อาวุธวิเศษที่ใช้ตรวจสอบเส้นทางชิ้นนั้นบินว่อนไปสี่ทิศ ไม่เจออุปสรรคใดๆ มาขัดขวาง
ผู้ถวายงานเฒ่าจึงทะยานลมขึ้นสู่กลางอากาศสูงได้อย่างวางใจ
และในขณะที่ผู้ถวายงานเฒ่าออกห่างจากพื้นดินไปได้หลายร้อยจั้งนั้นเอง อาวุธวิเศษชิ้นนั้นพลันระเบิดแตก ผู้ถวายงานเฒ่ารู้ว่าท่าไม่ดี แล้วจู่ๆ ก็พลันถูกคนกระชากให้ร่วงลงมาบนพื้นดิน
ผู้ถวายงานเฒ่าใจสั่นสะท้าน จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก ที่แท้ก็เป็นหวนอวิ๋นเจินเหรินที่กดไหล่ของเขาเอาไว้ พาเขาทะยานลงไปบนพื้นด้วยกัน
จากนั้นผู้ถวายงานเฒ่าก็สัมผัสได้ว่าเหนือศีรษะมีลมปราณเล็กบางเสี้ยวหนึ่งพุ่งวาบผ่านไป เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เหลือร่องรอย
หวนอวิ๋นเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “แนะนำเจ้าว่าอย่าขึ้นไปข้างบนอีก ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่เป็นเซียนดินโอสถทองก็ยังไม่อาจต้านรับปราณกระบี่ที่ออกตรวจตราไปทั่วสี่ทิศกลุ่มนั้นได้”
ก่อนหน้านี้เจินเหรินผู้เฒ่าโยนยันต์สำรวจเส้นทางหลายแผ่นออกไปรอบทิศ แล้วก็สังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่มียันต์ลอยขึ้นไปยังจุดสูงจะต้องแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงในเสี้ยววินาที
ผู้ถวายงานเฒ่าแหงนหน้ามองไป ลมปราณเสี้ยวนั้นไม่เหลือร่องรอยให้ตามหาแล้ว
ขอบเขตประตูมังกรของนครเหนือเมฆผู้นี้กล่าวอย่างตกตะลึง “หรือว่าซากปรักแห่งนี้ยังมีเซียนกระบี่เฝ้าพิทักษ์อยู่?!”
หวนอวิ๋นที่ไปวนอ้อมภูเขาเขียวมารอบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ล้วนตายกันไปหมดแล้ว ไม่มีคนรอดชีวิต แล้วก็ไม่มีพวกภูตผีด้วย เหลือแต่ปราณกระบี่นี้ที่ยังคงดำรงอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้”
หวนอวิ๋นมีสีหน้าเครียดขรึม “จะบอกข่าวที่กึ่งดีกึ่งร้ายแก่เจ้าข่าวหนึ่ง หลังจากที่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเก่าแก่แห่งนี้ต้องแหลกสลายเพราะเหตุไม่คาดฝัน ก็เหลืออาณาบริเวณที่ลี้ลับมหัศจรรย์นี้เอาไว้ ความเล็กใหญ่ของอาณาเขตมีรัศมีคร่าวๆ ประมาณร้อยลี้ อายุของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้บอกได้ยาก อาจจะพันปี หรืออาจจะยาวนานยิ่งกว่านั้น แต่ข้าผู้อาวุโสพอจะอนุมานได้แล้วว่าถ้ำสถิตบนภูเขาแห่งนี้สูญสลายไปประมาณช่วงไหน นั่นคือประมาณเจ็ดแปดร้อยปีก่อน ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ ในประวัติศาสตร์แคว้นเป่ยถิง เดิมทีก็ไม่มีสำนักตระกูลเซียนเช่นนี้อยู่เลย”
หวนอวิ๋นหยุดเรือนกายที่กำลังทะยานลงสู่พื้น ลอยตัวอยู่ห่างพื้นมาร้อยกว่าจั้งพร้อมกับผู้ถวายงานเฒ่า แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว หลังจากที่สำนักของที่แห่งนี้ล่มสลายไป ฟ้าดินขนาดเล็กนี่ก็ถูกยอดฝีมือนอกโลกไม่ทราบนามพกติดกายไปด้วย จนกระทั่งย้ายมาถึงแคว้นเป่ยถิงแห่งนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม เซียนท่านนี้ถึงได้ไม่สามารถครอบครองพื้นที่ลับแห่งนี้แล้วฝึกตนต่อไปอย่างราบรื่น จากนั้นก็อาศัยที่แห่งนี้มาเปิดภูเขาตั้งพรรคอยู่ภายนอก หากไม่เป็นเพราะเจอหายนะที่ไม่คาดฝัน สมบัติขั้นสูงสุดบางชิ้นที่บรรจุฟ้าดินขนาดเล็กนี้ไว้หล่นลงไปกลางภูเขาลึกของแคว้นเป่ยถิงโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ถ้าอย่างนั้นหลังจากคนผู้นี้มาถึงแคว้นเป่ยถิงแล้วก็ไม่ได้ออกเดินทางไกลต่อ แต่แอบปิดด่านอยู่ที่นี่ จากนั้นก็ลาจากโลกนี้ไปอย่างเงียบเชียบ”
หวนอวิ๋นถอนหายใจ “เป็นตายไม่แน่นอน มหามรรคาเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง”
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้และหลักการนี้
ก็มักจะทำให้คนรู้สึกหมดอาลัยตายอยากอย่างห้ามไม่ได้
เพียงแต่ว่าหลังจากที่หวนอวิ๋นทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังแล้วก็สะดุ้งคืนสติในทันใด เขานึกถึงประโยคที่ตนใช้ปลอบเสิ่นเจิ้นเจ๋อตอนอยู่นครเหนือเมฆ แล้วอารมณ์ก็พลันกลับคืนมาเป็นปกติ ในใจไม่เหลือพยับหมอกใดๆ ทิ้งไว้อีก
นักพรตเต๋าฝึกตน หากทำร้ายตัวเองก็จะทำร้ายคนอื่นได้ยิ่งกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงได้มีด่านเคาะใจที่ยากจะข้ามผ่านที่สุดในบรรดาสามลัทธิร้อยสำนัก
อันที่จริงหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่ามีคุณสมบัติดีเยี่ยม เพียงแต่ว่าเซียนดินบนภูเขาทุกคนที่อยู่บนเส้นทางเลียบลำน้ำใหญ่ของอุตรกุรุทวีปต่างก็รู้สึกว่าเส้นทางสายยันต์ของเขาหวนอวิ๋นมีอนาคตยาวไกล สอดคล้องกับมหามรรคาของตัวเขาเอง ถึงได้มีสภาพการณ์อย่างในทุกวันนี้ แต่อันที่จริงหวนอวิ๋นรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นี่เรียกว่าคนใบ้กินหวงเหลียน แม้ขมขื่นก็พูดไม่ออก เคยมียอดฝีมือกล่าวไว้ว่า หากเขาหวนอวิ๋นเข้าไปอยู่ในตระกูลเซียนที่มีอักษรจงเสียแต่เนิ่นๆ จากนั้นก็อย่าไปเรียนไอ้พวกวิชายันต์ผีที่ดีแต่เปลือกพวกนั้นอีก ป่านนี้ก็คงกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนไปนานแล้ว
ดังนั้นสำหรับคำว่าผลได้ผลเสีย หวนอวิ๋นเข้าใจได้ลึกซึ้งอย่างถึงที่สุด
ยามที่เบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ ก็ได้แต่เอาการฝึกตนที่เป็นดั่งการขัดเกลาจิตแห่งเต๋ามาคลายความกลัดกลุ้มเท่านั้น
……
ในอารามเต๋าที่อยู่บนยอดเขาตั้งบูชารูปปั้นของนักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้หนึ่งที่อยู่ในท่านั่ง ทอดสายตามองไปเบื้องหนา สองมือวางทับซ้อนไว้ด้านหน้าตัวเอง
บนโต๊ะมีกระถางธูปทองเหลืองใบเล็กใบหนึ่ง ด้านในกระถางยังมีขี้เถ้าเหลืออยู่ครึ่งกระถาง
ไม่ว่าใครก็รู้ว่ากระถางธูปใบเล็กที่วาววับใบนั้นต้องเป็นสมบัติหนักของลัทธิเต๋าชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน แต่กลับไม่มีใครไปแตะต้อง
ตี๋หยวนเฟิงถามเบาๆ ว่า “นักพรตซุน เจ้าเคยเห็นคนผู้นี้จากในตำราภาพเหมือนของเทวรูปลัทธิเต๋าพวกเจ้าบ้างหรือไม่?”
นักพรตซุนส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นมาก่อน”
มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่กล้าพูดออกมา นักพรตที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้หน้าตาธรรมดา ความรู้สึกที่เทวรูปนี้มอบให้กับผู้คนก็มีเพียงความสามัญไร้ความพิเศษ ถึงขั้นไม่มีความรู้สึกชวนให้คนอกสั่นขวัญผวาได้เหมือนภาพฝาผนังขององค์เทพแห่งสวรรค์ทั้งสี่ท่านในถ้ำด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันจ้องนิ่งไปยังเทวรูปนั้น ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาสามร้อยกว่าปีที่ได้ท่องไปท่ามกลางกระแสสายน้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวพร้อมกับตงไห่นักพรตเฒ่าอารามกวานเต๋าผู้นั้น บางครั้งก็จะได้เห็นเจ้าอารามผู้เฒ่านั่งอยู่ในท่านี้ เพียงแต่ว่าพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก บางทีในสายตาของมนุษย์ธรรมดา ท่านั่งนี้อาจจะไม่ได้แปลกประหลาดอะไร แต่เฉินผิงอันกลับมีความรู้สึกที่พร่าเลือนอย่างหนึ่ง เขามักจะรู้สึกว่าปณิธานที่แท้จริงในการฝึกตนของเจ้าอารามผู้เฒ่ากับบนร่างของเทวรูปนักพรตเต๋าวัยกลางคนที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกันทางจิตวิญญาณ
เฉินผิงอันนึกถึงสี่คำที่เคยเปิดเจอในตำราของลัทธิเต๋า
หลุดจากขอบเขต นั่งลืมตน
กาลเวลาอันยาวไกล
ผู้ฝึกตนไม่รู้ร้อนหนาวล่างภูเขา คนตายไปแล้ว เหลือเพียงเทวรูปที่ว่างเปล่า ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่เจ้าจะมีมรรคกถาสูงส่งมหัศจรรย์มากแค่ไหน แล้วจะอย่างไร? ก็ยิ่งไม่รู้ถึงสี่ฤดูกาลที่หมุนเวียนผันเปลี่ยนอยู่ดีไม่ใช่หรือ นักพรตฝึกตน ฝึกไปจนถึงท้ายที่สุด จะอยู่สูงได้ถึงแค่ไหนกันแน่?
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ หยิบธูปสายน้ำภูเขาสามดอกออกมาจากในวัตถุชื่อ หลังจากจุดธูปแล้วก็ปักมันลงในกระถางธูปใบเล็ก
นักพรตซุนรู้สึกว่าสหายนักพรตผู้นี้เพ้อเจ้อสิ้นดี หรือยังหวังให้นักพรตในเทวรูปยังมีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่ พอเจ้าจุดธูปสามดอกนี้แล้วก็จะประทานโชควาสนามาให้?
หวงซือและตี๋หยวนเฟิงต่างก็ไม่ได้ขัดขวางการจุดธูปของคนผู้นี้
ในความเป็นจริงแล้วพวกเขายิ่งอยากอาศัยการจุดธูปที่เป็นการกระทำอันบุ่มบ่ามของผู้เฒ่าชุดดำมาวิเคราะห์กระถางธูปใบเล็กด้วยว่า นี่จะเป็นการไปเตะต้องกลไกจนมีโชควาสนาอีกอย่างหนึ่งปรากฏ หรือว่าจะเป็นการเตะต้องกลไกที่ชักนำหายนะปลิดชีพมาสู่กันแน่
เพราะพวกเขาต้องเอากระถางธูปใบเล็กนี้ไปแน่ และในเมื่อมีคนยินดียอมเสี่ยงอันตรายเบิกทางให้ก็ย่อมดีขึ้นไปอีก
รอจนธูปทั้งสามดอกเผาไหม้จนหมดก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ตี๋หยวนเฟิงจึงยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่หวงได้ชุดคลุมอาคมไปก่อนชุดหนึ่ง ข้าได้เครื่องประดับมาสองชิ้น ถ้าอย่างนั้นกระถางธูปใบนี้ควรจะตกเป็นของใคร? นักพรตซุน พี่ใหญ่เฉิน?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าคงไม่เอาแล้วล่ะ ในภูเขามีสิ่งปลูกสร้างตั้งมากมาย สิบเจ็ดสิบแปดหลังยังเดินไม่ทั่ว หลังจากที่แยกย้ายกันลงมือ ก็มีงานมากพอให้ข้ายุ่งวุ่นวายแล้ว หากนักพรตซุนต้องการกระถางธูปใบเล็กนี้ก็เอาไปได้เลย”
หวงซือกล่าว “ข้าสามารถใช้ชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นมาแลกกระถางธูปใบนี้กับนักพรตซุน”
นักพรตซุนรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งยวด แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบตกลง
หวงซือโยนชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นออกไป แล้วตัวเองก็ไปหยิบกระถางธูปมาใส่ในห่อสัมภาระ
จากนั้นก็กวาดเอาพวกเสื้อผ้า ขวดไห สิ่งของที่ไม่มีค่าในห่อสัมภาระใบใหญ่ออกมาโยนทิ้งไว้บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
แล้วจึงฉีกห่อผ้าออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งโยนให้ตี๋หยวนเฟิง ให้เขาเอาไปใช้เป็นห่อผ้าบรรจุของ หวงซือชำเลืองตามองนักพรตซุนที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วเอ่ยว่า “นักพรตซุนสวมชุดคลุมเต๋าตัวใหญ่ขนาดนี้ จะถอดเอามาเป็นห่อสัมภาระไม่ได้หรือ?”
นักพรตซุนทำท่ากระจ่างแจ้ง อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน
หลังจากนั้นคนทั้งสี่ก็เริ่มง่วนค้นหาสมบัติในส่วนของตนอยู่ในอารามเต๋าขนาดเล็ก ตี๋หยวนเฟิงเจอเบาะรองนั่งสีขาวหิมะใบหนึ่ง นักพรตซุนกระชากผ้าม่านสีทองที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไรลงมาหลายผืน
หวงซือเดาเอาว่าในเทวรูปต้องมีความลี้ลับซ่อนอยู่ จึงปล่อยหมัดต่อยให้เทวรูปแตกกระจาย ทว่ากลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวอะไรกลับคืนมา
ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังนั่งยองอยู่บนพื้น ลูบคลำอิฐเขียวที่มีความชื้นสูง เคาะๆ ตีๆ ไปเรื่อยๆ เพิ่งจะวางแผนบางอย่างได้ก็ได้ยินความเคลื่อนไหวนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมองหวงซือ ฝ่ายหลังหันมาแสยะยิ้มให้เฉินผิงอัน
นักพรตซุนตกใจสะดุ้งโหยง ตี๋หยวนเฟิงแค่ชำเลืองตามองเศษซากเทวรูปที่แตกกระจายอยู่บนพื้น พอเห็นว่าเป็นแค่เศษไม้ลงสีสันที่ไม่มีค่าก็ไม่มองให้เสียเวลาอีก
คนทั้งสี่เดินออกมาจากอารามเต๋าด้วยกัน นักพรตซุนเพิ่งจะเดินข้ามธรณีประตู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!