักษณะโบราณเรียบง่ายที่ฝังเลื่อมตัวอักษรใหญ่ยักษ์สี่คำว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ เอาไว้
กลอนคู่สองด้านก็ยังคงแกะสลักลงบนก้อนหิน
นิ่งสงัดไม่ขยับเชื่อมโยงกันจึงมีปาฏิหาริย์
ผู้ที่ได้ส่วนดีจากผืนดินจึงศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
เฉินผิงอันจ้องมองกลอนคู่นี้นิ่งนาน
อันที่จริงมันเป็นกลอนที่ไม่มีสัมผัสคล้องจองเลยแม้แต่น้อย
แต่ใช้น้ำเสียงใหญ่โต ความหมายก็ใหญ่โตมากด้วย
หวงซือคือคนที่ไม่คิดจะมองกรอบป้ายและกลอนคู่นี้มากกว่าใคร เขาย้ายเส้นสายตาไปยังจุดที่ห่างไปไกลและจุดสูงอยู่นานแล้ว
ตี๋หยวนเฟิงมองไปทางด้านหลังซุ้มป้ายแล้วทยอยไล่มองจากสองข้างฝั่งขึ้นไปด้านบน มีป้ายศิลาแกะสลักอยู่สามสิบหกอัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดตัวอักษรที่แกะสลักถึงได้ถูกปาดกลึงจนเรียบไปหมด
ราวกับว่าสิ่งที่สามารถบอกประวัติความเป็นมาของซากปรักแห่งนี้ให้แก่คนรุ่นหลังได้ มีเพียงสี่ตัวอักษรว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ ที่เขียนก็เหมือนไม่เขียนนั่นเท่านั้น ส่วนกลอนคู่ทั้งสองบทก็ยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่
นักพรตซุนแหงนหน้ามองกรอบป้ายโบราณนั้นแล้วจุ๊ปากพูดว่า “เขียนอะไรส่งเดชเช่นนี้ สมควรจะถูกทำลายให้หมด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!