กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 542

เฉินผิงอันเดินตามมาด้านหลังคนทั้งสามอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเดินขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย ก็เห็นว่าบนพื้นลานกว้างหยกขาวเบื้องหน้าอารามเต๋ามีโครงกระดูกที่ค่อนข้างเล็กอยู่สองโครง หลังจากตี๋หยวนเฟิงสะบัดชายแขนเสื้อไปแล้ว อาภรณ์ก็สลายหายไปไม่เหลืออยู่อีก ทว่าโครงกระดูกแต่ละโครงกลับทิ้งของสิ่งหนึ่งเอาไว้

เพียงแต่ว่าอาวุธหนักบนภูเขาทั้งสองชิ้นนี้มีรอยแตกร้าวเยอะมาก ระดับขั้นถูกทำลายให้เสียหายไปไม่น้อย

ตี๋หยวนเฟิงทรุดตัวลงนั่งยองหยิบพวกมันขึ้นมา แล้วเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

หวงซือเอ่ย “ดูท่าสมบัติอาคมอาวุธวิเศษของที่แห่งนี้ ระดับขั้นคงไม่ค่อยดีสักเท่าไร”

ตี๋หยวนเฟิงพยักหน้ารับ ยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เน้นปริมาณแล้วกัน”

นักพรตซุนหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี

หวงซือเองก็คลี่ยิ้มบางๆ อย่างที่หาได้ยาก

เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ร่วมวงด้วย เขายังคงเคยชินกับการคิดหาทางหนีทีไล่ก่อน แล้วค่อยมาพูดเรื่องค้นหาทรัพย์สมบัติ

ยืนอยู่บนยอดเขา ทอดสายตามองไปไกล จุดที่สายตามองเห็น นอกจากภูเขาเขียวน้ำใสแล้ว ทัศนียภาพในระยะร้อยลี้ล้วนสามารถมองเห็นได้หมด ต่างกันก็แค่ว่าอยู่ไกลหรือใกล้เท่านั้น จุดที่สายตามองเห็นอย่างพร่าเลือนก็อาจจะอยู่ไปไกลสักหน่อย ราวกับว่ามีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอย่างถึงที่สุดอยู่เส้นหนึ่ง พอผ่านเส้นนั้นไป ทุกอย่างก็พลันแปรเปลี่ยน เปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือน ให้ความรู้สึกกดดันแก่เฉินผิงอันราวกับว่ามาถึงจุดสิ้นสุดบนเส้นทาง ฟ้าดินว่างเปล่า

นี่เป็นเรื่องดี แล้วก็เป็นเรื่องร้าย

เรื่องดีก็คือถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้คือสถานที่ไร้รากฐานในตำนาน คล้ายคลึงกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลยุคบรรพกาลที่ปริแตก ไม่ได้สร้างขึ้นบนขุนเขาสายน้ำที่แท้จริง

นี่หมายความว่าซากปรักตระกูลเซียนแห่งนี้จะต้องมีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างถึงที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะมีวัตถุดิบวิเศษของฟ้าดินที่มีมูลค่าควรเมืองอยู่จริง หรืออาจจะมีวิชาลับตระกูลเซียนที่ชี้ตรงไปยังขอบเขตเซียนดินอยู่สักเล่มสองเล่ม

แต่เรื่องร้ายก็คือ เข้ามาง่ายแต่ออกไปยาก เว้นเสียจากว่ามีคนสามารถทำลายตราผนึกฟ้าดินขนาดเล็กออกไปได้

ด้านหลังเฉินผิงอันสะพายเจี้ยนเซียนที่อยู่ในฝักเล่มหนึ่ง แน่นอนว่าเขาต้องทำได้ ต่อให้เป็นม่านฟ้าที่แข็งแกร่งมั่นคงแค่ไหน เกรงว่าก็คงเทียบกับหุบเขาผีร้ายแห่งชายหาดโครงกระดูกไม่ได้

แต่พอถึงเวลานั้นเขาก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มอิทธิพลทั้งหลาย นี่ขัดแย้งต่อเจตจำนงแรกของเขาที่ว่า ‘แอบมาหาเงินเก็บตกของดีก้อนเล็กๆ แล้วจากไปเงียบๆ ไม่ต้องมีใครมาสนใจข้า’ อย่างยิ่ง

เฉินผิงอันไม่อยากกลายเป็นเจียงซ่างเจินคนที่สอง กลายเป็นหนูวิ่งข้ามถนนที่ใครเห็นก็ร้องอยากจะทุบตีในสายตาของผู้ฝึกตนอุตรกุรุทวีป

การที่พวกหวงซือสามคนยังอยู่สงบได้เช่นนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะยังสังเกตไม่เห็นถึงภาพเหตุการณ์ประหลาดของขุนเขาสายน้ำจุดที่อยู่ห่างไปไกล นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอย่างหวงซือนั้น ไม่ใช่กระดาษเปียก แต่ก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งสักเท่าไร

การดำรงอยู่ของเส้นเส้นนั้น อันที่จริงไม่ได้มีความหมายต่อเฉินผิงอันในเวลานี้สักเท่าไร

แต่หากผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น เขากลับเป็นคนเดียวที่สามารถมองเห็น อีกทั้งยังสามารถเดินออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้

คนที่เหลืออีกสามคนยังคงถูกปิดหูปิดตา บางทีตอนนี้อาจจะกำลังลอบสื่อสารกันว่าควรจะเล่นงานสหายนักพรตเช่นเขาอย่างไรก็เป็นได้

อารามเต๋าที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใหญ่ กรอบป้ายก็ไม่เหลืออยู่แล้ว ก่อนที่คนทั้งสี่จะเดินเข้าไปในอารามต่างก็อดไม่ไหวหันไปมองกระเบื้องแก้วสีเขียวมรกตบนหลังคา บนภูเขามีสิ่งปลูกสร้างอยู่มากมาย แต่กลับมีเพียงที่แห่งนี้ที่ถึงจะมีกระเบื้องนี้

กาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นไป แผ่นกระเบื้องกลับยังคงส่องประกายรัศมีเรื่อเรือง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กระเบื้องแก้วทั่วไปที่หาได้ในพระราชวังหรือจวนโหวของโลกมนุษย์ เป็นสมบัติบนภูเขา ของใช้ในบ้านของเทพเซียนที่แท้จริง

สรุปก็คือแผ่นกระเบื้องทุกแผ่นล้วนเป็นเงินเทพเซียน

ภาพนี้ทำให้นักพรตซุนที่มองดูอยู่สั่นสะท้านไปทั้งตัว คาดว่าไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีมูลค่าถึงเจ็ดแปดเหรียญเงินร้อนน้อยกระมัง? หากเป็นกระเบื้องแก้วชั้นดีที่ใช้วิชาลับตระกูลเซียนเผาขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเปลี่ยนจากเงินร้อนน้อยไปเป็นเงินฝนธัญพืชก็เป็นได้!

หวงซือและตี๋หยวนเฟิงต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ ไม่เคยไปมาหาสู่กับภูเขาของสำนักใหญ่ ดังนั้นมูลค่าของกระเบื้องแก้วพวกนี้ พวกเขาจึงประมาณการณ์ไม่ได้พอๆ กับนักพรตซุน แต่สำนักตระกูลเซียนที่เคยไปมาหาสู่กันก็ล้วนไม่เคยใช้กระเบื้องแก้วพวกนี้มามุงหลังคา ทว่าโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขากลับพบเห็นได้ไม่น้อย

สุดท้ายเฉินผิงอันมองไปยังจุดที่คนทั้งสี่จากมา ตรงนั้นยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว

มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง หากเขามีโอกาสก็จะต้องถามคนกลุ่มถัดไปให้จงได้

พวกเขาจะเข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ประมาณช่วงเวลาไหน

อันที่จริงเฉินผิงอันกำลังคำนวณอยู่ในใจตลอดเวลา

หากความเร็วในการไหลหายไปของแม่น้ำกาลเวลาในที่แห่งนี้มีความต่างจากใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้สองอย่างแล้ว

……

กลุ่มของจานชิงท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงมาถึงหน้าประตูถ้ำ

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่เป็นผู้ถวายงานของตระกูลคนนั้นกำลังตรวจสอบรอยเท้าบนพื้น

เกาหลิงแม่ทัพบู๊แห่งแคว้นฝูฉวีพูดเสียงทุ้มหนัก “ท่านโหวน้อย บริเวณใกล้เคียงกับภูเขามีคนไม่น้อยแอบซ่อนตัวอยู่”

จานชิงยิ้มกล่าว “ก็ให้พวกเขามากินฝุ่นตามก้นพวกเราแล้วกัน ในเมื่อกล้าพอจะเข้ามาในถ้ำ ก็ต้องกล้าพอจะไปหาครรภ์เกิดใหม่”

เขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ อันใดต่อผู้ฝึกตนอิสระและเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล

ต่อให้ตัวเองจะเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงคนหนึ่ง แต่บางทีคงเป็นเพราะส่วนลึกในกระดูกของเขายังคงเป็นลูกหลานชนชั้นสูงร่ำรวย เห็นพวกอัครเสนาบดีและจวนอ๋องมาจนชิ้น แล้วก็เคยชินกับการวางแผนเล่นงานผู้อื่น การฉวยโอกาสและคล้อยไปตามโอกาส หาใช่อาศัยหมัดหนึ่งคู่และสมบัติหลายชิ้นฆ่าแกงผู้อื่นไปมา ดังนั้นสำหรับพวกคนบนเส้นทางเดียวกันที่สูงส่งเหนือใครเหล่านั้น จานชิงจึงเบื่อหน่ายชิงชังอย่างถึงที่สุด แต่หากถึงช่วงเวลาที่ต้องอาศัยวิชาคาถาสังหารคนจริงๆ แน่นอนว่าจานชิงย่อมไม่โอ้เอ้อืดอาด

ป๋ายปี้เอ่ยสัพยอก “ไม่รีบร้อนสักนิดเลยหรือ ไม่กลัวหรือว่าคนสองกลุ่มนั้นจะชิงโอกาสได้เปรียบไปก่อน?”

จานชิงยิ้มกล่าว “หากพวกเขาสามารถหล่อหลอมสมบัติตระกูล หรือกินวิชาลับอะไรได้ในชั่วพริบตา ก็ถือว่าข้าโชคร้าย ต้องยอมรับชะตากรรมไม่ใช่หรือ? ไม่อย่างนั้น คนกับสิ่งของจะหนีหายไปไหนได้”

เกาหลิงยิ่งรู้สึกว่าต้องมองคนผู้นี้ในมุมใหม่มากขึ้นทุกที

ก่อนหน้านี้สำหรับท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงอะไรนี่ เขาแค่มองอีกฝ่ายเป็นเศษสวะที่ได้มาเกิดในครรภ์ที่ดีเท่านั้น

ตอนนี้ลองมานึกดูแล้ว ในอนาคตใครกล้าดูแคลนคนผู้นี้ แล้วเกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากันขึ้นมา รับรองว่าอีกฝ่ายต้องเพลี่ยงพล้ำให้เขาอย่างแน่นอน

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองคนเปิดทาง ถือเขียนไขชูขึ้นสูงเดินเข้าไปในถ้ำที่มืดมิด

ป๋ายปี้อารมณ์ผ่อนคลาย ขอแค่ไม่เจอเหตุไม่คาดฝันที่ใหญ่เกินไป การมาเยี่ยมเยือนภูเขาค้นหาสมบัติในครั้งนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้นางลงมือด้วยตัวเองเลย

ต่อให้ซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ยและเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆสองคนมาเยือนด้วยตัวเอง ก็ยังถือได้ว่าเป็นแค่เรื่องไม่คาดฝันน้อยๆ เท่านั้น

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดสองคนในกลุ่มของตนก็มากพอจะรับมือแล้ว

คนทั้งกลุ่มมาถึงโพรงถ้ำที่มีภาพวาดขององค์เทพสวรรค์ลงสีสันทั้งสี่องค์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!